จะว่าไปเขาเพิ่งมาถึง การคิดข้ามช็อทไปจุดนั้นดูจะเกินไปหน่อย
ชายหนุ่มเข็นรถบรรทุกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไปตามทางเดินหลังจากจัดการขั้นตอนทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จุดนัดพบของอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศมีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ แต่จตุรวัชรไม่ได้มองหาใคร เนื่องจากนัดกับทวิพี่ชายคนรองแล้วว่าจะเจอกันที่ร้านกาแฟ
เมื่อเขาพาตัวเองไหลตามกระแสคนจนไปเจอร้านที่มีโลโก้สีเขียวเป็นเอกลักษณ์ ผู้ที่เพิ่งมาถึงก็ต้องถอนใจเมื่อเห็นชายร่างสูง ผมเกรียน และผิวค่อนข้างแทนนั่งทำหน้าเครียด ดวงตาเรียวเล็กหลังแว่นทำให้เค้าหน้าคล้ายคนเชื้อสายจีนที่เติบโตในสหรัฐอเมริกา
แม้จะดูไม่ต่างจากพลเมืองทั่วไป แต่อีกฝ่ายก็ยังดูแปลกกว่านิดหน่อย คนโดยรอบแต่งตัวค่อนข้างภูมิฐานอาจจะเนื่องมาจากมารอรับใครสักคน การทำตัวให้ดูดีจึงเป็นเรื่องที่เหมาะควร แต่คนๆ นั้นนี่สิ...ใส่เสื้อยืดลายลิขสิทธิ์ของซีรีส์ดังจากค่ายหนังมาร์เวล ซึ่ง...ไม่ได้เข้ากันเลยกับกางเกงทรงช่างขาสั้นซึ่งมีกระเป๋ารุงรัง หนีบรองเท้าแตะคีบฟองน้ำพื้นขาวสายคาดน้ำเงิน แถมนั่งหน้าคอมพิวเตอร์พิมพ์อะไรไปพลาง ราวกับแค่เปลี่ยนที่ทำงานเฉยๆ
‘โฮมเลส’ บางคนยังแต่งตัวดีกว่านี้เลย ให้ตายเถอะ
“เฮ้”
เขาร้องทักเป็นภาษาไทยทำให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมา ยิ้มร่า “ไอ้สี่ มาซะเงียบเชียว”
“อื้อหือ ใจคอเฮียวิผู้แสนดีจะให้สี่พกแตรวงกับกลองยาวมาเหรอ จะได้มาดังๆ”
ชายหนุ่มเรียกพี่ชายว่า ‘เฮีย’ โดยที่ต่างรู้แก่ใจว่ามีความหมายประชดประชัน เพราะนอกจากตรัยแล้วก็ไม่มีใครได้รับเกียรติใช้คำนำหน้าชื่อว่าเฮียนี้อีก (เนื่องจากพี่ชายทำตัวเป็นป๋ากระเป๋าหนักให้น้องอ้อน จึงเหมาะสมอย่างยิ่ง)
“นี่ของสี่ก็หนัก ให้เข็นมาคนเดียว ตัวเองนั่งสตาร์บัคส์เล่นคอมสบายใจ รักน้องเนอะ ร้ากกก”
“ก็เข็นมาได้นี่” พี่ชายเก็บโน้ตบุ๊คหน้าจอขนาด ๑๕ นิ้วลงเป้ จับมันสะพายหลังและลุกขึ้นมาหา โดยหยิบแก้วกาแฟร้อนติดมาด้วย “เป็นห่าอะไรถึงมาลงที่ซานฟราน ก็รู้ว่าบ้านใกล้ซานโฮเซ่*มากกว่า”
“ควรทักก่อนปะว่าเป็นไง บินเหนื่อยไหม” จตุรวัชรกอดอก
“เหนื่อยเหี้ยอะไร” พี่ชายเลิกคิ้ว ก่อนส่งกาแฟในมือให้น้องชาย “รู้นะว่าบินเฟิร์สคลาส อู้ฟู่นะ”
