เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[นิยาย] ดุจเรือนใจMepMhee
ดุจเรือนใจ (บทที่ ๒)
  •   

    เรื่องที่ตรัยแพ้ท้องแทนภรรยาถูกเล่าต่อไปถึงเพื่อนๆ ใกล้ชิดเกือบจะครบทุกคนในระยะเวลาไม่นาน ไม่ว่าจะคนร่วมคอนโดมิเนียมอย่างธนัช หรือผู้ที่อยู่ห่างออกไปอีกซีกโลกอย่างเจเรมี่ผู้เป็นช่างภาพแฟชั่น รวมถึงเพื่อนนักดนตรีที่อาศัยอยู่ในนิวออร์ลีนส์ ทุกคนต่างหัวเราะอย่างจริงจัง แล้วจึงค่อยกล่าวสรรเสริญว่าตรัยเป็นผู้ชายที่ดี แบ่งเบาภาระภรรยาในการตั้งครรภ์

    ‘ตรัยคลอดเมื่อไหร่บอกมี่ด้วยนะ เดี๋ยวจะไปหาหมอเชิญขวัญให้’

    แม้จตุรวัชรจะไม่เข้าใจว่าทำไมคนอยู่อเมริกาจะต้องลำบากหาหมอเชิญขวัญตั้งบายศรี แต่เขาก็เข้าใจว่านั่นเป็นความปรารถนาดีของเพื่อนพี่ชาย แม้การนึกตามคำว่า ‘ตรัยคลอดเมื่อไหร่’ จะสร้างจินตภาพที่ย่ำแย่ให้เขาก็ตาม

    ส่วนบิดาและมารดาของอนุตดาเองก็ดีใจไม่น้อยเมื่อลูกสาวโทรศัพท์ไปบอก ชัยสิงห์ผู้เป็นเจ้าของรีสอร์ทในจังหวัดเชียงใหม่ถึงกับออกปาก ว่าจะปิดรีสอร์ทเลี้ยงเพลตุ๊เจ้า*ที่วัดใกล้บ้าน หลังจากรอแล้วรอเล่าเฝ้าฝันถึงวันที่จะมีเด็กน้อยมาเรียกตนเองว่าคุณตา ตอนนี้ก็นับวันรอไปอีกแปดเดือน

    ทางเขาเองมีหน้าที่โทรศัพท์บอกพี่ชายคนรองที่อยู่สหรัฐอเมริกา แม้ข่าวดีนี้จะส่งไปถึงอีกฝ่ายในยามวิกาล ทว่าพี่ทวิก็ยังแสดงความยินดีกับน้องๆ ทั้งสองคน โดยไม่ลืมย้ำว่า ‘น้ำผึ้งพระจันทร์ได้ผล’ อีกด้วย 

    ถัดจากพี่ชายก็เป็นน้องสาวคนเล็กอย่างพัชรเบญจ์ ที่แต่งงานมีลูกไปก่อนจนตอนนี้ไอ้ตัวเล็กเริ่มเดินคล่อง และอยู่ในวัยช่างเจรจา พอเธอได้ยินว่าพี่ชายกำลังจะมีลูก สิ่งแรกที่น้องสาวของเขาฝากกำชับกำชาพี่สะใภ้คือ

    ‘อย่าทำงานหนักนะ ห่วงลูกในท้องให้มากนะ’

    ที่เป็นเช่นนี้เพราะเมื่อปีก่อนพัชรเบญจ์ต้องแท้งลูกคนที่สองไป อันเนื่องมาจากงานในคลินิคทันตกรรมของตนที่เพิ่งเปิดใหม่ ทำให้เธออยู่ในภาวะซึมเศร้า(ปนสำออยเรียกเรทติ้งจากสามี) และไม่ได้ขึ้นมาร่วมงานแต่งงานของพี่ชายที่จังหวัดเชียงใหม่ เธอต่อสู้กับสภาพที่กำลังใจถดถอยโดยมีลูกชายตัวน้อยและคนรักเคียงข้าง ไม่นานนักชะนีถึกและบึกบึนอย่างน้องสาวของเขาก็ดีขึ้น ด้วยพลังเต็มร้อย และประกาศอย่างหน้าไม่อายว่าจะมุ่งมั่นจ้ำจี้กับสามีเพื่อมีทายาทคนที่สอง

    จตุรวัชรแทบจะนับวันรอเห็นหลานๆ ตัวเล็กๆ ยั้วเยี้ยเต็มบ้านเวลาจัดงานรวมตระกูลไม่ไหวแล้ว

    ชายหนุ่มกลับขึ้นห้องของตนเองหลังจากเป็นธุระเรื่องพี่ชายพี่สะใภ้มาทั้งวัน เขาเดินไปเปิดประตูกระจกบานยาวให้ลมโกรก ทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาลายธงยูเนียนแจ็ค เขาเอามือรองต้นคอก่อนหลับตาและถอนหายใจยาว เสียงกระดิ่งลมดังกรุ๋งกริ๋ง มันทำให้ใจเขาสงบ ชวนนึกถึงกระดิ่งห้อยชายคาบ้านย่าที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขารักที่นั่น เขารักการนอนใต้ชายคาบ้าน คิดถึงเสียงลมแทรกเสียดใบไม้ในสวนกว้าง สัมผัสของลมเย็นจากแม่น้ำที่พัดผ่านผิว อีกทั้งกลิ่นดิน กลิ่นน้ำ…รวมถึงกลิ่นพริกแกง และเสียงโขลกครกของแม่ครัว ซึ่งเป็นสัญญานบอกให้รู้ว่าเย็นนี้ได้มีของอร่อยตกถึงท้อง

    ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากอยู่ที่เรือนไทยในสวน...แต่มันยาก เพราะงานของเขาอยู่ในเมือง ถ้าจะให้เดินทางอยุธยา - กรุงเทพฯ ทุกวัน เขาว่าซื้อรถตู้แล้วตีทะเบียนวิ่งรับจ้างน่าจะดูเข้าทีกว่า 

    เมื่อนึกถึงงานก็ทำให้ชายหนุ่มต้องดีดตัวขึ้นมาจากโซฟา บิดตัวไปมาคลายเมื่อย ตอนนี้เขายังนอนไม่ได้เพราะยังมีเรื่องที่รอให้สะสางอีกมาก เจ้าของห้องเดินตรงไปยังมุมทำงานแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ยี่ห้อดังที่มีแต่หน้าจอเพื่อเริ่มงานอีกครั้ง

    ก่อนหน้านี้จตุรวัชรและดีไซเนอร์ในแผนกออกแบบ ทำงานหามรุ่งหามค่ำกันมาเป็นเดือนๆ เพื่อผลิตเครื่องประดับในคอลเลกชั่นที่จะเอาไปเปิดตัวในงานปฐมทัศน์ภาพยนตร์บอลลีวู้ดฟอร์มยักษ์ ครั้งแรกที่เขาบอกพ่อว่าจะไปเปิดตลาดประเทศอินเดีย พ่อคิดว่าเขาคงจะไปตลาดเครื่องประดับของผู้หญิง แต่เมื่อเขาปฏิเสธ และเสนอแผนงานสำหรับการขายเครื่องประดับเพชรของสุภาพบุรุษไป แทนที่พ่อและพี่ชายจะห้ามกลับเห็นดีเห็นงามด้วย และอนุมัติ ให้ดำเนินงานได้ในทันที

    งานนั้นกินเวลานานกว่าครึ่งปี เริ่มจากการไปฝากเนื้อฝากตัวกับเอเจนซี่และคนกว้างขวางในอุตสาหกรรมภาพยนตร์อินเดีย เป็นเคราะห์ดีของเขาที่พระเอกดังคนหนึ่งมาถ่ายทำหนังเรื่องใหม่ในไทย แล้วได้เห็นผลงานออกแบบต่างหูสำหรับผู้ชาย เขาจึงควักเงินซื้อด้วยเงินตัวเอง และยังแนะนำให้หลายคนมายืมเครื่องประดับของร้านไปใส่เพื่อโปรโมทงานเปิดตัวหนัง ในระยะเวลาไม่กี่เดือน ร้านของเขามีออเดอร์คอลเลกชั่นเครื่องประดับผู้ชายอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ผู้เกี่ยวข้องรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง ถึงอย่างนั้นมิได้แปลว่างานจบลงแล้ว เพราะนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของงานระยะยาวโดยแท้

    จตุรวัชรควานหาภาพร่างสร้อยที่เขาทำไว้หลายวันก่อน เมื่อนึกได้ว่าทิ้งไว้ที่โต๊ะของอีกห้องหนึ่งจึงเดินกลับไปเอา และพบว่ามันเก็บอยู่ในแฟ้มเรียบร้อยดี ทั้งที่เดิมคิดว่าน่าจะกระจัดกระจายอยู่ ชายหนุ่มนั่งมองแบบสร้อยที่วาดลงกระดาษไว้ก่อนถอนหายใจยาว เขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ภาพร่างนี้ถึงจะกลายเป็นชิ้นงานจริง เพราะมันไม่ใช่งานของบริษัท นี่ไม่ใช่ ‘สไตล์’ ซึ่งลูกค้าของร้านจะซื้อ 

