เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[นิยาย] ดุจเรือนใจMepMhee
ดุจเรือนใจ (บทที่ ๑)

  • ภายในกำแพงสูงของบ้านหลังใหญ่นั้น มีต้นไม้มากเกินกว่าจะเป็นการตกแต่งสวนอย่างที่เขานิยมทำกัน

    จริงอยู่ว่ามีมุมหนึ่งของบ้านเป็นลานวางบอนไซหลากขนาด ทั้งหมดอยู่ในกระถางเรียงรายบนชั้นไม้ ซึ่งต่อไว้อย่างที่แขกไปใครมาก็รู้ว่าผู้ฟูมฟักพืชพรรณเหล่านี้มาต้องการจะอวดความงามของมัน ทว่ามุมอื่นๆ กลับมีต้นไม้ใหญ่อยู่โดยทั่วไป หากเป็นผู้สนใจไม้ผลเพียงมองใบก็คงบอกได้ว่าส่วนใหญ่เป็นต้นมะม่วง และทุกต้นเป็นคนละสายพันธุ์กัน

    ชายหนุ่มร่างสูงที่นอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวยาวตรงชานบ้านขยับตัวเล็กน้อย หลังลมพัดใบไม้ดังซู่ใหญ่อยู่นานจนรบกวนการนอนกลางวัน เขาพลิกตัว ลืมตามองต้นไม้เบื้องหน้าที่กิ่งก้านไหวลู่ตามแรงลม ก่อนหลับตาลงอีกครั้ง 

    ผู้ที่นอนอยู่จำได้ ว่าลมที่พัดจนลูกมะม่วงเขียวเสวยซึ่งพากันออกลูกพราวเต็มต้นให้แกว่งไกวกระทบกัน เป็นลมประจำฤดูร้อนที่เรียกว่าลมตะเภา ในตอนเด็กๆ น้องชายของเขามักเรียกมันอย่างผิดๆ ว่าเป็นลมว่าว เนื่องจากเหมาเอาว่ามันพัดแรงแล้วทำให้ว่าวขึ้นได้ มันก็ควรจะเป็นลมว่าว คนเป็นพี่ชายก็หลงเชื่อตามนั้นอยู่หลายปี เนื่องจากเติบโตและเรียนหนังสือที่ต่างประเทศ เรื่องที่เป็นองค์ความรู้ไทยๆ จึงอ่อนด้อยกว่าน้องชายซึ่งอ่อนกว่า ๑๐ ปี

    น้องชายของเขาตั้งตนเป็น 'กูรู' เรื่องไทยๆ ใช้ชีวิตผูกพันกับถนนเส้นรังสิต บางปะอิน ไทรน้อย ราวมันเป็นเด็กติดรถบรรทุกขึ้นสายเหนือซึ่งเชี่ยวชาญระบบลอจิสติกของภูมิภาคอินโดจีน ที่มุ่งไปยังเมียนมาร์และจีนตอนใต้

    เขาเคยว่ามันเช่นนั้น แต่เจ้าตัวก็บอกแค่ว่า

    'ไม่ได้เก่งขนาดน้าน' มันทำเสียงสูง 'แค่เป็นลูกครึ่งอยุธยา – กรุงเทพฯ แค่นั้นเอง'

    ฟังแล้วก็อยากจะถุยใส่

    ผู้ที่นอนอยู่หวังว่าตนกำลังจะหลับ อันที่จริงเขาตั้งใจจะหลับ แต่ทำไม่ได้

    เนื่องมาจากเสียงกระดิ่งลมรูปกบสีเขียวซีดดังกรุ๋งกริ๋งไม่หยุดหย่อน

    มันคงจะทำให้รู้สึกดีกว่านี้ ถ้าไอ้คนซื้อกระดิ่งลมมันจะหยิบมาแต่พอดี แค่อันหรือสองอัน พอให้เสียงใสๆ สร้างบรรยากาศ แต่ว่าไอ้กระดิ่งลมเสียงแหลมมันห้อยอยู่ที่ชายคาฟากนี้ตลอดแนว โดยเว้นระยะห่างกันอันละหนึ่งไม้บรรทัด พอลมพัดเสียวูบ ก็ฟังราวมีคณะประสานเสียงกระดิ่งกบโซปราโน พากันร้องระงมมากกว่ายี่สิบตัว

    บัดซบที่สุด

    อะไรดลใจให้น้องชายตัดสินใจซื้อมลพิษทางเสียงพวกนี้มากันนะ

    เขาเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อคืนนี้ ขณะที่อยู่บนเครื่องก็มีอาหารเวียนศีรษะอยากจะอาเจียน ทำเอาแอร์โฮสเตสพากันวุ่นตั้งแต่ชั้นเฟิร์สคลาสยันอิคอนอมี่ เมื่อถูกสอบประวัติชายหนุ่มสามารถตอบได้ว่าตนเองไม่ได้เป็นหวัด ไม่ได้มีปัญหาน้ำในหูไม่เท่ากัน กระทั่งความดันสูงก็ยังไม่เป็น ทำให้ทุกคนต่างสงสัยว่าอาการนั้นเกิดจากอะไร แต่ที่ทำให้เขารู้สึกผิดที่สุด คือทำให้ภรรยาต้องเป็นห่วงทั้งที่เพิ่งกลับมาจากการไปฮันนีมูน ทว่าพอเห็นหน้าเธอมองด้วยความห่วงใย เขาก็ทั้งดีใจและรู้สึกผิดกับความปีติที่เกิดขึ้นไปพร้อมๆ กัน