ผู้ที่เพิ่งลงจากเครื่องรับกาแฟเข้มจัดมาจิบแล้วจึงตอบ “บินบิสสิเนส แต่เพื่อนอัพเกรดให้เป็นเฟิร์สคลาส เพื่อนคนที่ต้องแวะไปหาที่ดูไบนี่แหละ”
“ชีคล่ะสิ”
จตุรวัชรสำลัก มองทวิตาขวาง
“แหม ใครๆ ก็รู้” ผู้เป็นพี่ยักไหล่ ก่อนเดินเข็นรถนำไป “ก็ดีแล้ว มีเพื่อนพ้องมีคอนเนคชั่นเอาไว้ ไม่เสียหลายหรอก ว่าแต่แฟนเราเขารู้หรือยังว่ามีกิ๊กเป็นชีค”
น้องชายกระโดดกระแทกพี่ไปชนรถเข็นกระเป๋าที่จอดนิ่ง จนทวิเซแซดๆ เกือบได้ลงไปจับกบที่พื้น
“ไอ้สี่! โตแล้ว!” เขาทำเสียงดุ
“พี่วิมากวนสี่ก่อน”
ทวิหัวเราะร่า ก่อนโอบแขนข้างหนึ่งกอดศีรษะคนเดินข้างเอาไว้ “ดีใจที่ได้เจอที่อเมริกา นึกว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกเสียแล้วนะเรา”
“ก็ไม่อยากมา พูดเลย แต่ ‘จำเป็น’ ต้องมาทุกปี พี่วิก็รู้ ยังจะมาพูด” น้องชายโคลงหัว หลังพูดเน้นเสียงแสดงความไม่เต็มใจ “แต่คราวนี้มันเป็นเรื่องงาน สี่ก็ต้องมา ถ้าจะมาเที่ยวเล่นน่ะไม่มีทาง ไม่นิยม สี่ชอบทางอังกฤษหรือยุโรปมากกว่า”
“แล้วไมอะ มาอเมริกาไม่ดีเหรอ ไม่อยากมาเยี่ยมพี่ชายเหรอ...”
จตุรวัชรมองหน้าคนพูดที่พยายามแสดงสีหน้าใสซื่อ “เยี่ยมหลานดีกว่า...”
“ใช่สิ พี่ชายมันแก่แล้ว สี่สิบกว่าแล้ว ไม่หล่อไม่ใสแล้ว หาหลานสาวหน้าตาจิ้มลิ้มหลานชายหน้าตาหล่อๆ เพราะได้พ่อมันมาดีกว่าเนอะ”
“เออ...” คนเป็นน้องจ้องเขม็ง “อายุปูนนี้แล้วก็กล้าพูดเนอะ...”
“ความจริงเป็นสิ่งที่ลบล้างไม่ได้ด้วยเวลา”
คนฟังพยักหน้าหงึกๆ “ไม่น่าล่ะ แม่ถึงบอกตลอดว่าดีแล้ว ที่วิกับสี่ไม่อยู่บ้านเดียวกัน”
“คุณน้าว่างั้นไมอะ”
“ไม่รู้” เขาสั่นหัว “สงสัยเราอยู่ด้วยกันแล้วจะเจิดจรัสเกินไป”
“เป็นได้ๆ” พี่ชายเห็นพ้องโดยไม่มีข้อกังขา
ดีที่สนามบินซานฟรานซิสโกไม่ได้มีคนแสดงตัวว่ารู้ภาษาไทย ไม่เช่นนั้นอาจจะมีอาการแสดงออกว่าความหมั่นไส้ใส่ทั้งคู่ก็เป็นได้
เขาเอนกายพิงเบาะมองทิวทัศน์ที่แปลกตาออกไป แม้ท้องฟ้าจะสีไม่ต่างกัน แต่เส้นขอบฟ้านั้นถูกประดับประดาด้วยสภาพบ้านเมืองซึ่งแตกต่างจากที่เคยใช้ชีวิตอยู่เมื่อยี่สิบกว่าชั่วโมงก่อน และในอีกหลายเดือนข้างหน้าเขาก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้แผ่นฟ้าที่ต่างออกไป...ตัวคนเดียวลำพัง
ชายหนุ่มมองนาฬิกาข้อมือที่ปรับให้เข้ากับเขตเวลาใหม่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาออกเดินทางจากสนามบินมาเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ถึงบ้านที่ซานโฮเซ่เสียที