    แต่มันคือความฝัน…เขามองเช่นนั้น

    ฝันที่สักวันจะต้องทำให้เป็นจริง

    เขาละจากความมุ่งมาดในใจและนึกถึงงานที่ต้องทำในตอนนี้ ชายหนุ่มเก็บงานออกแบบของตนใส่แฟ้ม ก่อนกดโทรศัพท์เตรียมโทร.หาสถาปนิกผู้จะมารีโนเวทบ้านหลังใหม่ให้พี่ชาย โดยปกติแล้วเจ้าของบ้านควรจะเป็นผู้ดูแลและพูดคุยกับนักออกแบบเอง ทว่าอาการป่วยของพี่ชาย(ที่น่าจะมารยาอ้อนเมียด้วย) เหมือนส่งไม้ผลัดให้คนเป็นน้องต้องรับภาระงานบางส่วนแทนตรัยกลายๆ เพราะพี่ชายยังต้องกินยาและนอนพักหลายวันจนกว่าอาการมึนหัวจะดีขึ้น นั่นทำให้เขาไม่สามารถเดินทางไปคุยกับสถาปนิกที่จะทำบ้านในอีกสองวันตามที่ได้นัดกันไว้ ทุกคนบอกว่าให้เขาไปแทน เขายินดี แต่เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะสะดวกหรือไม่

    ชายหนุ่มกดโทรศัพท์มือถือ รอจนสายต่อติดแล้วจึงเอ่ยทักทาย

    “สวัสดีครับคุณแพร์ สี่เอง วันพรุ่งนี้เฮียไม่สะดวกไปออฟฟิศ ไม่ทราบว่าช่วงเวลาเดียวกันคุณแพร์พอจะออกมาข้างนอกได้ไหม รอที่ห้างก็ได้” เขาเอ่ยชื่อห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศอีกฝ่าย “เดี๋ยวสี่ขับรถไปรับคุณแพร์ที่โน่น แล้วมาคุยกันที่บ้านดีกว่า อ๋อ…” ชายหนุ่มลากเสียงยาวเมื่อได้ยินคำถามจากปลายสาย 

    “อ๋อ คือเฮียป่วย แพ้ท้องแทนแพน” เขาได้ยินเธอหัวเราะร่าเริงเลยหัวเราะตาม “เรื่องจริงเลย แพ้ท้องแทนเนี่ย แบบว่าอ้วกแตกอ้วกแตน หน้าซีดคอดำเหมือนรองพื้นผิดเบอร์ ควรจะเดินไปบอกแพนไหม ว่ารักสามีควรช่วยสามีเลือกรองพื้น”

    ปลายสายหัวเราะหนักกว่าเดิม

    “คุณแพร์สะดวกไหมครับถ้าจะขอเจอกันก่อนเวลาเดิมที่เฮียนัดคุณแพร์ไว้สักครึ่งชั่วโมงอะ ถ้าไม่ได้ไปไหนก่อนเข้าบ้านนั่งกินน้ำกินหนมกันก่อนก็ได้ เพราะว่าถ้าเข้าบ้านแล้วคุณแพร์อาจจะต้องอยู่ยาวรอทานข้าวเย็นด้วยกัน นานๆ เจอทีก็ดีฮะ มีเรื่องเม้าท์เยอะแยะ...”

    คนพูดรอฟังคำตอบอยู่ครู่ “ขอบคุณคุณแพร์มากกกก...เดี๋ยวสี่บอกเฮียให้ นี่เฮียก็เครียดอยู่เรื่องที่ป่วย กลัวทำงานคุณแพร์ล่าช้า...ไว้เจอกันครับ...เดี๋ยวสี่ไปรับเนอะ”

    ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ แล้วจึงเดินลงไปหาพี่ชายที่มือยังถือยาดมส้มมือพลางนอนจิบน้ำบ๊วยเปรี้ยวเพื่อบอกข่าวอีกฝ่าย

    “สี่บอกคุณแพร์แล้วนะ ว่าให้มาที่บ้านแทน เดี๋ยวสี่ไปรับคุณแพร์มาบ้านเอง”

    “ขอบใจมากนะสี่” ตรัยยิ้มให้น้องชาย

    “ไหนล่ะ” จตุรวัชรแบมือ

    “ไหนอะไร” พี่ชายขมวดคิ้ว

    “เหมือนเวลาเลื่อนตั๋วเครื่องบินไง ต้องมีค่าดำเนินการ”

    แล้วคนเป็นน้องก็วิ่งฉิวหายไปก่อนที่หมอนอิงใกล้มือพี่ชายจะลอยมาฟาดหน้า




    เช้านี้ไม่ร้อนเกินไปและไม่มีเมฆครึ้มจนทำให้อบอ้าว ช่วงอาทิตย์ก่อนหน้านั้นมีอากาศชวนอึดอัดเช่นก่อนมีพายุฤดูร้อน จตุรวัชรตื่นมาด้วยเสียงนกร้องคลอกับกระดิ่งลมที่แขวนเรียงอยู่ใกล้หน้าต่างห้องนอน ตามมาด้วยเสียงโทรศัพท์จากลูกน้องผู้ขยันขันแข็งซึ่งโทร.มาขออนุญาตไปธุระและจะเข้างานสาย หลังจากเสร็จเรื่องเขาก็ไม่โอเอ้กลิ้งเกลือกอยู่บนเตียงเพราะมันไม่ใช่วิสัย ชายหนุ่มลุกจากที่นอน ขึงผ้าจนตึงและสอดชายใต้ฟูกหนา จากนั้นตบหมอนให้ฟูแล้วค่อยพับผ้าห่มวางยังปลายเท้า แล้วค่อยเอาผ้าคลุมเตียงลายกราฟฟิคสีสันสดใสมากางเป็นอันเสร็จ

    ‘คุณสี่ทำให้หนูไม่มีงาน’ แม่บ้านคนหนึ่งเคยโอดครวญ

    เขาทำเช่นนี้จนชิน เพราะย่าที่บ้านอยุธยาสอนมาแต่เด็ก ว่าถึงเป็นลูกผู้ชายต้องเก็บงำที่หลับที่นอนให้ดี อย่าให้ใครเขามาว่าได้ว่าพอตื่นแล้วก็สะบัดก้นลุก เขาทำอย่างที่ย่าสอนจนชิน กระทั่งไปเรียนหนังสือต่างประเทศก็ยังทำเป็นนิตย์ ผิดแต่ว่าที่บ้านกรุงเทพฯ ไม่มีมุ้งให้ต้องพับ จึงทุ่นแรงไปประการหนึ่ง

    หลังจากอาบน้ำแปรงฟันโดยใช้เวลานานกว่าผู้ชายทั่วไป ชายหนุ่มหยิบเบลเซอร์สีชมพูอ่อนที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนหลังดูพยากรณ์อากาศมาสวม ก่อนเดินไปยังกล่องไม้บรรจุ ‘ของล้ำค่า’ เขาสั่งให้ช่างทำเลียนแบบกล่องสมบัติของโจรสลัดในยุคโบราณ ทว่าภายในกล่องกลับมีชั้นเก็บของแยกเป็นสัดส่วนดูทันสมัย อีกทั้งยังมีไฟแอลอีดีที่จะทำงานเมื่อเปิดฝาขึ้น ทำให้แสงส่องกระทบอัญมณีราคาสูงเหล่านั้นเป็นประกายพร่าพรายฉายแถบรุ้ง จนบางครั้งผู้เป็นเจ้าของเผลอนั่งพินิจด้วยความหลงใหลอยู่หลายนาที จตุรวัชรเปิดถาดบุกำมะหยี่ดำซึ่งมีแบ่งร่องเอาไว้หลายแถว บรรดาต่างหูเพชรที่เสียบอยู่ในกล่องล้วนมีขนาดแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ไม่มากไปกว่า ๒ กะรัต* และไม่มีทางเล็กกว่า ๐.๕ กะรัต

    ขนาดนี้ถูกลูกน้องที่แผนกเรียกว่า ‘จตุรวัชร-สแตนดาร์ด’

    เขาไม่ได้ชอบเพชรแบบไร้สี*แต่เพียงอย่างเดียว จึงทำให้ในกล่องสมบัติของเขามีต่างหูเพชรหลากสีเสียงรายไล่เฉดอ่อนแก่ มีตั้งแต่เพชรแฟนซีสีสดใสบนเรือนทองคำขาว หรือเพชรน้ำโทนเหลืองที่เข้ากับก้านต่างหูทองแท้ ไล่ไปจนถึงเพชรไร้สี ๒ กะรัตที่มีมูลค่ามหาศาล ขนาดเขาต้องอดออมเงินเดือนอยู่หลายเดือน กว่าจะอนุญาตให้ตัวเองสั่งช่างของที่ร้านทำได้ เพชรแต่ละเม็ดถูกเจียระไนด้วยคัตติ้งต่างกัน บ้างเป็นทรงกลม หยดน้ำ หรือทรงคล้ายหยดน้ำแต่มีเหลี่ยมมุมมากกว่าซึ่งเรียกกันว่าทรงดัชเชส* แต่วันนี้ต่างหูเพชรทรงแอชเชอร์*เลือกและดลจิตดลใจให้เขาหยิบมันขึ้นมา เขามองรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสตัดมุมด้วยความชื่นชม ก่อนประดับที่หู แล้วจึงปิดกล่องสมบัติ หมุนล็อกลงรหัสซึ่งมีเพียงเขาและมารดารู้ 

    ชายหนุ่มวิ่งลงบันไดมาพร้อมกระเป๋าหนังสีคาราเมล แวะรับน้ำส้มคั้นที่แม่บ้านยืนดักรอส่งให้ตรงหัวบันได ก่อนเดินตรงไปยังห้องอาหารและพบว่าสมาชิกในบ้านนั่งที่โต๊ะพร้อมหน้ากันแล้ว เว้นแต่มารดาที่ไปทำบุญต่างจังหวัดกับเพื่อน พ่อและพี่ชายใส่ชุดอยู่กับบ้าน มีแค่เขากับอนุตดาที่สวมชุดทำงาน

    อันที่จริง ถ้ามองเบลเซอร์สีชมพูกับต่างหูเพชรสองกะรัต ชุดไปทำงานของเขาเรียกได้ว่ามีสีสันชวนให้รื่นเริงกว่าชุดทำงานโดยปกติอยู่มาก สมัยที่ไปฝึกงานอยู่บริษัทอื่นและต้องใส่เครื่องแบบ เขาอึดอัดแทบอยากฉีกเสื้อจะกลายร่างเป็นเดอะ ฮัล์ค ยักษ์ตัวเขียวแทบทุกวัน