    เมื่อเครื่องแลนดิ้งทางสายการบินบอกว่าจะพาเขาไปโรงพยาบาล ทว่าชายหนุ่มยืนกรานว่าไม่ไปและยืนยันว่าอยากจะกลับบ้านไปนอน แต่ครั้นจะไปคอนโดมิเนียมที่มีกันอยู่แค่สองคน ก็เกรงว่าจะทำความลำบากให้ภรรยา คนป่วยจึงตกลงปลงใจให้น้องชายสุดที่รักซึ่งขับรถมารับพาทั้งคู่ไปค้างที่บ้านพ่อแม่แทน เพราะเขาคาดว่าอาจจะไม่ได้ป่วยอะไรหนักหนา ไม่มากไปกว่าอาการของคนที่ข้ามเส้นแบ่งเวลาทั่วไป

    แต่เขาคิดผิด

    เมื่อลืมตาตื่นมาตอนเช้าเขาก็ยังมึนหัวอยู่ แต่เขาไม่กล้าบอกใคร เพราะเกรงว่าจะทำให้คนเฒ่าคนแก่ตกอกตกใจ แต่ภรรยาของเขาก็ดันออกไปธุระข้างนอกเสียอีก เขาเลยหลบมานอนพักเงียบๆ คนเดียว แต่ก็เหมือนจะทำไม่สำเร็จ เพราะตอนนี้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนในท้องมีทอร์นาโดขนาด เอฟ-๕ กำลังก่อตัวม้วนอยู่ในท้องจนทำให้เขารู้สึกมวนอย่างหนัก

    จึงเหลือที่พึ่งเดียว

    คือน้องชายบังเกิดเกล้าซึ่งเขาทูนหัวทูนกระหม่อมไว้

    ชายหนุ่มค่อยๆ ยันตัวลุกจากเก้าอี้ไม้ที่ปรับเอนไว้ราวเป็นเก้าอี้ชายหาด ด้วยเหตุที่มันวางอยู่ใต้ร่มเงาของชายคา รวมถึงการออกแบบบ้านที่ทำให้ตรงนี้เป็นทางลม พาพัดเอาไอน้ำจากบ่อเล็กๆ ด้านหน้าเข้ามา แสงแดดและความร้อนเดือนเมษาจึงทำอะไรเขาไม่ได้มาก แต่ก็เพียงพอทำให้เขารู้สึกวูบเบาๆ

    เขาเดินเข้าไปในตัวบ้าน เกาะกำแพงและจับราวบันไดลากร่างตัวเองขึ้นไปยังห้องของน้องชายที่อยู่ชั้นสอง วันนี้เป็นวันหยุด และอีกฝ่ายไม่ได้ไปอยุธยา แน่นอนว่าน้องที่รักคงนอนตีแปลงไม่ก็นั่งทำงานอยู่ในห้อง

    หลังจากใช้เวลาพาสังขารอันเสื่อมถอยมาถึงชั้นบนและอยู่หน้าห้องน้องชายได้ เขาจึงเคาะเบาๆ น้องชายของเขาไม่ถือสาหากใครจะเข้าห้องถ้าไม่ได้ล็อคประตูเอาไว้ จึงทำให้ทุกคนแวะเวียนมาที่ห้องนี้บ่อย ๆ เขาหมุนลูกบิด เมื่อพบว่าประตูไม่ได้ล็อคอยู่จึงเดินเข้าไป

    ทันทีที่เปิด กายเขาสะท้านเหมือนโดนซัดด้วยวิชาฝ่ามือสยบมังกร ๑๘ ท่าของก๊วยเจ๋ง แต่ไม่ใช่ในรูปของสเปเชียลเอฟเฟกต์ ทว่าเป็นเสียงประสานของสามพี่น้องมอริซ โรบิน และแบร์รี่แซ่กิบบ์ส สำนักบีจีส์ ที่ดังกระหึ่มมาจากลำโพงเครื่องเสียงหน้าตาทันสมัย

    ชายหนุ่มขมวดคิ้วครุ่นคิด นี่แสดงว่าน้องชายกำลังตั้งใจทำงานอย่างยิ่ง

    เจ้าของห้องเป็นคนที่ดิ่งสมาธิด้วยการปล่อยตัวเองให้อยู่ในแวดล้อมของเสียงเพลง ถ้าเป็นคนปกติอาจจะเปิดเพลงบรรเลงแช่มช้า ชวนให้จิตใจชื่นมื่นและอิ่มเอมด้วยความสงบ

    แต่ไม่ใช่น้องชายของเขา

    น้องที่รักมักเปิดเพลง 'ดิสโก้' เพื่อสร้างสมาธิในการทำงาน เจ้าตัวเคยบอกว่า

    'เพลงดิสโก้เป็นสิ่งที่ดึงศักยภาพด้านการสร้างสรรค์ออกมาได้ดีที่สุด คิดดูสิ ทุกอย่างดใสและมีสีสัน ขนาดเสื้อผ้านักดนตรียุคนั้นยังเปรี้ยวเสียจนคนสมัยนี้ไม่กล้าใส่เล้ย' 

    มันไม่พูดเปล่า ยังพยายามสบตาเขาด้วยตาเล็กๆ ที่ได้รับมรดกทางพันธุกรรมมาจากปู่ย่าตายาย

    'เสียงเพลงดิสโก้ทำให้สมองเกิดแสงสีพร่างพรายประกายรุ้งนะเฮีย'

    เขาไม่เถียง...อันที่จริงไม่อยากเถียง

    พี่ชายเดินผ่านห้องเก็บหนังสือที่อยู่ด้านหน้าสุดเข้าไปยังห้องนั่งเล่นที่อยู่ตรงกลาง เสียงร้องแหลมอย่างที่เรียกว่าฟาลเซ็ตโต้* ของพี่น้องตระกูลกิบบ์ส*เกือบจะทำให้เขาโยกหัวตามถ้าไม่ได้รู้สึกมึนเช่นตอนนี้ เขาได้ยินเสียงน้องชายร้องเพลงคลอ แถมทำเสียงแหลมร้องเพลงดิสโก้ตามสไตล์ของวงบีจีส์*ได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน

    ห้องนั่งเล่นขนาดกะทัดรัดนั้นเคยเรียบร้อยมาตลอดตามนิสัยละเอียดลออของน้องชาย ทว่าในตอนนี้มันดูรกอย่างยิ่ง บนโต๊ะกลางติดกับโซฟาลายธงชาติอังกฤษมีแฟ้มและกระดาษงานออกแบบวางอยู่กระจัดกระจาย ผู้เป็นพี่ถอนหายใจก่อนเดินไปรวบทั้งหมดเข้าด้วยกัน หมายใจว่าจะหาอะไรวางทับให้เรียบร้อย แต่บางสิ่งที่ถูกวาดไว้บนกระดาษแผ่นนั้นทำให้เขาสะดุดใจ

    มองเผินๆ มันอาจจะเป็นสเก็ตช์ดีไซน์บนกระดาษ ซึ่งเป็นกระบวนการทำงานปกติของผู้เป็นดีไซเนอร์ของแบรนด์ร้านเครื่องประดับของครอบครัว แต่ว่าคราวนี้มันแตกต่างออกไป มีบางอย่างที่แผกไปจากงานที่อีกฝ่ายเคยทำให้ที่ร้าน

    พี่ชายหรี่ตามองอย่างใช้ความคิด ก่อนเก็บกระดาษเหล่านั้นวางให้เป็นระเบียบ แล้วเกาะกำแพงเดินไปหาน้องชายที่อยู่ในห้องทำงานริมระเบียง

    “โอ้ย"

    ชายหนุ่มกุมหน้าผาก รีบเงยหน้ามองว่าอะไรที่ห้อยอยู่ตรงกรอบประตูแล้วมาโขกหัวเขาได้

    ลูกบอลดิสโก้ไซส์ส้มสายน้ำผึ้ง

    อันที่จริงเขาว่าน้องชายควรลดระดับความดิสโก้ในตัวเองลงสักนิด น่าจะดีต่อคนอื่น...มิใช่น้อย




    เจ้าของห้องหมุนเก้าอี้ไปหาต้นเสียง โดยไม่วายจับปกเสื้อฮาวายสีส้มลายดอกชบาเพื่อความเรียบร้อย เขาจึงได้เห็นพี่ชายของตนเองยืนเอามือลูบหน้าผากอยู่

    “อ้าว เฮีย ขึ้นมาทำไมเงียบๆ อะ"

    “ไม่เงียบหรอก” เขาถอนหายใจ มองก่อนมองน้องชายซึ่งมัดผมหน้าสีดำเป็นทรงน้ำพุอย่างหมาชิห์สุ “สี่เปิดเพลงดังเองต่างหาก"

    “แหม ก็สร้างบรรยากาศ" น้องชายยิ้มกว้าง ก่อนกดรีโมทหรี่เสียงเพลง

    “แล้วไอ้นี่มันอะไร" ตรัยเอานิ้วจิ้มลูกบอลกระจกลูกเล็ก ที่ล้อแสงเป็นประกายวิบวับ...แยงตา มากพอๆ กับต่างหูเพชรบนติ่งหูซ้ายของอีกฝ่าย

    “บอลไง ดิสโก้บอล มิเรอร์บอล"

    “เออ รู้แล้ว" เขาตอบเสียงขุ่น "หมายถึงว่าเอามาไว้ที่นี่ทำไม"

    “ห้อยไว้ตรงประตูไง คล้ายกระจกแปดเหลี่ยมแหละ ไว้สะท้อนสิ่งชั่วร้ายออก แต่นี่แบบ...สดใส ร่าเริงกว่า แล้วสิ่งชั่วร้ายก็คงโดนสะท้อนแบบกระจัดกระจาย สลายร่างคล้ายๆ ปีศาจโดนเซเลอร์มูนจัดการ หรือว่าโดนอุลตร้าแมนบีมใส่อะ"

    คนเป็นพี่ชายปวดหัวหนักกว่าเดิม เขาหลับตาครุ่นคิดหาเหตุผลว่ากระจกสองอย่างนี้มันคล้ายกันตรงไหน ก่อนลืมตามองหน้าน้องชายที่เพิ่งย้อมผมจากน้ำตาลอ่อนกลับเป็นสีดำได้พักหนึ่ง ทำให้อีกฝ่ายดูหน้าเด็กกว่าเดิม ดู 'ปกติ' มากขึ้น แต่ความไม่ปกติอันกลายเป็นค่าตั้งต้นที่จตุรวัชรถูกกำหนดมาตั้งแต่ออกจากท้องแม่กลับหายไป จนทำให้เขาไม่ชิน

    แต่ช่างมันเถอะ...เหมือนทุกครั้ง น้องชายเขาไม่เคยทำอะไรเข้าใจง่ายอยู่แล้ว

    "เฮียขึ้นมามีอะไรรึเปล่า ทำไมไม่โทร.หาสี่อะ สี่จะได้ลงไปหา"

    จตุรวัชรมองพี่ชายของเขากะพริบตาปริบๆ หากให้น้องชายแปลภาษาท่าทางให้ คงแปลได้ว่า 'เออ ว่ะ'

    “ขึ้นมานี่เฮียอาการดีขึ้นแล้วเหรอ"

    “ไม่"

    “อ้าว" น้องชายร้อง "แล้วขึ้นมาไมอะ"

    “เฮียอยากให้สี่พาไปโรงบาลหน่อย เฮียมึนหัวมาก ไม่ไหวแล้วว่ะ"

    “นั่งก่อนเฮีย นั่งก่อน" ชายหนุ่มผุดลุกจากเก้าอี้และมุมทำงานที่ทาสีผนังเป็นสีม่วงดอกผักตบชวา เขาปรี่เข้ามาหาพี่ชาย สอดแขนประคองคนที่ตัวสูงกว่าให้กลับไปนั่งที่โซฟา