“ทำไมช้าจังพี่วิ”
ผู้ที่ขับรถอยู่เหลือบตามอง “อะไรช้า”
“ขับรถ ครึ่งชั่วโมงน่าจะถึงแล้วดิ”
“ไม่ใช่รถแบทแมน จะได้เร็วขนาดนั้น นี่เพิ่งเลยครึ่งทางมา” เจ้าถิ่นตอบ
“ฮะ!” คนพูดผุดลุก “ครึ่งทาง ไม่ใช่ว่าจากสนามบินซานฟรานไปบ้านพี่วิครึ่งชั่วโมงหรอกเรอะ”
“ครึ่งชั่วโมงกับเตี่ยแก เกือบชั่วโมง ห้าสิบกว่านาที” ทวิหัวเราะ
“ฉิบหาย” น้องชายสบถอย่างอ่อนใจ “พี่วิขับรถไปกลับสองชั่วโมงมารับสี่เลยเหรอ เข้าใจผิดคิดว่าครึ่งชั่วโมง ไม่อย่างนั้นสี่จองตั๋วลงดูไบแล้วเปลี่ยนสายการบินมาลงซานโฮเซ่เลยน่าจะง่ายกว่า”
มือขวาของพี่ชายวางลงบนศีรษะของผู้ที่นั่งข้างๆ ก่อนขยี้ผมเบาๆ ด้วยความเอ็นดู “พี่ขับรถสองชั่วโมงมารับน้องที่นั่งเครื่องบินยี่สิบกว่าชั่วโมงเพื่อมาหา แค่นี้เล็กน้อยน่า”
จตุรวัชรมองพี่ชายด้วยสายตาซาบซึ้ง “เฮียวิ”
“หยุด มึง” ผู้เป็นพี่ยกมือดันแก้มน้องไว้ “เรียกเฮียนี่หวังอะไร ไม่มีทรัพย์สมบัติให้ปอกลอกนะเว้ย ต้องเหลือไว้ให้ลูก”
“ทำไมเฮียวิผู้แสนดีมองสี่ในแง่ร้ายเช่นนั้น” คนพูดแกล้งสะอื้นพลางทุบอก “น้องเนี่ย ถึงขนาดบินข้ามเส้นแบ่งเวลาไม่รู้กี่เส้น เสี่ยงกับอาการป่วยเป็นเจ็ทแล็ก เพื่อบินมาหาเฮียเลยนะ!”
“เจ็ทแล็กพ่อง...” ทวิโพล่งออกมา “บินเฟิร์สคลาสจะมาเจ็ทแล็กอะไร ตอแหล ที่นั่งก็เป็นเตียงแล้ว อย่ามา”
“เออว่ะ ลืมไป มุขนี้ใช้ไม่ได้” น้องชายกลับมานั่งตัวตรง “เอางี้ ชัดๆ ตรงๆ ไปเลยนะเฮียวิ”
“อะไร”
“บอกพี่มาเกอริตให้หน่อยซี่...” จตุรวัชรเห็นพี่ชายเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำกล่าวพาดพิงผู้เป็นภรรยา “สี่อะ อยากกินบาร์บีคิว เลี้ยงหน่อยนะ”
“โธะ” คนขับรถอยู่หัวเราะในลำคอ “รักกันจริ๊ง พี่สะใภ้กับน้องชาย โน่น รายนั้นไปซื้อข้าวของเตรียมทำบาร์บีคิวให้แกกินตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
“อื้อ-หือ” น้องชายย้ำเสียงหนักๆ ด้วยความตื้นตัน “นี่เป็นวิศวกรหรือเป็นนักบิน”
“หือ” ทวิเลิกคิ้ว “ก็เอนจิเนียร์สิ”
“ต้องเป็นนักบินนะ ถึงเชิญนางฟ้ามาเป็นภรรยาได้ อย่างพี่วินี่ไปหาพี่สะใภ้มาจากไหนเนี่ย มหัศจรรย์แท้” “
“อ๋อ พอดีตอนที่เจอมาเกอริตพี่ไปวางระบบดาต้าเบสให้สวรรค์มา”
คนเป็นน้องนิ่งฟังว่าพี่จะมาไม้ไหน