    เครื่องแบบทำให้เขาหดหู่...เพราะเหตุนี้ที่ออฟฟิศเขาเลยไม่มีเครื่องแบบ

    “สี่สาย ขอโทษนะฮะ”

    “ไม่เป็นไร นี่ก็เพิ่งมากัน” ทศเดชเอ่ยพลางกวักมือ “สี่มานั่งกินข้าวเช้านี่มา วันนี้ข้าวต้มรวมมิตรทะเล กินเสร็จแล้วก็ค่อยไปทำงานทำการ แพนก็ด้วยนะลูก วันนี้อย่าขับรถเองนะ ให้คนขับรถไปส่งนะ”

    “ค่ะคุณพ่อ” เธอยิ้มตอบ

    ลูกชายคนเล็กของบ้านเลื่อนเก้าอี้เพื่อนั่ง พลางฟังถ้อยความแสดงความเป็นห่วงเป็นใยของบิดาที่มีต่อสะใภ้ ชายหนุ่มทั้งนึกเอ็นดูและหมั่นไส้ไปพร้อมกัน เมื่อพ่อเอาใจใส่เผื่อแผ่ไปยังหลานตัวน้อยในท้อง แม้ตอนนี้ตัวอ่อนน่าจะยังไม่พัฒนาอวัยวะจนเห็นเป็นรูปเป็นร่างได้

    “แล้วทำไมแพนต้องไปทำงานอะ มีถ่ายรายการเหรอ” จตุรวัชรถาม ขณะมองพี่สะใภ้ที่ตักต้นหอม ผักชี ของมีกลิ่นแรงต่างๆ ใส่ข้าวต้มได้โดยไม่มีอาการคลื่นเหียน

    “เรามีประชุมด่วนตอนสายน่ะ เพราะท้องนี่ไง เลยต้องคุยกันหน่อยว่าจะเอายังไงกับรายการ ต้องถามความเห็นพี่อั้น” เธอตอบด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อยเมื่อนึกถึงรายการที่ทำร่วมกับอรัญลักษณ์ นักข่าวชื่อดัง ผู้ซึ่งเป็นเจ้านายของตนเอง

    “แล้วไม่เคยคุยกันมาก่อนเหรอ หรือพี่อั้นจะคิดว่าหล่อนแต่งตามนิตินัย เลยจะไม่มีลูก” เขาถามระหว่างมือตักพริกป่นใส่

    “บ้า”​ อนุตดาจ้องเขม็ง “เคยคุยย่ะ แต่ก็ยังไม่ได้จริงจัง ก็ไม่คิดว่าลางานไปเที่ยวกลับมาจะตามมาด้วย”

    “พอพูดว่าตามกลับมานี่ก็นึกภาพเหมือนเกาะไหล่มาแล้วไหล่หนัก” ทศเดชหัวเราะก่อนชะงักในทันที “หลานพ่อดูคล้าย...” ว่าที่คุณปู่พึมพำ

    ตรัยมองหน้าพ่อ 

    อนุตดากะพริบตาปริบๆ 

    จตุรวัชรเบิกตาที่มีอยู่เพียงนิด

    พ่อมองตอบ 

    ทุกคนตัดสินใจว่าจะไม่เอ่ยต่อ แม้ในใจคนเป็นว่าที่อาจะมีซาวนด์แทร็กรายการผีดังขึ้นมาในหัว ว่าหลานคนนี้...ตอนนี้อาจจะยังเป็นพลังงานลึกลับ...ก็เป็นได้

    “ก็ไม่ต้องออกพื้นที่สมบุกสมบันมาก” จตุรวัชรแนะเพื่อทำลายความเงียบ “แต่จะให้นั่งอยู่บ้านเฉยๆ เป็นหัวหอมเก่าในตู้เย็นที่งอกต้นแล้วนี่ก็ไม่ใช่ที่ ใช่ปะเฮีย” จตุรวัชรหันไปมองตรัยที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินเข้มปิดปากขณะมือเขี่ยกระเทียมเจียวออก “เฮียเป็นอะไรน่ะ”

    “เหม็นกระเทียมเจียว…” เขาตอบเสียงอู้อี้ พยักพเยิดไปทางแม่บ้าน “บอกไม่ทัน เทมาเมื่อกี้”

    “ขอโทษนะคะคุณตรัย” ผู้ที่ทำผิดพลาดกล่าวเสียงสลด “ปกติเห็นคุณตรัยชอบกระเทียมเจียวแล้วก็ชอบให้ปรุงให้ น้าเลยซัดลงไปเต็มๆ เลยค่ะ ให้น้าไปตักให้ใหม่เถอะนะคะ ยังมีค่ะ”

    “ไม่เป็นไรครับ” ตรัยโบกมือ

    จตุรวัชรเห็นอาการแพ้ของพี่ชายแล้วก็นึกสงสาร แต่พอมองไปยังคนท้องจริงๆ ที่ตักข้าวต้มกินอย่างมีความสุขแล้วก็นึกขำ

    “บางทีสี่ก็ว่ามันเป็นเรื่องของกรรมนะฮะ”

    “ยังไง” พ่อและพี่ชายเอ่ยพร้อมกัน

    “คือเฮียเคยทำให้แพนเสียใจงี้ พอถึงตอนนี้กรรมเลยมาเอาคืน แบบว่าเก๋ๆ ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนจะได้แพ้ท้องแทนเมียนะเฮีย ไหนๆ ก็ไหนๆ คลอดแทนด้วยสิ”

    ตรัยใช้ดวงตาเรียวมองน้องชายอย่างอาฆาตมาดร้ายแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น เพราะเขายังคงตักกระเทียมเจียวออกมือเป็นระวิง

    “เออนี่สี่ ขอบคุณสี่มากนะที่เป็นธุระให้” อนุตดากล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงความรื่นเริง

    “อะไร คลอดแทนเหรอ ใครบอกหล่อน ฉันไม่ขึ้นขาหยั่งนะ บอกเลย” จตุรวัชรปฏิเสธ

    ทศเดชเกือบสำลักข้าวต้มคงเพราะเผลอคิดภาพตามไปด้วย

    “ไม่ใช่ย่ะ หมายถึงไปรับคุณแพร์มาบ้าน” หญิงสาวอธิบาย

    จตุรวัชรเลิกคิ้ว “ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องอะไรหนักหนานี่”

    “แหม ก็ยังมีเรื่องที่ช่วยดูแบบบ้านสุขุมวิทกับบ้านราชวัตร แล้วก็ที่ช่วยแปลความต้องการของเราให้สถาปนิกเข้าใจด้วย ขอบคุณมากนะสี่” พี่สะใภ้ยิ้มให้

    “คนดีก็งี้แหละ จำหน้าไว้นะ” คนพูดลอยหน้าลอยตาตอบ เรียกเสียงหัวเราะจากครอบครัวได้

    “นี่” ตรัยพูดเสียงเบาทั้งที่ยังไม่เปิดผ้าเช็ดหน้าที่ปิดปากออก “เดี๋ยว…เสร็…ให้”

    “เอาใหม่ดีๆ นะเฮีย อะไรๆ ให้”

    “เดี๋ยวเสร็จงานจะมีรางวัลให้” ผู้เป็นภรรยาตอบแทน

    “อุ๊ตะ นี่คิดกันเหรอว่าสี่ทำฟรี” จตุรวัชรอุทานเสียงแหลม ก่อนกระดิกนิ้วชี้ที่มีแหวนไพลินล้อมเพชรไปมา “คนอย่างคุณสี่ จตุรวัชร! ทำดีหวังผลเสมอ!” เขาประกาศกร้าว

    ทศเดชถอนหายใจ นึกหมั่นไส้อยากจับหัวลูกชายทิ่มชามข้าวต้มทะเล แต่ก็สงสารที่เซ็ทผมมาอย่างดี จึงขอละเว้นไว้ในคราวนี้




    ‘คุณแพร์มีของหนัก ของใหญ่ หรืออะไรที่ต้องหอบ ต้องบรรทุกไหมครับ’ เมื่อเช้าเขาโทรศัพท์ถามผู้ที่นัดหมายเอาไว้

    ‘ไม่มีค่ะคุณสี่’ เธอตอบ ‘แบบบ้านนี่ใส่กระเป๋าใบนิดเดียวเองค่ะ’

    คำตอบของอีกฝ่ายทำให้จตุรวัชรเลือกขับรถสปอร์ตที่รักเหมือนลูกไปทำงานก่อน แล้วจึงไปรับอีกฝ่ายตามนัดในช่วงบ่ายแก่ๆ เมื่อถึงบริษัทใครต่อใครก็พากันเอางานมาให้เขาดู หลังจากนั่งจัดการดูเอกสารที่จะให้เลขาของพี่ชายเอาไปส่งให้อีกฝ่ายถึงบ้านแล้ว เขาจึงเริ่มทำงานของตนเอง โดยเริ่มจากฝ่ายประชาสัมพันธ์ เพื่อถามความคืบหน้าว่าได้ลงโฆษณาที่นิตยสารหรือสื่อใดบ้าง

    ‘คุณตรัยแพ้ท้องแทนคุณแพนจริงรึเปล่าคะ’ 

    กระทั่งลูกน้องของเขายังถามข่าวดังหลังคุยงานเสร็จ พอทุกคนได้คำตอบก็พากันหัวเราะคิกคัก คาดการณ์ว่าลูกของนายใหญ่ตนจะเป็นอาหมวยหรือว่าอาตี๋