    “เดี๋ยวสี่ไปบอกให้คนขับรถเอารถออกให้นะ"

    “ไม่เอา" พี่ชายทิ้งตัวลงนั่งกับโซฟา "เดี๋ยวพ่อกับแม่เป็นห่วง"

    “แล้วหน้าซีดงี้คิดว่าเขาไม่รู้กันงั้นสิ" จตุรวัชรเท้าสะเอวพลางมองพี่ชาย อีกฝ่ายดูเหมือนจะยืนยันคำพูดตัวเองด้วยแววตามุ่งมั่น ผิดกับใบหน้าซีดเผือด

    "เอาเหอะ เดี๋ยวสี่พาไปก็ได้ แต่ต้องโทรบอกแพนนะ มีอะไรอย่าปิดภรรยานะรู้ไหม"

    “ถึงโรงพยาบาลก่อนค่อยโทรนะ" ตรัยต่อรอง

    น้องชายหรี่ตาที่ตี่อยู่แล้ว ก่อนถอนหายใจ "ก็ได้"



    โรงพยาบาลเอกชนแม้จะไม่ใช่ระดับพรีเมี่ยมแต่ก็ดูโอ่อ่าโอ่โถง 

    เจ้าหน้าที่ในชุดเครื่องแบบสีขาวฟ้าดูสะอาดตาเดินไปมาขวักไขว่ ใบหน้าฉาบรอยยิ้มเข้ามาทักทายคนไข้และไถ่ถามอำนวยความสะดวกให้กับทุกคน แต่เหมือนว่าคนไข้ที่เพิ่งเข้ามาใหม่จะพิเศษกว่าคนอื่น เพราะมีเจ้าหน้าที่สาวๆ หลายคนกุลีกุจอกันออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ เพื่อเดินมาหาคนนั่งอยู่บนรถเข็น โดยเจ้าหน้าที่ผู้ชายซึ่งเข็นรถเข้ามาตั้งแต่ลงรถทำสีหน้าสีตาราวหมั่นไส้พวกเธอเหลือเกิน

    “สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับนะคะ”

    “ไม่ทราบว่าเคยมาโรงพยาบาลเราหรือไม่คะ”

    พวกเธอยิงคำถามรัวเร็วเป็นชุดให้กับชายหนุ่มร่างสูงล่ำที่มีใบหน้าหล่อเหลาออกตี๋นิดๆ แถมยังดูละม้ายดาราจีนคนหนึ่งอย่างประหลาด สาวๆ ทั้งหลายดูจะสนใจสอบถามหนุ่มหล่อจนลืมไปว่าเขาเป็นคนป่วย ผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น จึงทำได้แค่โบกมือปฏิเสธ

    “มีอะไรถามผมได้นะฮะ”

    จตุรวัชรโผล่หัวเสนอหน้าไปยิ้มตอบเจ้าหน้าที่ธุรการสาวซึ่งตั้งใจแจกยิ้มให้พี่ชายของเขา ชายหนุ่มพยายามกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นอีกฝ่ายถลึงตาด้วยความตกใจ ก่อนเธอจะตั้งสติได้และกลับมาทำงานของตนอีกครั้ง

    “ญาติคนไข้ใช่ไหมคะ ไม่ทราบว่ามีบัตรผู้ป่วยไหมคะ"

    เขาหันไปมองหน้าพี่ชายที่นั่งอยู่บนรถเข็น โดยมีเจ้าหน้าที่ชายฝ่ายขนย้ายผู้ป่วยดูแล เมื่ออีกฝ่ายสั่นศีรษะ เจ้าหน้าที่จึงเอ่ยต่อ

    “เป็นคนไข้ใหม่รบกวนญาติตอบประวัติเพื่อให้ทางเราใช้กรอกเอกสารหน่อยนะคะ"

    “ได้ครับๆ แต่เดี๋ยวผมกรอกเองก็ได้ครับ จะได้ไวๆ” จตุรวัชรอาสา “เออ…ว่าแต่ถ้าเรายังไม่ได้เป็นคู่สมรสก็กรอกได้ใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มถามหน้าซื่อ

    “อ๋อ…คู่สมรส เอ๊ะ เอ่อ...ได้ค่ะ" หลังจากพ่นคำอุทานเป็นชุดเธอจึงเลื่อนกระดาษให้เขา ก่อนถอยฉากไปจากหน้าเคาน์เตอร์ โดยคนอื่นๆ ก็พากันกระจายตัวหายไปในเวลาไม่นานนัก

    จตุรวัชรลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนก้มหน้าก้มตาเขียนข้อมูลโดยมีเสียงพี่ชายดังงึมงำอยู่ใกล้ๆ 

    “เอารถไปจอดเรียบร้อยแล้วเหรอ”

    “ก็ให้น้าชิดเอาไปจอดน่ะ” น้องชายอ่านรายละเอียดอย่างตั้งอกตั้งใจก่อนเขียนต่อ “นี่ถ้าให้สี่ขับมาเองเฮียก็คงต้องนั่งแกร่วรออีกนานเลยเนี่ย เชื่อดิ”

    “น่า…” พี่ชายตอบเสียงอ่อน “ยังไงก็ขอบใจนะ”

    “ไม่เป็นไรฮะเฮีย” น้องชายยิ้มตาหยี

    “แต่ไม่รู้จะโทรบอกแพนทำไม...” 