“เทวดาบอกพี่ว่าตัวเก่าข้อมูลมันไม่อัพเดทละ รวนๆ” ทวิโม้ต่อ “เพราะฐานข้อมูลคนเกิดเยอะมาก ไม่ค่อยวางแผนครอบครัว ส่วนฐานคนตายก็เยอะ เห็นทำสงครามยิบๆ ย่อยๆ กับปรากฏการณ์ธรรมชาติ ตายทีรึ่มเลย ระบบเกือบแฮงค์”
“เอ๊า แล้วสตีฟ จ๊อบส์ ไปอยู่บนนั้นไม่ทำอะไรสักอย่างเหรอ” จตุรวัชรถาม
“ทำ แต่เขาเป็นนักประดิษฐ์ เป็นนักสร้างสรรค์ ไม่ใช่สายงานระบบอย่างพี่” ทวิตอบเสียงขรึม “เหมือนตอนนั้นเขาพยายามย่อตัวเครื่องดาต้าเบสให้บางกว่าแมคบุ๊คแอร์อยู่”
คนฟังระเบิดหัวเราะเสียงลั่นพาให้พี่ชายหัวเราะตาม
จตุรวัชรคิดว่าบางทีการอยู่ต่างที่ต่างถิ่นเช่นตอนนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่นัก เพราะอย่างน้อยก็ได้อยู่ใกล้กับสมาชิกครอบครัวซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยู่ไกลคนละซีกโลก
เวลาผ่านไปวูบเดียวเนื่องจากเขาเผลอหลับ เมื่อรู้ตัวอีกทีพี่ชายก็ขับพาเข้าเขตที่พักอาศัยซึ่งดูไม่คุ้นตา ชายหนุ่มรู้สึกว่ากำลังไต่ความลาดชันอยู่หน่อยๆ เขาจึงลุกขึ้นนั่งและพบว่ารถแล่นขึ้นเนินและทิ้งเมืองอันวุ่นวายไว้เบื้องหลัง เหลือเพียงถนนที่มีบ้านหลังใหญ่หน้าตาสวยงามเรียงรายอยู่สองฟากฝั่ง
“บ้านพี่วิไปทางนี้เหรอ ไม่คุ้นอะ”
“ทางนี้แหละ” เจ้าของบ้านตอบ
เมื่อเลี้ยวโค้งขึ้นเนินอีกครั้ง บ้านอีกหลายหลังซึ่งมีขนาดพอให้เรียกว่าคฤหาสน์อย่างไม่กระดากปากก็ปรากฏตรงหน้า ทั้งหมดตั้งอยู่บนฝั่งเดียวกันของถนนโดยที่ฝั่งตรงข้ามไม่มีบ้านเรือนตั้งอยู่ เรียกได้ว่าเป็นเขตที่สงบและเป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง
“ก็เห็นเรายุ่งๆ เรื่องจะมานี่ พี่ก็เลยไม่ได้บอกว่าเพิ่งย้ายบ้านเมื่อเดือนก่อน” ทวิยิ้ม
พี่ชายขับรถตรงไปตามถนนจนเกือบสุดทาง ทว่าเขาเลี้ยวรถเข้าลานกว้างติดกับโรงเก็บซึ่งประตูกำลังเลื่อนขึ้น ลานหินสีเทานี้เชื่อมกับบริเวณหน้าบ้านที่มีสนามเขียวและต้นปาล์มประดับสวยงาม ด้านหน้ามีไม้ดอกทรงพุ่มเล็กๆ ปลูกเพิ่มความสดใสให้กับบริเวณโดยรอบที่เห็นภูเขาและแผ่นดินแดงทอดตัวยาวออกไป
เจ้าของบ้านขับเข้าไปด้านในโรงรถด้านในซึ่งว่างอยู่ เด็กหนุ่มรูปร่างสูงเก้งก้างยืนชะเง้อคอมองด้วยความตื่นเต้นอยู่ยังบันไดนำเข้าสู่บ้าน เขาตะโกนเข้าไปข้างในแล้วเด็กหญิงกับเด็กสาวจึงวิ่งออกมาโดยมีรอยยิ้มแต้มใบหน้า
ทันทีที่จตุรวัชรลงจากรถเด็กทั้งสามก็โผเข้ากอดด้วยความพร้อมเพรียง จนคนที่เพิ่งมาถึงไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรดี
“อาสี่!”
“คิดถึงอาสี่”
“อาสี่!”