    จตุรวัชรกินข้าวกลางวันที่โรงอาหารของบริษัท ทันทีที่แม่ค้าเห็นหน้าเขา มะเขือเปาะในถาดแกงเขียวหวานก็โดนตักราดจานจนพอกพูน โดยหญิงร่างท้วมไม่ลืมวางทอดมันปลากรายลงไปสามชิ้น ชายหนุ่มยิ้มตาหยี แล้วจึงจ่ายเงินด้วยราคาแพงกว่าปกติเพราะสั่งพิเศษ หลังจากจัดการอาหารคาวหมดเขาลงลิฟต์ไปซื้อขนมโตเกียวกับกาแฟโบราณที่รถเข็นหน้าตึก ก่อนหิ้วขึ้นมาพร้อมนิตยสารในแวดวงไฮโซที่แม่บ้านสั่งร้านหนังสือไว้และเขาอาสามาเอา เนื่องจากจะขออ่านก่อนเป็นคนแรก

    ชายหนุ่มนั่งที่ห้องทำงานของตนเอง มือหนึ่งส่งขนมไส้ไข่นกกระทาเข้าปาก อีกมือพลิกอ่านนิตยสารเพื่อดูข่าวคราวต่างๆ ของคนในแวดวงลูกค้าร้านของตน เขาอ่านไปถึงคอลัมน์เยี่ยมบ้านราคาเจ็ดสิบล้านของนักธุรกิจท่านหนึ่ง ในคอลัมน์บรรยายละเอียดถึงความพยายามในการออกแบบและหาเครื่องเรือนให้เหมาะสม บางชิ้นต้องสั่งจากต่างประเทศและไม่มีให้ซื้อได้ทันทีต้องสั่งผลิตและรอหกเดือน แน่นอนว่าคนทำบ้านก็ต้องรอของชิ้นนี้เช่นกัน แต่เมื่อมันมาแล้วเจ้าของก็เอ่ยถึงราวกับมันคือฝันที่เป็นจริง 

    เขาหวังว่าบ้านพี่ชายจะไม่ต้องรอเฟอร์นิเจอร์อะไรนานขนาดนั้น

    พอได้วนเวียนกับเรื่องบ้านช่องห้องหอมากขึ้น จตุรวัชรจึงเพิ่งตระหนักเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ ว่าการสร้างบ้านหนึ่งหลังนั้นยากกว่าที่คิด แม้ในยุคที่บ้านจัดสรรของค่ายต่างๆ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ทำให้การมีบ้านนั้นดูเหมือนไม่ใช่เรื่องลำบากไปกว่าการหาเงินมาซื้อ ไม่ว่าจะเก็บออมหรือกู้ยืม ซึ่งเรื่องหาเงินนี่แหละที่ยากสุด แต่สำหรับคนที่มีทุนพอและมีความฝัน การมีที่ซึ่งจะเอาไว้พักใจพักกาย ให้ลูกๆ และครอบครัวได้ใช้ชีวิตไปด้วยกัน การสร้างบ้านช่างเป็นเรื่องที่ซับซ้อน

    จนชายหนุ่มคิดว่าอาศัยบ้านพ่อแม่ต่อไปน่าจะดีที่สุด

    เหตุที่พี่ชายและพี่สะใภ้ต้องหาที่อยู่ใหม่ เนื่องมาจากคำขอร้องของธนัช เพื่อนผู้เป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมทั้งตึก ว่าอยากจะซื้อห้องเพนท์เฮาส์ชั้น ๓๓ คืน เพื่อนำมาตกแต่งใหม่แล้วเปลี่ยนเป็นบ้านของเขาเอง แถมยังตั้งชื่อไว้แล้วว่า

    ‘บ้านคนโสดโฉดเขลาหนาวเหน็บให้เจ็บใจ’ ธนัชเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ

    แต่เจ้าของตึกก็มิใช่คนร้ายกาจขนาดจะบีบบังคับให้เพื่อนออก (จตุรวัชรมั่นใจอยู่นิดหน่อยว่าธนัชหมั่นไส้คู่หวาน) เพราะเพื่อนสนิทยังเสนอขายที่ดินผืนงามใจกลางสุขุมวิทให้ทั้งสอง นั่นทั้งใกล้ความเจริญและดูสงบสุข แน่นอนว่าราคาพิเศษ แต่ด้วยอารมณ์ศิลปินของตรัยซึ่งไม่อยากมีชีวิตอยู่กลางเมืองใหญ่ เขาเลยเสาะหาที่ดินจนไปเจอบ้านของคนรู้จักประกาศขายอยู่ 

    บ้านหลังนั้นอยู่ในย่านราชวัตรที่เป็นเขตเมืองเก่าและมีความรุ่งเรืองของอดีตหลงเหลืออยู่ มีความสงบและเป็นส่วนตัว ห่างไกลความวุ่นวายของในเมือง อีกทั้งยังใกล้แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์มากมาย คนเป็นตากล้องอย่างตรัยเลยถูกใจที่นี่ วาดฝันไว้ว่าคงได้เดินสะพายกล้องถ่ายรูปกันสองคนสามีภรรยาหากมีบ้านอยู่แถวนั้น

    ‘แต่ถ้ามีม็อบหรือเหตุทางการเมืองทีนี่ก็เกือบอัมพาตเลยนะ ไปไหนไม่ได้นะ’ เขาแย้งพี่ชาย

    ‘มีรถเมล์กับมอเตอร์ไซค์วินนั่งไปท่าเรือด่วนน่า’ พี่เขาตอบอย่างคนมั่นใจในข้อมูลที่สะสมมา 

    ทั้งที่จริงๆ แล้ว ตรัยเรียกว่าเป็น ‘เด็กนอก’ คนหนึ่ง คือเรียนต่างประเทศมาแต่เด็ก จากสวิตเซอร์แลนด์ไปต่อปริญญาที่สหรัฐอเมริกา เพิ่งจะเคยมาขึ้นเรือด่วนเจ้าพระยาก็ตอนที่ภรรยาพาไป นั่นทำให้เขาตื่นตาตื่นใจกับระบบการคมนาคมชนิดเดียวของกรุงเทพมหานคร ที่สามารถคำนวณเวลาการเดินทางการได้

    จตุรวัชรแย้งพี่ชายเรื่องบ้านหลังนั้นอยู่หลายที ว่าหากไปอยู่ที่นั่นแล้วมีลูกจะให้ลูกไปเรียนหนังสือหนังหาที่ไหน

    ‘โรงเรียนดีๆ อยู่เขตเมืองเก่าๆ ย่านนั้นก็ตั้งแยะ’ ว่าแล้วพี่เขาก็ร่ายชื่อโรงเรียนให้ฟังยาวเหยียด

    โอเค เหตุผลนั้นตกไป

    จตุรวัชรกลับมาที่เรื่องการเดินทางไปทำงานและกลับบ้านของทั้งพี่ชายและพี่สะใภ้ ว่ามันไกลเกินไปหากจะไปอยู่ที่นั่น อีกทั้งแถบนั้นการจราจรยังมีปัญหา เรียกได้ว่าต่อให้นั่งเรือก็ยังลำบากอยู่ดี พอพูดเรื่องนี้เวิร์คกิ้งวูแมนอย่างอนุตดาถึงกับทำหน้าเครียด ส่งผลให้สามีของเธอเริ่มใจอ่อน

    ‘อยู่ที่สุขุมวิทก็ได้นะ’ ตรัยสรุป ‘สร้างบ้านที่สงบๆ น่ารัก อบอุ่น มีสวนสวยๆ อยู่กัน พอวันหยุดก็มาอยู่บ้านพ่อแม่’ 

    ถึงจะพูดเช่นนั้นแต่พี่ชายของเขาก็มีทีท่าเสียดาย

    ‘เฮียเสียใจนะที่ซื้อบ้านหลังนั้นไม่ได้’ ตรัยเปรยกับน้องชายสุดที่รัก ‘ราชวัตรมีร้านอาหารเยอะ แถวแยกพิชัยมีก๋วยเตี๋ยวเนื้ออร่อย เลยไปอีกหน่อยก็ศรีย่าน ของกินเต็มเลย ขับไปนิดก็บางกระบือมีขาหมู นี่ก็กะว่าถ้าอยู่แถวนั้นคงได้ซื้อมาฝากที่บ้านบ่อยๆ’

    ‘เฮียก็ซื้อมันทั้งสองที่เลยสิ’ จตุรวัชรออกความเห็น หลังจากเมนูอาหารร้านดังผุดขึ้นมาในหัวอย่างไม่หยุดหย่อน ‘ถ้าเฮียมีลูก แล้วอยากให้ลูกอยู่โรงเรียนพวกนานาชาติ ก็อยู่บ้านสุขุมวิทไป ถ้าอยากให้อยู่โรงเรียนทางนี้ก็มาอยู่บ้านราชวัตร แล้วเฮียกับแพนก็ทนเดินทางลำบากเพื่อลูกเอา แต่ลูกไม่ต้องกินนอนในรถ’

    ทั้งสองคนพยักหน้ารับฟัง

    ‘พอปิดเทอมหรือวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ก็ค่อยพากันไปอยู่บ้านตรงราชวัตร จะได้พากันเดินเที่ยวเล่นได้ ดีไหม’

    ‘สี่เป็นน้องชายที่เฮียพึ่งได้เสมอ’

    เขายิ้มตอบ

    หลังจากนั้นจตุรวัชรก็ไปเปิดกูเกิลหาในทันทีว่าย่านราชวัตร แยกพิชัย และศรีย่าน มีร้านไหนอร่อยพอให้ฝากท้องได้บ้าง





  • สถาปนิกที่ดูแลการก่อสร้างบ้านในย่านสุขุมวิทเป็นเพื่อนของทัศน์เทพสามีของทักษยานักวาดการ์ตูนอาชีพเพื่อนของอภิชญาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของอนุตดาอีกที… 