    “ก็โทรบอกภรรยาไง แหม จะเป็นไรไป เดี๋ยวอาซ้อก็มาแล้ว" จตุรวัชรโทรบอกภรรยาของพี่ชายเมื่อครู่ แน่นอนว่าเธอตกใจ และรีบบอกว่าจะมาที่โรงพยาบาลในทันที โดยปกติแล้วที่บ้านจะใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนใหญ่กว่านี้ ทว่ามันก็อยู่ไกลออกไป เขาเลยเลือกพาพี่ชายมาโรงพยาบาลใกล้บ้านแทน

    “แพนอุตส่าห์นัดเจอเพื่อนก็ต้องรีบกลับ” ตรัยยังโทษตัวเองไม่เลิก

    “แหม ลาเพื่อนกลับไว ดีกว่าไม่ทันมาดูใจก่อนสามีตายนะเฮีย”

    “ไอ้เวร! แช่งเฮียได้ไง” พี่ชายร้องเสียงดัง

    น้องชายลอยหน้าลอยตาแล้วจึงตอบ “คนที่ไม่ห่วงตัวเองจนทำให้คนที่รักต้องห่วงมากขึ้นไปอีกหลายเท่าน่ะ ไม่น่าสงสารหรอก”

    “ขอเชิญคุณตรัยด้านนี้เลยนะคะ” 

    เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งมาเดินนำทางให้ทั้งหมดเดินตามไปด้านใน จตุรวัชรพยักพเยิดให้พี่ชายไปกับเจ้าหน้าที่ พลางทำปากบุ้ยใบ้ว่าตนเองจะอยู่ข้างนอกเพื่อรออนุตดาผู้เป็นภรรยาของพี่ชาย ตรัยยอมรับการตัดสินใจของน้องชาย ก่อนหันไปบอกให้เจ้าหน้าที่เข็นรถพาตัวเองเข้าห้องตรวจ

    จตุรวัชรเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างมือ เขาวาดมือผ่านอินฟราเรดเพื่อให้น้ำไหล ก่อนกดโฟมสบู่ถูล้างมืออย่างถูกหลักอนามัย ทั้งฝ่ามือ ง่ามนิ้ว ข้อมือ แล้วจึงล้างน้ำเปล่า เมื่อส่องกระจกมองตัวเองแล้วจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาออกจากบ้านมาโดยไม่ได้หวีผม เปลี่ยนเสื้อ หรือกระทั่งล้างหน้าก็ยังไม่ได้ทำ และครีมกันแดดยังไม่ได้ทา...

    บัดซบ ! ถึงจะไม่โดนแดดโดยตรงเพราะอยู่ในรถในร่มตลอดก็เถอะ แต่รังสีอัลตร้าไวโอเลตมันสะท้อนกับพื้นขึ้นมาโดนผิวได้ แล้วยิ่งกรุงเทพฯโอโซนโหว่ แดดจัด และคนที่อยู่ก็ไม่หัดช่วยกันปลูกต้นไม้ เขาถึงต้องปกป้องผิวตัวเองอย่างเต็มที่เช่นนี้ แต่นี่ไม่ใช่ความผิดเขาแต่เพียงฝ่ายเดียว เขาโทษเฮีย

    ใช่ เฮียตรัยนั่นแหละ เพราะเขาต้องรีบประคองพี่ชายให้เข้าไปนั่งในรถ หันไปปดกับแม่บ้านซึ่งยืนดูอยู่ห่างๆ ว่าที่หายไปกันแค่จะไปหาขนมกินเธอถึงวางใจและเข้าบ้านไป จากนั้นจึงกวักมือเรียกให้คนขับรถรีบมาขึ้นนั่งทางฝั่งคนขับ โดยที่จตุรวัชรลืมไปเลยว่าที่แม่บ้านต้องยืนรอนั้น เนื่องจากรอส่งครีมกันแดดให้ !

    หายนะนี้พี่ชายเขาต้องชดใช้ด้วยสเต็ก

    จตุรวัชรหยิบผ้าเช็ดหน้าลายสก็อตบนพื้นสีเบจเอกลักษณ์แบรนด์ดังขึ้นมาหมายใจว่าจะเอามาเช็ดมือ ทว่าเมื่อเกาะกระจกเอนตัวเข้าไปใกล้ และได้เห็นหนังหน้าตัวเองที่ทำให้ต้องทอดถอนใจ ก่อนวักน้ำล้างหน้าเบาๆ ด้วยความระมัดระวัง ชายหนุ่มเสยเส้นผมสีดำธรรมชาติที่เพิ่งย้อมได้ไม่นานไปด้านหลัง มองผู้ชายที่มีสีหน้าอ่อนล้าอิดโรยในกระจก ซึ่งขัดกับเสื้อฮาวายลายดอกสีส้มแปร๊ดดูสดใส ที่จตุรวัชรใส่เสื้อตัวนี้เพราะเห็นว่าเป็นหน้าร้อนและเขาทำงานอยู่กับบ้าน ไม่ได้คาดคิดว่าต้องออกมาข้างนอก ไม่อย่างนั้นแล้วคงแต่งตัวให้ดีกว่านี้ 

    แต่ไม่เป็นไร แต่งตัวอย่างไรเขาก็ยังดูดีได้ ถ้าไม่ลืมตุ้มหูเพชรเม็ดเดี่ยวที่หูซ้าย 

    ชายหนุ่มใช้ผ้าซับหน้าเบาๆ ก่อนคลี่สะบัดแล้วจึงพับเป็นสี่เหลี่ยม เก็บในกระเป๋ากางเกงดังเดิม

    ช่วงนี้เขาทำงานหนักจนแทบไม่ได้พักผ่อน อันเนื่องมาจากแผนการเปิดตลาดที่ประเทศอินเดียอย่างจริงจัง แผนนี้เป็นเรื่องที่เขากับฝ่ายการตลาดของบริษัทได้ปรึกษากันมานาน เริ่มเก็บข้อมูลมาพอควรจนหาลู่ทางได้ และดำเนินการจนกระทั่งประสบผลสำเร็จดี แม้จะแลกมาด้วยการได้นอนหลับพักผ่อนน้อยว่าปกติ จนต้องกินวิตามินและต้องทาครีมบำรุงมากขึ้น แต่ถ้าผลประกอบการของงานที่เขารักเป็นเลขบวก มันก็คุ้มที่เหนื่อยไปอยู่บ้าง