แต่ละคนเรียกชื่อเขาเป็นภาษาไทยอย่างชัดเจน ทั้งที่ทุกคนมีเค้าหน้ากระเดียดไปทางฝรั่งเช่นมารดาซึ่งเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา ผู้เป็นอาของเด็กน้อยผมสีน้ำตาลอ่อนและดำพยายามรวบกอดทุกคนไว้ให้ได้ แต่เป็นการยากเพราะบรรดาหลานๆ มิใช่เด็กเล็กๆ เช่นเมื่อก่อนแล้ว เขาถึงไล่กอดไปทีละคนด้วยความรักใคร่
“อาสี่จะมาอยู่นี่จริงๆ หรือครับ” หลานชายคนโตถามเป็นภาษาอังกฤษรัวเร็ว “ผมดีใจมากๆ จะได้เจออาสี่บ่อยๆ”
“ราล์ฟอาไม่ได้อยู่แคลิฟอร์เนีย อาต้องไปอยู่นิวยอร์ก” เขาตบบ่าหลานชายคนโตที่ตอนนี้อายุสักสิบสี่เห็นจะได้
“พ่อบอกหนูว่าอาจะมาอยู่ด้วย! พ่อโกหกนี่นา” หลานสาวตัวเล็กสุดและมีสีผมอ่อนสุดโวย เกาะขาอ้อนให้เขาอุ้ม
ชายหนุ่มช้อนเธอเข้าอ้อมแขน “มาอยู่ด้วยวีคนึงไง เดี๋ยวอาก็ต้องไปทำงานต่อ”
“แต่มารีญงอยากให้อยู่ด้วยเลย” เด็กหญิงทำเสียงอ้อน
ครั้งล่าสุดที่ผู้เป็นอาได้เจอมารีญงเธอตัวเบากว่านี้มาก ขนาดวิดีโอคอลกันทุกเดือนยังคะเนความสามารถในการเจริญเติบโตของเด็กพลาดได้
“อย่าดื้อน่ามารี อาเขามาทำงาน แค่ได้เจอกันก็ดีแล้ว” เอไลชาหลานสาวคนโตที่อายุอ่อนกว่าราล์ฟสองปีดุน้องสาววัยห้าขวบ “อาสี่เหนื่อยแล้ว ช่วยขนของเข้าบ้านดีกว่าน่า”
“งั้นหนูให้อาสี่ขนหนูเข้าบ้านนะ” ไม่พูดเปล่าเด็กหญิงยังหันมาทำตาปิ๊งๆ เปี่ยมประกายความหวังใส่ผู้เป็นอา
“โอเค ยอม”
“อาสี่เนี่ยเอะอะก็ยอมมารี” พี่ชายซึ่งเดินอ้อมไปลากกระเป๋าเดินทางขึ้นบ้านบ่นอุบ
“ตามใจเดี๋ยวเหลิงนะ” เอไลชาเสริม พลางรับกระเป๋าจากพี่ชายและตั้งใจว่าจะเข็นขึ้นบ้านไปก่อน
จตุรวัชรจูบแก้มหลานสาวตัวเล็ก ยืนรอให้พี่ชายเดินเข้าบ้านไปพร้อมกัน “พี่วิทิ้งไว้นี่แหละ เดี๋ยวสี่มาลากต่อเอง” ชายหนุ่มเอ่ยเป็นภาษาไทย
“เดี๋ยวพี่กับราล์ฟลากเข้าไปเอง สี่พายัยตัวเล็กเข้าบ้านเถอะ” ทวิตอบด้วยภาษาไทยเช่นกันก่อนยกกระเป๋าใบสุดท้ายลงจากรถ ปิดประตูท้ายและกดล็อก
“พ่อกับอาสี่คุยอะไรกัน มารีฟังไม่ถนัด” เด็กหญิงมุ่นคิ้วหลังเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษ “อะไรเล็กๆ ใช่ไหม ไม่นะ กระเป๋าอาสี่ใบใหญ่ ไม่เล็กหรอก”
ทั้งพ่อและพี่ๆ หัวเราะ ก่อนทวิจะเดินมาจูบแก้มลูกสาวคนเล็ก “หนูต้องตั้งใจคุยภาษาไทยกับพ่อให้มากขึ้นแล้วแหละ ถึงจะเข้าใจว่าพ่อกับอาสี่คุยอะไรกัน”
“พา-สา-ถ่าย ย้ากกกก” มารีญงตอบอย่างจริงจังด้วยภาษาของพ่อ พาให้ทั้งบ้านฮาครืน
“ปะ เข้าบ้านกันสี่” พี่ชายตบหลังเบาๆ