    เอาเป็นว่าตอนนี้ทั้งหมดรู้จักกันและเป็นเพื่อนกันหมดแล้ว 

    สถาปนิกชายท่านนั้นมีเอกลักษณ์ในงานออกแบบหลากสไตล์ที่โน้มอิงไปทางด้านประหยัดพลังงาน เขาเคยเห็นแบบบ้านที่อีกฝ่ายทำมาแล้วก็ชอบเช่นกัน ความสวยงามและฟังก์ชั่นการใช้สอยพื้นที่ถูกออกแบบให้อยู่ควบคู่กันไปได้ ตอนนี้สถาปนิกท่านนั้นกำลังทำโครงการอื่นอยู่ด้วย หลังเขาประมาณกำลังตนแล้วจึงออกปากว่าตนไม่พร้อม และไม่สามารถรีโนเวทบ้านเก่าย่านราชวัตรไปพร้อมๆ กันได้

    ทัศน์เทพจึงแนะนำเพื่อนสนิทอีกคนซึ่งเป็นรุ่นน้องร่วมคณะ เป็นสถาปนิกหญิงที่ชำนาญงานด้านรีโนเวทบ้านและตึกเก่า อีกทั้งมีฝีมือด้านตกแต่งภายใน พอเอ่ยชื่ออนุตดาก็หัวเราะออกมาจนสามีสงสัย

    ‘ก็แพร์นี่แหละ ที่แต่งหน้าให้แพนตอนงานแต่ง เดี๋ยวแพนนัดกินข้าวกับอ้อยกับแพร์แล้วลองคุยเรื่องนี้ดูนะ’

    นั่นทำให้เขานึกออกเช่นกัน

    แต่เขาจำเธอได้เฉพาะเรื่องการแต่งหน้าเท่านั้น เธอแต่งหน้าอนุตดาในงานแต่งช่วงเช้าได้สวยงามอย่างยิ่ง ดูสดชื่น สดใส เป็นตัวเอง ไม่ใช่สร้างหน้าใหม่จนเพื่อนและเจ้าบ่าวจำไม่ได้อย่างที่นิยมกัน หากถามว่าแบบนั้นผิดหรือไม่ ชายหนุ่มก็ตอบได้ในทันทีว่าไม่ผิด ไม่ว่าใครก็อยากจะสวยที่สุดในงานแต่งงานของตน เพียงแค่เขาไม่นิยมเท่านั้นเอง และเมื่อเขาแต่งหน้าให้อนุตดาในงานเลี้ยงช่วงเย็น เธอก็ฝากคำชมมากับอภิชญาเช่นกัน ว่าแต่งหน้าได้สวยเหมาะสม

    จตุรวัชรว่าเขากับสถาปนิกคนนี้น่าจะเป็นเพื่อนกันได้ เพราะมีงานอดิเรกใกล้เคียงกัน และหลังจากที่ได้โอภาปราศรัยกันหลายครั้งภายหลังพี่ชายและพี่สะใภ้ตกลงจ้างงาน พวกเขาก็เป็นเพื่อนกันไปแล้วด้วย

    ครั้งแรกที่พี่ชายนัดเจอกับสถาปนิกหญิงที่จะมารีโนเวทและต่อเติมบ้านพี่ชายก็ลากเขาไป เช่นเดียวกับเวลาคุยกับสถาปนิกของบ้านสุขุมวิท 

    บ้านหลังย่อมย่านราชวัตรมซึ่งก่อสร้างตามแบบนิยมเมื่อราวยี่สิบปีก่อนตั้งอยู่บนพื้นหญ้าเขียว รายล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา ตัวบ้านแม้จะมีร่องรอยการทำนุบำรุงทว่ายังทรุดโทรมตามเวลา ถึงกระนั้นมันก็ยังคงความสวยงามและความสงบไว้ได้ดีอย่างยิ่ง แม้เสียงจากถนน ตลาด จะดังเสียดแทรกต้นไม้ซึ่งสูงเป็นปราการมาได้บ้าง ทว่านั่นทำให้รู้สึกถึง ‘ชีวิต’ ที่โอบล้อมบ้านนี้ไว้

    พวกเขามาถึงบ้านในยามคล้อยบ่าย ดวงอาทิตย์ทอดตัวลงไปทางซ้ายมือเมื่อหันหน้าเข้าหาบ้าน แสงแดดจัดจ้าลอดผ่านร่องริ้วของใบไม้ที่เป็นแนวกำแพงธรรมชาติ ทำให้เกิดวงแสงเลื่อมพรายฉายอยู่บนผนังบ้าน วิบวับ พลิ้วไหว ขยับเป็นระรอกราวมีชีวิต ผู้เป็นสถาปนิกยืนนิ่งมองภาพนั้นอยู่ครู่ ก่อนถ่ายรูปบ้านรอบด้านอย่างตั้งอกตั้งใจพลางเดินคุยกับพี่ชายและพี่สะใภ้ของเขา 

    จตุรวัชรมองเธอที่ทำงานด้วยความทึ่ง ไม่ใช่เพราะการทำงานอย่างเป็นมืออาชีพแต่เพียงอย่างเดียว  รวมถึงการใส่รองเท้าส้นเข็มสูงมากกว่าสองนิ้วเดินไปมาได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งบนพื้นปูน อิฐ และสนามหญ้า บางทีผู้หญิงที่ทำงานเก่งเหล่านี้ก็ดูราวกับเป็นวันเดอร์วูแมน ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอสามารถทำงานท่ามกลางลมเย็นและแดดร้อนจัดจนเขาต้องซับหน้าบ่อยครั้ง แต่สถาปนิกหญิงไม่มีเหงื่อแม้สักหยด ไม่มีคราบแป้งหรืออายไลเนอร์และมาสคาร่าไหลเยิ้ม จตุรวัชรสรรเสริญเธอที่สุด จากใจ เธอแต่งหน้ามาเนียน รองพื้นมาแน่น เขาซาบซึ้งใจและอยากให้ผู้หญิงที่แต่งหน้าหลายๆ คนใส่ใจเรื่องนี้

    วิญญาณสายตรวจแฟชั่นที่เร้นในใจให้ไฟเขียวอย่างไม่ต้องสงสัย

    ‘หน้าเนียนนะครับ’ เขากล่าวชมจากใจ ‘ไม่ทราบว่าคุณแพร์ใช้เครื่องสำอางอะไรยังไงบ้างครับเนี่ย’

    เธอตอบชื่อเครื่องสำอางทั้งหมดทั้งมวลตามขั้นตอนการแต่งหน้า กระทั่งการพ่นน้ำแร่เพื่อเพิ่มความคงทนของเครื่องสำอางเธอก็ทำ! จตุรวัชรรู้สึกชื่นชมผู้หญิงที่ใส่ใจเรื่องแบบนี้จนอยากจะควักผ้าเช็ดหน้าขลิบริมลูกไม้ฝรั่งเศสมาซับที่หัวตา

    ‘แต่ผมว่าคุณแพร์ต้องบำรุงผิวดีแน่เลย ใช้อะไรครับ’

    ‘ครีมกันแดดสำคัญสุดค่ะถ้าต้องออกไซต์ข้างนอก ที่สำคัญเท่ากันคือต้องล้างออกให้หมด นอกนั้นก็พวกมอยซ์เจอไรเซอร์ ไนท์ครีม เดย์ครีม’

    ‘มาส์กหน้าบ้างไหมครับ’

    ‘มาส์กชีทแพร์เต็มบ้านเลยค่ะ’ เธอตอบเขาด้วยรอยยิ้ม ‘บางทีทำแบบไปก็มาส์กหน้าไป รู้ตัวอีกทีกระดาษกรอบคาหน้าเลย แพร์มีปัญหาผิวขาดน้ำน่ะค่ะ ทำงานเยอะ นอนดึก’

    ‘โหย ปล่อยแห้งคาหน้าแบบนั้นจะไม่ดีเอานะฮะ ผมว่าคุณแพร์เอาสูตรมาส์กหน้าแบบพื้นบ้านของผมไปไหม นี่พวกป้าๆ ที่บ้านอยุธยาเขาลองกัน ผมเอามาใช้แล้วได้ผลดีเชียว ผิวชุ่มชื้น พอกหน้าแล้วเอามาส์กชีทเปล่าๆ โปะทับ นั่งทำงานต่อได้ ใช้ของไม่แพงด้วย เดี๋ยวสี่จดสูตรให้นะครับ’

    ‘อุ๊ย เกรงใจคุณสี่ค่ะ’

    ‘ไม่เป็นไรครับ’ เขาหันรีหันขวาง ‘เออ แต่สี่ไม่ได้เอาอะไรมาเลย ขอเมลไว้ได้ไหมครับ เดี๋ยวสี่เมลไปให้’

    เธอให้อีเมลมา แล้วคืนนั้นเขาก็ส่งสูตรมาส์กหน้าให้เธอไป จตุรวัชรเลยได้สถาปนิกที่ทำบ้านให้พี่ชายเป็นเพื่อนเสียอีกคน

    นัดครั้งต่อมาราวหนึ่งเดือนให้หลังเป็นการนัดเพื่อดูแบบต่อเติมและการตกแต่งภายใน พวกเขานัดเธอมาที่ห้องประชุมของบริษัท พี่ชายและพี่สะใภ้ของเขาพอใจการออกแบบที่อีกฝ่ายทำมาให้ดูมาก มีเพียงบางจุดที่พี่ชายไม่ใคร่จะถูกใจจึงขอให้แก้ ทว่าสถาปนิกก็ยังยืนยันว่าตามแบบที่ตนทำมานั้นดีกว่า ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่เธอก็ยังรับปากว่าจะแก้ไขให้เป็นที่น่าพอใจของเจ้าบ้านให้ได้