    ขณะที่จตุรวัชรเตรียมตัวจะเดินออกจากห้องน้ำ จู่ๆ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังด้วยริงโทนซึ่งเป็นอินโทร Y.M.C.A.* เขาจึงกดรับสายของพี่สะใภ้อย่างไม่เร่งรีบนัก

    “ฮัลโหล เออ ถึงละเหรอ อยู่ไหนละอะ” เขาถามปลายสายด้วยคำพูดแสดงความสนิทสนม “อ๋อ รออยู่ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวสี่ไปรับ เฮียเข้าไปหาหมอแล้ว โฮ้ย ทิ้งไว้แป๊บสามีคุณไม่หายหรอกค่าาาา”

    ชายที่เดินสวนเข้ามามองหน้าเขาด้วยสายตาแปลกๆ ทว่าผู้ที่เพิ่งเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ จตุรวัชรรุดเดินไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ด้านหน้า จึงได้เห็นหญิงสาวผมยาวหน้าตาจัดว่าดีซึ่งยืนรออยู่ด้วยท่าทีกระวนกระวาย โดยมีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเมียงมองพลางชี้ชวนกันให้ดูเธอ

    แน่ล่ะ ก็อนุตดาเป็นพิธีกรสาวคนดังนี่

    พี่สะใภ้ของเขาแต่งงานเข้าบ้านมาปีเศษแล้ว หลังแต่งงานเธอก็ยังทำงานที่ตนเองรัก เป็นพิธีกรรายการวาไรตี้ เป็นคอลัมนิสต์ และเป็นแม่บ้านในนามให้พี่ชายเขาด้วย 

    ที่ว่าในนามเป็นเพราะคนทำกับข้าวแทบทุกมื้อคือพี่ชายของเขา ผู้บริหารหนุ่มจะกลับบ้านตรงเวลาเสมอ(ซึ่งอานิสงส์นี้ก็ไปตกกับลูกน้องไม่ต้องควงงานกะเย็นเป็นแท็กซี่) ที่เป็นเช่นนั้นเพราะงานของภรรยานั้นเลิกไม่เป็นเวลา ตรัยจึงจ่ายตลาดและกลับไปรอเธอที่รังรักบนยอดคอนโดมิเนียมชั้น ๓๓ อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว

    หลังจากแต่งงานมากว่าปี ทั้งสองเพิ่งว่างเว้นจากตารางงานอันยุ่งเหยิง จึงสบโอกาสไปฮันนีมูนกันเดือนกว่าๆ และเมื่อกลับมาพี่ชายก็มีอาการป่วยอย่างที่เห็น ทีแรกเขาก็คิดว่าพี่ป่วยการเมืองอ้อนเมีย...แต่ขนาดให้หิ้วปีกมาโรงพยาบาล ชายหนุ่มเลยมั่นใจว่าพี่ป่วยจริงแท้และแน่นอน

    “สี่” หญิงสาวซึ่งยืนรอเพียงครู่แทบจะถลามาหาเขา “พี่ตรัยอาการแย่มากเลยเหรอ เป็นไงมั่งสี่ พี่ตรัยปลอดภัยดีนะ”

    “ดีดี ไม่แย่ขนาดนั้นหรอก แต่เข้าไปหาหมอแล้ว ไม่รู้เรียกเข้าห้องตรวจหรือยัง เดี๋ยวสี่พาไปนะ เฮียคงมีกำลังใจที่เห็นแพน” จตุรวัชรก้มลงมองมือของอีกฝ่ายที่กุมมือเขาไว้ ชายหนุ่มตบหลังมือเธอเบาๆ “สมัยเฮียหนุ่มๆ เล่นสโนว์บอร์ดไถลตกเขายังไม่ตายเลย แค่นี้เฮียไม่เป็นอะไรหรอก เห็นคุณชายๆ งี้ เฮียอึดนะครับคุณ เออ แต่เรื่องอึดเมียคงรู้ดีกว่า” เขายิ้มเจ้าเล่ห์

    “บ้า” อนุตดาหัวเราะอย่างโล่งอกทั้งที่น้ำตาซึม “ใครจะไปรู้เรื่องความอึดของผู้ชายคนอื่นนอกเหนือจากตัวเองได้ดีไปกว่าสี่ล่ะ”

    “อะหือ ปาก พอ เลิก จะไม่เรียกอาซ้อแล้ว” คนพูดท้าวสะเอว เพราะรู้ทันนัยยะที่อีกฝ่ายซ่อนไว้ “คุณสี่คนนี้ไม่สนใจผู้ชายคนไหนนอกจากตัวเองค่ะคุณ นี่ ไปห้องตรวจเลย นับวันยิ่งร้ายกาจและกระด้างกระเดื่องนะแพนน่ะ คุยกับนางเบญจ์มากไปล่ะสิ”

    “โทษน้อง” หญิงสาวมุ่นคิ้ว “พาไปห้องตรวจเลย เร็ว ไปเร็ว ไปไป ฮึ่ย ฮึ่ย”

    “ไม่ใช่ควาย!”