หลานชายคนโตของเขาคือราล์ฟและมีชื่อไทยว่าราพณ์...ที่แปลว่ายักษ์นั่นแหละ
‘โขนตัวยักษ์เท่ที่สุดเลยนี่นา’ ทวิเอ่ยอย่างภาคภูมิตั้งแต่ครั้งลูกคลอดเมื่อสิบกว่าปีก่อน ‘ให้สะกดลาภไม่เอา ลูกไม่ใช่หมาแมวจะตั้งชื่อให้เป็นถุงเงินถุงทองทำไม ลาบนี่ก็แย่ เรียกแล้วหิว ราพณ์นี่แหละ คูลสุดๆ จะได้ตัวสูงๆ’
‘ไม่ตั้งชื่อว่าเปรตไปเลยล่ะ สูงสมใจ’ คนเป็นปู่อย่างทศเดชแขวะอย่างอดไม่ได้
เอไลช่ามีชื่อไทยว่าอลิชา เธอผมดำเหมือนพ่อ ทว่าดวงตาน้ำตาลแลดูเป็นวงสีอ่อนล้อมด้วยขนตาดำยาว จตุรวัชรรู้ตั้งแต่หลานคนนี้ยังเล็กๆ แล้วว่าจะต้องโตมาเป็นสาวสวย แล้วเขาก็คาดไม่ผิดเสียด้วย
ส่วนยายตัวเล็กแสนซนมารีญงชื่อไทยคือมาลียงค์...หญิงผู้มีเรือนกายงดงามแบบบางราวดอกไม้ แต่ดูทรงแล้วน่าจะเป็นดอกไม้กินคน เพราะตัวหนักเอาการ
มันเป็นความตั้งใจของทวิผู้เป็นพ่อที่อยากให้เด็กๆ หลงเหลือบางสิ่งที่เป็นสายใยของประเทศไทยซึ่งเป็นเชื้อชาติกำเนิดของพ่อ แม้ทวิจะเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกาเต็มตัวตั้งแต่แรกเกิดก็ตามที
“ต้องไปทางไหนอะพี่วิ”
“ตรงไป ซ้ายมือ ห้องรับแขกในบ้าน ไปนั่งเล่นก่อน”
ผู้เป็นแขกอุ้มเด็กหญิงเดินไปตามทางเดินที่ประดับไฟเหลืองดูอบอุ่น เมื่อสุดทางโถงกลางบ้านก็ปรากฏแก่สายตา โคมไฟโลหะก้านอ่อนช้อยที่ทำรูปร่างเลียนแบบของเก่าถูกแขวนติดไว้กับเพดาน และให้แสงสว่างจากหลอดสีนวลที่อยู่ด้านบนของฐานทรงกระบอกขาวทำเลียนแบบเทียน ฟากหนึ่งของโถงหน้าบ้านเป็นห้องรับแขกเปิดโล่งพร้อมชุดโซฟาที่มีกลิ่นอายของเครื่องเรือนยุคเก่า อีกฝั่งหนึ่งเป็นโต๊ะไม้สีเข้มตัวยาวเหมาะสำหรับมื้ออาหารของครอบครัวใหญ่
จตุรวัชรวางหลานลงกับพื้น เธอวิ่งตื๋อหายไปอีกฟากหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นครัว ไม่นานนักหลานอีกสองคนก็เดินมาสมทบ หลังจากช่วยกันยกกระเป๋าเข้าไปเก็บในห้องแล้ว
“หนูกับราล์ฟเอากระเป๋าอาสี่ไปเก็บในห้องแล้วนะคะ ห้องนอนแขกอยู่ชั้นล่าง” เอไลช่าบอกเป็นภาษาไทย แม้สำเนียงจะยังไม่ชัดเจนนักแต่สื่อสารได้ในระดับดีเลยทีเดียว
“แม่อยู่ในครัวครับ” หลานชายกล่าว “กำลังเตรียมบาร์บีคิวให้ ไว้ทำกินกันสักหกทุ่มสามสิบก็ได้ละ”
ผู้เป็นอามองหน้าหลานพลางประมวลผล “หกโมงครึ่งหรือเปล่า ฮาล์ฟ-พาสต์-ซิกส์”
“ซิกส์เธอร์ตี้สิอาสี่” หลานสาวเสริม “พูดอะไรเป็นบริทิช”