    ‘โดยปกติแล้วก็ทำแบบให้เจ้าของบ้านดูใช้เวลาไม่เกินสี่เดือนค่ะ ถ้าไม่ใช่บ้านที่มีฟังก์ชั่นเยอะหน่อย อันนั้นใช้เวลามากนิด’ เธอบอก ขณะเก็บภาพห้องสีสันสวยและมีชีวิตชีวาลงกระเป๋าทรงกล่องแบน ‘แต่ของเราแตะสี่เดือนแหงๆ’

    ‘เอ๊ะ คุณแพร์ติดธุระหรือคะ หรือว่ามีเหตุขัดข้องรึเปล่า’ พี่สะใภ้เขาถามอีกฝ่าย

    ‘คุณแพนต้องไปฮันนีมูนเดือนครึ่งนะคะ ลืมหรือคะเนี่ย’

    ‘เอ้อ... จริงด้วยนะคะ’ อนุตดายิ้มเขิน…

    การคุยกันครั้งนี้ หากทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีก็จะไม่มีการแก้แบบอีก และผู้เป็นสถาปนิกก็จะเริ่มทำแบบของการก่อสร้างเลย เมื่อถึงจุดนั้นเขาเองก็ไม่มีความรู้ที่จะช่วยพี่ชายได้อีก แต่แค่นี้ก็เรียกร้องเป็นอาหารมื้ออร่อยไปได้หลายวัน 

    คุ้มสุดคุ้ม เพราะเมนูแรกเขาจะรีเควสต์เนื้อมัตสึซากะ!

    จตุรวัชรเลี้ยวรถเข้าไปจอดที่ชั้น G ของห้างได้อย่างไม่ต้องลำบากหาที่จอด เนื่องจากเป็นวันธรรมดาและยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน เขาเก็บบัตรจอดรถเอาไว้ในกระเป๋าสะพายและตรวจดูว่าตนเองล็อกประตูเรียบร้อย ชายหนุ่มถึงได้เดินเข้าไปในตัวห้างที่ตนไม่ค่อยคุ้นเคย เขากะพริบตาปริบๆ มองผังชั้นต่างๆ ของห้างที่ดูซับซ้อนอย่างยิ่ง เลยตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาอีกฝ่ายเพื่อถามทาง เมื่อได้ความว่าอีกฝ่ายมาถึงที่ร้านแล้วจึงเปลี่ยนทิศมุ่งตรงไปยังบันไดเลื่อน

    ชายหนุ่มขึ้นมายังร้านชาสีขาวตัดกับป้ายไฟชื่อร้านสีน้ำเงิน เขาเดินผ่านหน้าเคาน์เตอร์เพื่อไปหาผู้ที่นั่งอยู่ยังโต๊ะเล็กด้านในติดกับบันไดเลื่อน เขาเห็นแวบๆ ว่าเธอเพิ่งเก็บหนังสือปกการ์ตูนลงกระเป๋าไป พาให้ดีใจว่าเพื่อนใหม่ดูแล้วท่าทางจะอ่านการ์ตูนเหมือนกันเสียอีกอย่าง คงมีเรื่องให้คุยกันเยอะ

    “สวัสดีครับคุณแพร์ สี่ว่ามาเร็วแล้วยังช้ากว่าคุณแพร์นะเนี่ย”

    “แพร์บอกที่ออฟฟิศไว้ว่าจะลาบ่ายน่ะค่ะ เลยได้ฤกษ์แวบออกมาซื้อของก่อน” ภามินตอบ “แต่แพร์ยังไม่ได้สั่งอะไรให้คุณสี่เลยค่ะ ไม่ทราบว่าชอบชาอะไร คุณสี่ทานเค้กไหมคะ ถ้าไม่อยากทานเยอะมาแจมกับแพร์ก็ได้”

    “ไม่พอครับ” ชายหนุ่มยิ้มตาหยี “เดี๋ยวสี่ไปสั่งอะไรดื่มก่อน นั่งเล่นกันสักพักแล้วค่อยไปบ้านเนอะ”

    “ได้เลย สี่ฝากของไว้ที่แพร์ก่อนก็ได้” 

    “ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา ก่อนส่งกระเป๋าสะพายฝากให้อีกฝ่ายไปวางไว้ข้างๆ ตัว “รบกวนหน่อยนะครับ คุณแพร์เอาอะไรเพิ่มไหม”

    “ไม่ล่ะค่ะ ขอบคุณมากๆ”

    จตุรวัชรเดินไปที่เคาน์เตอร์ ก้มลงส่องเค้กและขนมอบในตู้กระจกติดหลอดไฟสว่าง เขาเลือกสตรอว์เบอร์รี่ชอร์ทเค้กมาชิ้นหนึ่ง แล้วจึงสั่งชาดาร์จีลิ่งมาหนึ่งกา ชายหนุ่มจ่ายเงินให้พนักงานและยืนรอรับเค้กที่กำลังจัดใส่จาน เขาเหลือบตาไปมองคนที่หยิบเอากระเป๋าของเขามาวางตักแทนการวางไว้

    ชายหนุ่มคิดว่าภาพลักษณ์เธอไม่คล้ายกับคนเป็นสถาปนิกในจินตภาพของคนส่วนใหญ่ ที่ต้องแต่งตัวดู ’ติสต์หรือเป็นเด็กแนวซึ่งต้องมีรูปแบบแฟชั่นอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ บ้างก็คาดหวังว่าจะต้องเซอร์ปล่อยผมฟูแต่เก๋ สวมแว่นตากรอบพลาสติกหนาทรงเก่า ถ้าเป็นผู้ชายก็ต้องสวมสูทเนี้ยบกริบแต่มีสไตล์ หรืออะไรบางอย่างที่ต้องดูเหมือนคนทำงานด้านนี้ 

    ภามินไม่ได้ปล่อยผมยุ่งเหยิงเป็นรังนก กลับกันเธอไว้ผมบ็อบเทสีน้ำตาลเกือบๆ จะเป็นแอพพริคอตกับเข้ากับผิวสองสี แน่นอนว่าเธอแต่งหน้ามาอย่างดีด้วยลุคแกลม*แลดูสง่างาม ที่มีความโกลว์*เล็กน้อยของชิมเมอร์ทองเบาๆ ทำให้ผิวสีน้ำผึ้งแบบสาวไทยผ่องขึ้นอีกนิด และยิ่งดูดีด้วยลิปนู้ดที่ยังไม่ซีดเป็นศพ ที่สำคัญ เธอไม่บ้าความขาวจนเลือกรองพื้นสว่างไปจนทำให้คอดูดำ เรียกได้ว่าเป็นเมคอัพที่ประเสริฐและน่าชื่นชมอย่างยิ่ง แม้ลุคเป๊ะของอีกฝ่ายจะคล้าย PR* หรือ AE* บริษัทโฆษณามากกว่าสถาปนิก แต่เขายังไม่เห็นว่าการแต่งตัวอย่างมีสีสันของเธอ จะลดทอนความสามารถในการทำงานเลยแม้แต่น้อย

    อย่างนี้มันเสียมารยาท 

    เขารู้ การมองใครที่เจอตั้งแต่หัวจดเท้าเป็นเรื่องที่คนมีมารยาทเขาไม่ทำกัน แต่นี่มันเป็นเรื่องของแฟชั่น การศึกษาเกี่ยวกับบุคลิกและรสนิยม จตุรวัชรเลยให้อภัยตัวเองในเรื่องนี้เสมอ

    “เค้กได้แล้วนะคะ ชาจะยกไปให้ที่โต๊ะค่ะ” 

    ชายหนุ่มยกถาดไปยังโต๊ะตัวเล็กก่อนเอาจานเค้กวาง แล้วจึงเอาถาดไปส่งคืนให้พนักงานเสียอีกรอบ

    “คุณแพร์เลยต้องมานั่งรอ ขอโทษนะครับ”

    “ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ แพร์อยู่แถวนี้ ไปมาง่ายอยู่แล้ว”

    จตุรวัชรลงนั่ง พลางคิดว่าจะถามสิ่งที่สงสัยดีหรือไม่ จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ “ลามาทำงานนอกอย่างนี้ เจ้านายไม่ว่าหรือครับ” 

    “อุ้ย ไม่ว่าหรอกค่า” เธอหัวเราะสดใส “แพร์ลืมบอกไปว่าลาออกมาได้สองเดือนแล้วค่ะ”

    “อ้าว” ชายหนุ่มอุทาน “สี่นึกว่ายังทำอยู่ที่บริษัทแถวราชดำริเสียอีก ก็ว่าทำไมมานัดแถวนี้”

    “ออฟฟิศใหม่ค่ะ แพร์มาเปิดกับเพื่อน”

    “เปิดกันเองเลยหรือครับ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทึ่ง “คือ ทำกันเองเลย เป็นหัวหน้า หรือยังไงครับ”

    “แบบนั้นแหละ” ภามินยิ้ม “อายุปูนนี้แล้ว ถึงวัยขยับขยายมีกิจการเป็นของตัวเองแล้วล่ะค่ะ แพลนกันมานานมากแล้วเหมือนกัน”

    “ดูเป็นเรื่องยิ่งใหญ่...” จตุรวัชรหยุดพูดเพื่อให้พนักงานนำเค้กมาวางก่อนเอ่ยต่อ “หมายถึงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนอายุไม่เท่าไหร่นะครับ”

    “ไม่เท่าไหร่นี่ยังไง” เธอกล่าว แล้วจู่ๆ ก็ยกมือทำให้อีกฝ่ายต้องชะงัก “ขอถ่ายรูปหน่อยได้ไหมคะ เค้กสวยดี”

    “ได้สิครับ เอาเลย” ชายหนุ่มเลื่อนจานให้ “แต่เดี๋ยวนะ ถ่ายงี้ก็ติดสี่ ขอเวลาสักครู่”