    จตุรวัชรแว้ดใส่พี่สะใภ้ ก่อนจูงแขนอีกฝ่ายเดินไปยังห้องที่ตรัยอยู่

    นี่ก็อีกเหมือนกัน…

    เขาอยากให้บ้านเขามีปัญหาเรื่องแม่ผัวลูกสะใภ้เหมือนชาวบ้าน หรือจะมีปัญหาเรื่องพี่สะใภ้น้องสามีก็คงจะดีไม่น้อย นี่มันตรงกันข้ามกันเลย...แม่ของเขารักและเชียร์อนุตดามาตั้งแต่ก่อนจะแต่งงานกับพี่ชาย ส่วนพัชรเบญจ์แม้จะมีปัญหาสุขภาพในช่วงที่อนุตดาเริ่มมาคลุกคลีกับครอบครัว แต่เธอก็รู้จักพี่สะใภ้จากการเล่าของคนในบ้าน กระทั่งได้เจอหน้ากันหลังงานแต่งของตรัย ดูเหมือนมิตรภาพจะถูกจุดขึ้นอย่างรวดเร็วดั่งมีใครราดน้ำมันเบนซินลงไปบนพื้นที่มีไฟป่าคุใต้ดิน

    คือจุดติดแล้วดับยากว่างั้นเถอะ

    แน่นอน…คนซวยก็คือเขา ผู้เป็นเบี้ยล่างของไอ้เบญจ์ - นางมาร ที่สมคบคิดกดขี่ข่มเหงจิตใจชายสี่ผู้อ่อนไหว อ่อนโยน และอ่อนแอ

    เขาน่าเห็นใจจะตายไป

    “ขอโทษครับ ไม่ทราบว่าคุณตรัยเข้าไปห้องตรวจหรือยังครับ” ชายหนุ่มถามพยาบาลที่อยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ “คือ ภรรยาเขาเพิ่งมาถึงครับ ผมจะพาเข้าไปคุยกับแพทย์ด้วย เผื่อว่าจะได้ซักถามอาการกัน”

    “ได้ค่ะ ทางนี้เลยค่ะ” เธอลุกยืนก่อนผายมือให้ทั้งสองเดินตาม

    ทั้งคู่เลิกม่านเดินเข้าไปในเขตห้องตรวจโรคทั่วไป อนุตดาก้มศีรษะไหว้นายแพทย์ที่อายุรุ่นราวคราวพ่อแม่สามี

    “สวัสดีค่ะคุณหมอ ดิฉันเป็นภรรยาคนไข้ค่ะ”

    “สวัสดีครับ มาพอดีเลย กำลังซักประวัติอยู่” เขาตอบ

    จตุรวัชรเห็นพี่ส่งสายตาหวานเชื่อมให้ภรรยา คิดแล้วก็ทั้งเอ็นดูและหมั่นไส้ในเวลาเดียวกัน

    “เอ ถึงไหนแล้วเนี่ย” นายแพทย์สูงวัยขยับแว่น “อ้อ เพิ่งมีอาการเมื่อวาน ตอนลงจากเครื่องบิน แต่เมื่อครู่พยาบาลเช็คอุณหภูมิแล้วก็ปกตินะครับ ส่วนความดันเหมือนจะต่ำนิดหน่อย” 

    ตรัยพยักหน้า พลางไถลตัวเอียงไปซบภรรยาที่เพิ่งลงนั่งข้างๆ พลางบ่นงึมงำออดอ้อน

    แหม...คนโสดเห็นแล้วนิ้วกลางกับนิ้วโป้งสั้นระริก อยากจะง้างดีดมะกอกใส่คิ้วพี่ชายเป็นกำลัง

    “ถ้ายังไงก็อยากให้เจาะเลือดไว้ เผื่อติดเชื้ออะไรมาแล้วอยู่ในระยะฟักตัวนะครับ” นายแพทย์กล่าว “เอ้อ ว่าแต่ไปทำงานกันมาหรือครับ”

    “ไปเที่ยวค่ะ” อนุตดาตอบ

    “พักผ่อนครับ” ตรัยย้ำ

    “ฮันนีมูนฮะ ไปมาเกือบสองเดือน” จตุรวัชรขยายความโดยไม่มีใครร้องขอ

    “ฮันนีมูน?” ชายสูงวัยมองลอดแว่น เขาหันไปทางอนุตดาแล้วปรายตาไปทางตรัยเสียอีกที ก่อนมุ่นคิ้วใช้ความคิด “พยาบาลครับ”

    “คะ” 

    “เดี๋ยวพาคุณภรรยาไปที่แผนกสูตินรีนะครับ”

    “เอ๊ะ” อนุตดา ตรัย และจตุรวัชร อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจกันอย่างพร้อมเพรียง




    “จริงหรือลูก แพนท้องแล้วจริงหรือลูก”

    เสียงสดใสของพิมพ์สุรางค์ประกาศข่าวอันน่ายินดีให้ทั้งบ้านได้รับรู้ แม่บ้านหลายคนมาออกันยังห้องนั่งเล่น เมื่อได้รู้ข่าวก็ตื่นเต้นไปด้วย ผู้เป็นแม่สามีกุมมือลูกสะใภ้เขย่าเบาๆ พลางลูบด้วยความเอ็นดู 

    “โอย นี่พ่อเขาออกไปกับเพื่อนข้างนอก ต้องโทรบอกหน่อยแล้ว”

    “เดี๋ยวไว้คุณพ่อกลับมาค่อยบอกท่านก็ได้ค่ะแม่” อนุตดาตอบด้วยรอยยิ้มอิ่มสุข 

    “แม่รู้ไหมฮะว่าหมอเก๋ามากเลยอะ” จตุรวัชรเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “แค่รู้ว่าเฮียกับแพนไปฮันนีมูนมา หมอบอกพาไปห้องตรวจสูติฯ เลย พอผลตรวจออกใช่ปะ สี่ถามหมอว่าทำไมถึงให้ไป หมอบอกว่ามันเป็นเซนส์”

    “จ้ะ” พี่สะใภ้ยิ้มหวานอย่างน่าสงสัย “ไปฮันนีมูนมานี่ สี่คิดว่าเขาจะไล่เราไปตรวจเมมโมแกรม* เช็คมะเร็งเต้านมเหรอ”

    “เป็นแม่คนแล้ว อย่าแขวะ” คนเป็นน้องสามีสั่นศีรษะเบาๆ ขณะเอ่ยปราม “ทำอะไรก็ต้องคิดถึงลูก คิดดี พูดดี ทำดี อย่าพูดส่อเสียด โดยเฉพาะกับอาสี่ผู้แสนดีซึ่งพาพ่อของหลานไปโรงพยาบาล”

    “จ้ะๆ” อนุตดายอมรับเพราะอยากตัดบท ก่อนที่อีกฝ่ายจะอวดอ้างสรรพคุณอันดีงามต่อ

    “สี่อยากได้หลานสาวจังเลยน้า...” จตุรวัชรยิ้มรื่น มีจินตภาพของอาหมวยน้อยตาโตเหมือนแม่ ทว่าหางตาเฉี่ยวเช่นพ่ออยู่ในหัว “สี่จะทำผมให้ จะหาชุดน่ารักๆ ให้ใส่ จะหาของเล่นให้ จะซื้อชุดเจ้าหญิง แล้วก็ทำมงกุฏคริสตัลชวารอฟสกี้...”