“เอ้า ก็อาเรียนที่นั่นมา” จตุรวัชรหัวเราะ “กลับมาที่เรื่องภาษาไทย “สมัยก่อนตอนกลางวันเขาใช้ฆ้อง...” คนเป็นอานึกคำอธิบาย แต่แล้วก็นึกไม่ออก เลยยื่นมือขอโทรศัพท์หลาน เปิดกูเกิ้ลเสิร์ชให้ดู “ฆ้องเสียงดังโหม่ง โหม่ง พออาทิตย์ขึ้นราวซิกส์ โอ’ คล็อก เขาเลยเรียกหกโมง โมง”
“อ๋อ หกโหม่ง...เข้าใจละ เหมือนเมื่อเช้าผมตื่นแปดโหม่ง” ราล์ฟทดลองใช้คำในทันที
“โมง”
“ว้อทดา... แล้วก็ไม่เรียกให้เสียงเหมือนกันอีก!” เขาโวยวายอีก “โอเค หกโมง โมง โมง” เจ้าตัวพูดย้ำให้จำได้
จตุรวัชรอมยิ้ม แต่ก็รักในความกระตือรือร้นของหลานๆ “แล้วพอพระอาทิตย์ตกปั๊บ เปลี่ยนจากฆ้องเป็นกลอง เสียงดัง ตุ้ม ตุ้ม เลยเป็นทุ่ม หลังหกโมงเย็น ซิกส์ พี.เอ็ม. จะเริ่มเรียกเป็นทุ่ม แล้วไม่นับเป็นเจ็ดทุ่ม นับหนึ่ง ไล่ไป เลขเจ็ดหนึ่งทุ่ม เลขแปดสองทุ่ม”
“ว้อท!” หลานชายร้อง “ทำไมหนึ่ง สอง”
“อันนี้ไม่รู้แฮะ จริงๆ ตอนเอ็ทเอ.เอม. ก็เรียกว่าสองโมงเช้าเหมือนกันนะ”
“โอ้ย อะไรอี๊กกกก” เขาคราง
“ทีนี้กลางคืนเข็มไปเลขหกเราไม่เรียกหกทุ่มนะ เรียกเที่ยงคืน” จตุรวัชรเล่าต่อ
ราล์ฟทำหน้ายุ่งยากใจคล้ายอยากจะกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด “ภาษาไทยยาก”
“นี่รู้มั้ยว่าเที่ยงคืนเขาเรียกสองยาม” อาหนุ่มเสริม
เอไลชากะพริบตาปริบๆ “สมัยก่อนเขาให้ยามที่เฝ้าประตูทำงานพร้อมกันสองคนตอนมิดไนท์เหรอคะ สงสัยกลัวยามคนเดียวจะง่วง เลยอยู่เป็นเพื่อนกันดีกว่า”
ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง คว้าเอาหลานทั้งสองมาโอบคนละฝั่ง “เดี๋ยวไว้อาสอนก็แล้วกัน พาอาไปหาแม่ก่อนเถอะ”
“งั้นหนูคุยเป็นภาษาอังกฤษนะ” หลานสาวบอกและเปลี่ยนภาษาทันที “แม่กลัวว่าอากับพ่อจะหิวเลยทำอะไรไว้ให้กินค่ะ น่าจะสเต็กนะ”
“เยี่ยม!” จตุรวัชรออกปาก เพราะรู้ดีว่ารสมือพี่สะใภ้นั้นช่างโอชารสปานใด
นี่เป็นอีกเรื่องที่พี่ทวิต่างจากผู้ชายทุกคนในบ้าน พี่ชายคนรองไม่ชอบทำอาหาร หากจะทำก็แค่กินกันตายเท่านั้น เมื่อได้ภรรยาเป็นสาวผมทองเชื้อสายฝรั่งเศสจากหลุยเซียน่าที่มีเสน่ห์ปลายจวัก จากหนุ่มร่างสูงผอมแห้งเพราะกินแต่บะหมี่และอาหารจีนข้างทางจึงกลายเป็นคนมีเนื้อมีหนัง ขนาดเรียกได้ว่าบางช่วง...ถึงกับลงพุงเลยทีเดียว
แต่ช่วงนี้หุ่นดีมีกล้ามเนื้อ สงสัยเล่นกีฬาเป็นเพื่อนลูกชายแน่ๆ
ตอนนั้นจตุรวัชรคิดว่าตนเองต้องแย่แน่ๆ แล้ว แต่ผิดคาด...เพราะพิทบุลสีทองจางๆ ตัวนั้นกลับเป็นสุนัขที่สุภาพที่สุดตัวหนึ่งเท่าที่เขาเคยเห็นมา