    เขาขยับไปเก้าอี้ทางขวา ก่อนเลื่อนแจกันทรงป้อมใส่ดอกเยอบีร่าชิดจานเพื่อตกแต่ง แต่คนจัดก็ยังว่ามันสวยไม่สุด เขาเลยเปลี่ยนมุมวางช้อนวางส้อมเสียใหม่ ก่อนล้วงกระเป๋าหยิบพวงกุญแจและปลดสร้อยคริสตัลที่ห้อยอยู่จัดแจงวางมันลงด้านหน้า ขยับไปมาให้มันสะท้อนแสงไฟด้านบนเป็นประกาย แล้วจึงยกกระเป๋าสีคาราเมลวางเป็นฉากหลัง

    “แบบนี้น่าจะสวยนะ”

    “ขอบคุณค่ะ” 

    ถ้าเขาไม่คิดไปเอง เหมือนอีกฝ่ายจะมีน้ำเสียงซาบซึ้ง แต่สายตาแสดงความประหลาดใจชัดเจน

    ภามินเล็งมุมอยู่เพียงครู่ก่อนกดถ่ายสองสามรูป “ขอบคุณนะคะคุณสี่”

    “ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มจัดการให้ของทุกอย่างคืนที่เดิม เขายื่นส้อมให้อีกฝ่ายพลางยิ้มกว้าง ทำให้เธอต้องรับมาด้วยความเกรงใจ


    เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง 

    เค้กหมดไปครึ่งชิ้นแล้วก่อนที่จตุรวัชรเงยหน้าขึ้นมาถาม “ว่าแต่เมื่อกี้...ที่สี่พูดไปว่าไม่เท่าไหร่ แล้วคุณแพร์ถาม จะพูดเรื่องอะไรนะครับ”

    “นั่นสิ” เธอตอบหน้าซื่อ ก่อนเงียบไปครู่หนึ่ง “อ๋อ เรื่องนั้นเอง แพร์หมายถึงว่า อายุไม่เท่าไหร่ นี่คือคุณสี่มองว่ายังไง”

    “สี่กลัวว่าจะพูดเรื่องไม่สุภาพน่ะครับ” ชายหนุ่มลังเล “คือเราก็ยังรู้จักกันได้ไม่นาน ทักเรื่องอายุกับผู้หญิงมันจะไม่ดี”

    “โถ ของแบบนี้มันหลอกกันได้ที่ไหน”

    “โบทอกซ์ ร้อยไหมไง”

    “แต่นั่นก็มือเหี่ยวป๊ะ? หน้าตึงมือเหี่ยว” ภามินหัวเราะร่าเริง “แพร์เข้าเลขสามแล้วค่ะ” เธอส่งยิ้มกว้างก่อนพูดต่ออย่างไม่ใส่ใจเรื่องส่วนตัวนัก “ผู้หญิงในสายงานแพร์เนี่ย อายุเท่านี้ถ้าอยู่บริษัทใหญ่ก็เป็นระดับซีเนียร์หรือสูงกว่า ไม่อย่างนั้นก็ออกมาทำออฟฟิศของตัวเอง”

    “แทบทุกคนเลยหรือครับ”

    “ไม่ค่ะ มีอีกสองกลุ่ม”

    “เขาทำอะไรครับ”

    “จำพวกแรก” หญิงสาวยกนิ้วขึ้นมาแทนตัวเลข “แต่งงานมีลูกมีผัวเลี้ยงสบายไป แล้วก็อัพเฟซบุ๊คบอกว่าเบื่อสามีงั้น งอนสามีงี้ เหมือนที่เบื่อตั้งกะตอนเป็นแฟนแหละค่ะ แต่ก็ไม่ได้เลิกคบนะ”

    “ครับ” คนฟังพยายามกลั้นหัวเราะ

    “แต่ที่ดีๆ ก็มีค่ะ เป็นแม่บ้านเต็มเวลา รับลูกส่งลูก น่าเอ็นดูเชียว” เธอกล่าวยิ้มๆ “พวกสุดท้ายคือพวกที่เรียนต่อจนหมดจนสิ้นสรรพวิชาจากพระเจ้าตาในระดับป.โทหรือป.เอกแล้ว ก็กลับมาเป็นครูบาอาจารย์ต่อ ส่วนโสด หรือไม่โสดนี่แล้วแต่บุญทำกรรมแต่งจริงๆ ส่วนใหญ่โสดมากกว่านะ”

    “ทำไมล่ะครับ” เขาถาม หลังจากกลืนเค้กลงคอไป

    “ถ้าจะเอาเวลาว่างไปส่องผู้ชาย ขอเปลี่ยนเป็นเวลานอนจะดีกว่าค่ะ” ภามินถอนใจ

    “คนเราต้องนอนให้พอนะครับ ไม่อย่างนั้นผิวจะมีปัญหามาก”

    “ถูก” เธอพยักหน้า

    “งั้นสี่จะรีบจัดการเค้กให้เสร็จ พาคุณแพร์ไปหาเฮียที่บ้าน งานวันนี้เสร็จไวคุณแพร์จะได้นอนไวๆ” จตุรวัชรเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “แล้วใครบอกว่ากลับบ้านไปแพร์จะได้นอนล่ะคะ”

    ความเงียบครอบคลุมทั้งโต๊ะไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะถอนหายใจยาวและเอ่ยออกมา

    “เดี๋ยวตอนคุณแพร์กลับสี่จะขึ้นไปหยิบมาส์กชีทฝากกลับไปให้ใช้ที่บ้านนะ”

    ขาดคำ จู่ๆ เพลง Y.M.C.A. ก็ดังขึ้น ทำให้ภามินต้องมองหาที่มาของเสียง ชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามยกมือขึ้นแทนการขออภัย ก่อนหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาสไลด์เพื่อรับสาย หญิงสาวไม่อยากจะเสียมารยาทแอบฟังบทสนทนาของอีกฝ่าย จึงหยิบโทรศัพท์ของตนเองขึ้นมาเช็คอีเมลงานของบริษัทไปพลาง

    “What!!!”

    เสียงอุทานเป็นภาษาอังกฤษของอีกฝ่ายทำให้เธอสะดุ้งจนเผลอลอบมอง โดยชายหนุ่มไม่ได้รู้ว่ามีคนแอบฟังอยู่ด้วย

    “ไม่ต้อง ไม่ต้องเลย หยุด พอ ไม่ต้องส่งของขวัญอะไรมาทั้งสิ้น ไม่เอาแล้ว ฉีกปฏิทินทิ้งซะ จะได้ไม่ต้องรู้ว่าโลกนี้มีเทศกาลโอกาสพิเศษอะไรบ้าง” 

    ภามินฟังอีกฝ่ายสนทนาด้วยสำเนียงอังกฤษชัดเป๊ะและคิดว่าเขาโดนสตอล์กเกอร์*คุกคามกระมัง คนพวกนี้ถ้าไม่ตามทำร้าย ก็จะคอยทำให้คนที่ตัวเองเฝ้ามองพอใจ

    จตุรวัชรนิ่งคล้ายฟังอีกฝั่งโทรศัพท์อย่างตั้งใจ “เออ ครับ ยกเว้นเพชร เรายังดีลกันอยู่ ส่งมาเถอะ” 

    อ้อ…คู่ค้านี่เอง

    จตุรวัชรก้มหน้าเท้าศอกกับโต๊ะพลางใช้มือนวดขมับ “งานการมีทำไปทำโน่นเลย ไม่ต้องซื้ออะไรมาให้แล้ว... แล้วไม่ต้องมาพูดภาษาไทยอวด พอ หยุด เป็นชีคนี่มันว่างนักหรือไงกัน แค่นี้นะ”

    ‘ชีค’

    ภามินกะพริบตาปริบๆ

    คู่ค้าหรือคู่ขา หรืออาจจะเป็นผู้หญิง...แต่ชีคไม่น่ามีผู้หญิง ฉะนั้นจึงแปลได้ว่าคนที่ปลื้มชายหนุ่มเป็นชายหนุ่ม ชายวัยกลางคนหรือชายแก่

    อุ๊ยตาย... 

    เธออุทานในใจ พร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้า

    “ขอโทษนะครับคุณแพร์”

    หญิงสาวหุบยิ้ม ลบความคิดไม่ดีของตนเองออกไป “ไม่เป็นไรค่ะคุณสี่”

    ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง “ผมว่าเรารีบไปกันดีกว่าครับ” 

    เธอพยักหน้า พลางรวบข้าวของของตน และส่งกระเป๋าสะพายให้อีกฝ่าย แต่แล้วเธอก็ต้องเงยหน้าขึ้น เมื่อรู้สึกว่ามีเงาดำใหญ่พาดเหนือโต๊ะ

    “เชี่ย”

    ชายหนุ่มมองภาพนั้นแล้วสบถ

    เธอก็เอ่ยเช่นกัน...ในใจ

    ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือเด็กหนุ่มร่างเล็กพยายามยิ้มเผล่ ทั้งที่อกสะท้อนขึ้นลงเพราะหอบเนื่องมาจากอุ้มดอกไม้หลากสีช่อโตเท่าลูกนิมิตเหน็บเอวเอาไว้ อีกมือหนึ่งถือกระดาษคล้ายใบเสร็จของร้าน 

    “คุณจตุรวัชรท่านไหนนะครับ” สายตาเขาจับจ้องมายังหญิงสาว ขณะที่แขกและพนักงานในร้านก็มองเขาอย่างไม่วางใจ

    เธอสั่นศีรษะ ผายมือไปยังผู้ที่ยืนสะพายกระเป๋าค้างอยู่ ก่อนจิบน้ำที่เหลือวางท่าไม่สนใจให้เหมือนมีมารยาทอันดีงาม

    “อ้อ… เอ๊ะ ผู้ชาย? ” เด็กหนุ่มพึมพำพลางเปิดการ์ดใบจิ๋วที่ผูกอยู่กับก้านดอกทานตะวันไซส์เท่าหัวเด็ก “เอ่อ คุณจตุรวัชรนะครับ มีข้อความฝากมาจากคุณเฝ้าสี่”

    ภามินสำลัก

    เป็นชื่อที่เหมาะกับการเป็นสตอล์กเกอร์ของอีกฝ่ายนัก

    “เฟาว์ซี” จตุรวัชรแก้

    “แต่ในนี้เขียนว่าเฝ้าสี่นะฮะ”

    “เฟาว์ซี” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงรำคาญ

    “เฝ่าซี้?”