    “สี่จ๊ะ” พิมพ์สุรางค์เอ่ยเสียงนุ่ม “หลาน ไม่ใช่เวนิส จะได้แต่งเยอะขนาดนั้น”

    พี่สะใภ้หัวเราะเมื่อได้ยินชื่อแมวสามสีที่น้องสามีรักเป็นลูกสาว แล้วสาวน้อยเวนิสก็เป็นลูกสะใภ้เธออีกที เมื่อนิคกี้แมวขาวขนยาวตาสองสีลูกชายสุดหล่อคอยพะเน้าพะนอคลอเคลียน้องอยู่ไม่ห่าง ใครๆ ต่างก็คาดการณ์กันว่าอีกไม่นานทั้งสองก็คงจะสร้างครอบครัวแมวแสนซนวิ่งพล่านไปทั่วบ้านเป็นแน่

    จตุรวัชรมองแม่ยิ้มหน้าบาน มองพี่สะใภ้ยิ้มแก้มอิ่ม แล้วพลันสายตาไปจับที่พี่ชายซึ้งยิ้มหน้าแห้ง เอนกายซบพนักโซฟาพลางเอายาดมตลับโลหะสีเงินหม่นจ่อจมูกชิดจนเกือบเรียกได้ว่ายัด อีกฝ่ายดูราวเป็นซากร่างแห้งกรังซึ่งโดนโยนทิ้งเอาไว้

    “นี่ก็น่าสงสารจริ๊ง” เขาหมายถึงตรัยซึ่งเลิกคิ้วแทนการรับรู้ว่าถูกพาดพิง “ตอนขอยาดมนี่ ยาดมหลอดพลาสติกตามร้านขายยาดมไม่ได้เลยนะ บอกว่าเหม็น มึนหัว จะอ้วก สี่ก็ต้องควักยาดมส้มมือออกมาให้เนี่ย เดี๋ยวต้องไปหาใหม่ละ อันนี้ยกให้เฮียไป พิลึก ต้องดมส้มมือ”

    “แหม…” อนุตดาลากเสียงยาว “แล้วคนที่พกยาดมส้มมือนี่ปกติเนอะ”

    “เออ ว่าแต่ทำไมถึงไปโรงพยาบาลกันล่ะจ๊ะ” พิมพ์สุรางค์ถามก่อนที่ลูกชายคนเล็กและสะใภ้คนโตจะตีกันไปนานกว่านี้

    “อ๋อ” จตุรวัชรร้อง แล้วหลุดขำนำไปหนึ่งช่วงตัวจนแม่สงสัย “คือ เฮียอะ ป่วย เวียนหัว คลื่นไส้ เลยลากร่างขึ้นไปหาสี่บนห้องจ้ะแม่ บอกว่าให้พาไปโรงพยาบาลหน่อย เวียนหัวไม่ไหวจะทนแล้ว แต่ไม่อยากบอกแม่ กลัวแม่เป็นห่วง”

    “ตรัยเนี่ย!” ผู้เป็นแม่อุทาน มือเอื้อมข้ามลูกสะใภ้ไปฟาดลูกชาย “ไม่สบายทำไมไม่บอกกัน ดีนะที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก” เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง “ว่าแต่ตรัยเป็นอะไรล่ะลูก”

    อนุตดาหันรีหันขวางมองสามีเพื่อถามความเห็นว่าจะบอกความจริงดีหรือไม่ ทว่าเขาไม่ทันได้เห็นท่าทางเธอเพราะมัวแต่หลับตาสูดยาดมเข้าจมูก ด้วยท่าทางคล้ายหญิงวัยกลางคน

    “หมอว่าเฮียป่วยจ้ะ” จตุรวัชรตอบแทนทั้งสองคน 

    “ที่มึนหัวตั้งแต่บนเครื่องน่ะหรือลูก เป็นเรื่องน้ำในหูหรือว่าอะไร”

    น้องชายสั่นหัวรัวๆ ปรายตามองพี่ชายที่สบตาตอบ ก่อนคนป่วยจะสูดยาดมเข้าไปฟืดใหญ่อย่างน่าสงสาร

    “เฮียแพ้ท้องแทนเมียจ้ะแม่”



    จบบทที่ ๑



    Falsetto มาจากภาษาละติน หมายถึงปลอม คือ “เสียงปลอม” หรือที่เรียกกันว่า “เสียงหลบ” ข้อมูลจาก http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=professionalvoice&date=23-02-2008&group=1&gblog=15 

    The Bee Gees ชื่อศิลปินจากประเทศอังกฤษที่มีชื่อเสียงในยุค 70s สมาชิกคือสามพี่น้องตระกูลกิ๊บส์ “มอริซ, โรบิน, แบร์รี” มีเพลงซึ่งเป็นที่รู้จักเช่น Stayin’ Alive, How Deep Is Your Love และ Too Much Heaven

    Y.M.C.A. - Village People, Sigma Sound Studios, New York City; 1978

    Mammogram การตรวจโดยใช้รังสี เพื่อหามะเร็งเต้านม

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in