    “เฟาว์ซี”

    “เฝาสี?”

    “เฟาว์ซี”

    “คุณเฝ้าสี่สั่งว่าให้อ่านข้อความในการ์ดด้วยฮะ”

    จตุรวัชรถอนใจ เมื่อความพยายามในการแก้สำเนียงเรียกชื่อไม่เป็นผล “ไม่ต้องอ่าน เอามาแล้วก็ไปซะเถอะครับ”

    “ไม่ได้นะฮะ” พนักงานแย้ง “ร้านเราเป็นร้านดอกไม้อันดับต้นๆ ของประเทศ ลูกค้ารีเควสต์อะไรมาเราก็ต้องทำให้ได้ ต่อให้โรยตัวลงมาจากฮ. ยังทำได้เลย แค่อ่านการ์ดแค่นี้ผมทำได้ฮะ” น้ำเสียงมุ่งมั่นละความจริงจังต่อหน้าที่การงานผิดคนวัยเดียวกันทำให้คนฟังใจอ่อน

    “เอาเถอะ ว่ามา จะรีบไปแล้ว”

    “คุณเฝ้าสี่บอกว่า... ‘เพลงนี้เพื่อสี่ที่รักนะครับ’ หือ นะครับเหรอ” ผู้พูดมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย

    หญิงสาวเม้มปากพยายามกลั้นยิ้ม โดยไม่สนใจว่ามันจะทำให้ลิปสติกเลอะออกนอกขอบปากหรือไม่

    เด็กหนุ่มกระแอมเบาๆ สลัดทิ้งความสงสัย และทำงานต่ออย่างเป็นมืออาชีพ ด้วยการเอ่ยข้อความด้วยเสียงดังพอฟังชัด(เกือบทั้งร้าน) “ฉันคิดถึงเธอ ตั้งแต่หัวค่ำ จนอุษาสาง...”

    “จนอุษาสาง...” 

    ทั้งสองหันไปมองภามินที่ฮัมเพลงต่อได้เข้าจังหวะแต่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

    “ด้วยเกิดความรัก ผุดขึ้นที่กลางว่าง...”

    “หว่าง” จตุรวัชรแก้

    “ฮะ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ “ด้วยเกิดความรัก ผุดขึ้นที่กลางหว่างหทัย... ใจเราตรงกัน...”

    “พอละ” คนได้รับข้อความตัดบท “ขอดอกไม้ด้วย”

    พนักงานทำหน้าเศร้า ก่อนส่งช่อดอกไม้ยักษ์ให้ ด้วยท่าทางที่อีกนิดเดียวก็จะเหมือนยักษ์แอทลาสที่แบกโลกเอาไว้

    “รบกวนเซ็นรับด้วยนะฮะ” เขายื่นแทบเล็ตและปากกาสไตลัสให้จตุรวัชรที่ลงชื่อรับไปด้วยใบหน้าบูด “ขอให้มีความสุขกับวันดีๆ นะฮะ”

    “จ้ะ” ชายหนุ่มกระแทกเสียง “เออ ขอโทษนะครับ ว่าแต่การ์ดนี่คนส่งดอกไม้สั่งให้เขียนหรือยังไง”

    “ฮะ” เด็กหนุ่มตอบหน้าซื่อหลังเก็บแทบเล็ทลงกระเป๋าเป้ “ผมอยู่ตอนที่คุณเฝ้าสี่โทร.มาสั่งที่ร้านฮะ พอดีคุณยายของพี่เจ้าของร้านเป็นคนรับ คุณยายเป็นครูสอนภาษามาก่อนฮะ พูดอังกฤษไฟแลบเลย ผมไม่รู้หรอกคุยอะไรกัน แต่คุณยายเล่าให้ฟังว่าเขาอยากเขียนการ์ดให้คนพิเศษด้วยเพลงซึ้งตรึงใจและโด่งดังมากๆ คุณยายเลยแนะนำเพลงไป”

    จตุรวัชรไม่ประหลาดใจแล้วว่าเพราะเหตุใดเพลงมันถึงวินเทจได้ขนาดนี้

    “ขอบคุณมาก” ชายหนุ่มล้วงกระเป๋าสะพาย หยิบธนบัตรจากระเป๋าสตางค์ใส่ในมือของพนักงานร้านดอกไม้ “นี่ให้เพราะต้องแบกของหนักมาไกล ตอนกลับขับรถขับราดีๆ นะ”

    “โห ขอบคุณครับ” อีกฝ่ายยกมือไหว้ท่วมหัว ก่อนกล่าวลาและเดินลงบันไดเลื่อนไป

    ทิ้งไว้เพียงดอกไม้ช่อใหญ่ ที่คล้ายขุดปล้นมาจากสวนหลวงร.๙ 

    “เราไปกันเถอะครับคุณแพร์” จตุรวัชรยกช่อดอกไม้ขึ้นมาด้วยท่าทางไม่ลำบากนัก “สี่…คงช่วยคุณแพร์ถือของไม่ได้”

    “อุ๊ย ไม่เป็นไรค่ะ แค่ไม่เอาดอกไม้มาให้แพร์ถือก็เป็นบุญเป็นคุณแล้ว” เธอสัพยอก ส่งผลให้อีกฝ่ายยิ้มแยกเขี้ยวใส่

    ทั้งสองเดินไปลงลิฟต์ใกล้กับลานจอดรถ เพราะจตุรวัชรไม่อยากอวดโฉมกอดอกไม้หลากสีให้ใครเห็นมากนัก เขาเดินนำเธอไปยังรถของตัวเอง กดปลดล็อค ปรับเบาะให้เลื่อนมาด้านหน้า ก่อนเอาดอกไม้ยัดไว้ด้านหลัง

    “ขอของคุณแพร์หน่อยฮะ”

    หญิงสาวเลิกคิ้วเมื่อสังเกตว่าคำลงท้ายของอีกฝ่ายแปลกไป เธอส่งของทั้งหมดให้อีกฝ่ายยกเว้นกระเป๋าถือ ก่อนที่เขาจะเลื่อนเบาะกลับ และเดินมาอีกฝั่งเพื่อเปิดประตูรถให้เธอเข้าไปนั่ง

    “อึดอัดหน่อยนะฮะ ทีแรกสี่คิดว่ามีแค่ของคุณแพร์ เลยไม่ได้เอารถใหญ่มา” เขาเอ่ยเสียงละห้อย ขณะกำลังคาดเข็มขัดนิรภัย “ถ้ารู้ว่าจะมีดอกไม้นี่มานะ...”

    “คุณสี่จะขับรถอีแต๋นมา”

    “โอ้ย” เขาหัวเราะ “สี่จะให้คุณแพร์ไปที่บ้านเองเลยแหละ ไม่ขับมารับหรอก ชิ่งหนีแน่ๆ แล้วให้พี่ยามเอาเข้ามาให้ป้าแม่บ้านจัดแจกัน แต่ก็นะ จะจัดแจกันดอกทานตะวันอีท่าไหน” ชายหนุ่มนิ่งไป ขณะที่กำลังเลี้ยวรถออกจากลานจอด ก่อนเอ่ยขึ้นมา ระหว่างรอคันหน้าคืนบัตรจอดรถ “คุณแพร์ฮะ”

    “คะ”

    “จะว่าอะไรไหมถ้าก่อนไปบ้านจะแวะที่นึงก่อน”

    “ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา อย่าทิ้งแพร์ไว้ก็พอ”

    “งั้นเราไปวัดกัน”


    จบบทที่ ๒


     fb page จตุรดา - เอื้องอลิน - เมพหมี


    Stalker คำศัพท์เดิมมีที่มาจากฤดูล่าไก่ป่า แต่ในบริบทของยุคใหม่หมายถึงคนที่มีพฤติกรรมคอยติดตามเป้าหมายย่างใกล้ชิด จนหลายครั้งถือเป็นการล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัว

    ตุ๊เจ้า พระสงฆ์ในภาษาคำเมือง / พระ หมายถึงเณร

    Carat หน่วยการวัดระดับน้ำหนักของอัญมณีต่างๆ ที่ถูกกำหนดให้เป็นสากล หากเทียบในระบบเมตริก อัญมณี 1 กะรัต มีค่าเท่ากับ 0.2 กรัม

    เพชรระดับไร้สี (Colorless) ได้แก่ เพชรน้ำ 100, 99, 98 หรือ เพชรสี D, E, F

    Duchess Cut

    Asscher Cut

    Glam (Glamour)การแต่งหน้าโดยใช้สีโทนอุ่น เช่น น้ำตาล ทอง ส้ม แดง เพียงโทนเดียว โดยไม่เน้นความฉูดฉาด จัดจ้าน เน้นการแต่งตาด้วยสีไม่จัด ใช้ขนตาทรงแผงเพื่อให้ตาชัด ขับสีตา เป็นอิทธิพลจากยุค 50-60 และให้ความรู้สึกหรูหราเมื่อมอง

    PR Public Relations นักประชาสัมพันธ์

    AE Account Executive นักติดต่อประสานงาน

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in