พี่ชายของเขาเล่าว่าเจ้าตัวนี้เป็นสุนัขจรจัดซึ่งถูกช่วยเข้าสถานอนุบาลสัตว์หรือที่เรียกว่าเชลเตอร์ อยู่มาเป็นปีก็ยังไม่มีใครสนใจรับไปเลี้ยง เหตุที่เป็นพิทบุล...สายพันธุ์ซึ่งโดนมนุษย์บังคับให้ต่อสู้ฟาดฟันกันในสังเวียนด้วยมีกล้ามเนื้อแข็งแรง และจัดเป็นสายพันธุ์อันตราย ทั้งที่ในสมัยวิคตอเรียนมันได้ชื่อว่าเป็นสุนัขพี่เลี้ยงเด็ก เพราะอุปนิสัยสงบ ใจเย็น และรักเด็กเล็ก
ที่ทั้งทวิและภรรยาได้รู้จักเจ้าตัวนี้และตัดสินใจรับมาเลี้ยงเพราะเคยพาลูกๆ ไปเป็นอาสาสมัครช่วยดูแลสัตว์ในเชลเตอร์ ผ่านไปเดือนแล้วเดือนเล่าเจ้าตัวนี้ก็ยังไม่มีบ้านเสียที จนวันหนึ่งของฤดูใบไม้ร่วง ลูกๆ เดินรวมตัวกันมาหา ทั้งหมดลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าปีนี้ไม่อยากได้ของขวัญคริสต์มาสแต่จะขอรับเลี้ยงพิทบุลสีแชมเปญตัวนี้เอง พ่อแม่ตกลงตั้งกติกาว่าใครมีหน้าที่ดูแลสุนัขอย่างไรบ้าง โดยร่างสัญญาให้ทั้งสามคนลงชื่อกันเป็นลายลักษณ์อักษร
ด้วยเหตุนี้ ‘บุญหมา’ พิทบุลเพศเมียตัวสูงเพรียวและมีกล้ามเนื้อน้อยกว่าแบบนิยมของสายพันธุ์จึงกลายมาเป็นสมาชิกของบ้าน
‘ทำไมชื่อบุญหมา’ จตุรวัชรถามพี่ชาย ขณะกำลังนั่งกับพื้นเกาคอสุนัขตัวใหญ่ที่ทิ้งตัวลงนอนอ้อน ‘ชื่อดีกว่านี้ก็มีไหมอะ’
‘ก็เวลาเขียนเป็นอังกฤษเขียนว่า Boon Mars คำว่าบูนนี่แปลได้หลายอย่าง ความกรุณาหรือร่าเริงก็ได้ แปลว่าพระเจ้าประทานก็ได้ บุญหมาคือหมามีบุญ ไม่ต้องไปตกระกำลำบากแล้ว’
‘ล้ำลึก’ น้องชายกล่าวชมจากใจ
มื้อเย็นที่สวนหลังบ้านเป็นไปอย่างสนุกสนาน จตุรวัชรได้กินบาร์บีคิวสมใจอยาก แถมยังอ้อนให้พี่สะใภ้ทำ ‘กัมโบ’ สำเร็จ หากให้ว่ากันตรงๆ ชายหนุ่มไม่ได้นึกรักอะไรประเทศนี้นอกเหนือไปจากครอบครัวและเพื่อนที่อาศัยที่นี่ หากจะยอมสร้างข้อยกเว้นให้สักข้อหนึ่ง ก็คงเป็นอาหารพื้นเมืองของรัฐหลุยเซียน่าอย่างแน่นอน กัมโบคือแกงอาหารทะเลที่ใส่เครื่องเทศและเครื่องปรุงหลายสิ่ง(ที่เขาไม่คิดจะจำ) มีรสชาติและกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ เขาชอบตักมันราดกับข้าวที่หุงพร้อมเครื่องเทศเลยกลายเป็นข้าวราดแกงสไตล์หลุยเซียน่า
และคนที่ทำให้จตุรวัชรติดกัมโบก็ไม่ใช่ใครอื่น...ตรัย นักเรียนเก่ามหาวิทยาลัยทูเลน ในเมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐหลุยเซียน่า พี่ชายของเขาเคยทำให้กินตอนกลับมาเยี่ยมบ้านครั้งจตุรวัชรยังเป็นเด็ก แต่นั้นมาเขาก็หาโอกาสกินอยู่เนืองๆ รวมถึงคราวนี้ด้วย
มาเกอริต หรือพี่มาร์กี้เป็นสาวเชื้อสายฝรั่งเศสผมทองมีดวงตาหวานซึ้ง บ้านเกิดของเธออยู่ในนิวออร์ลีนส์ ของรัฐหลุยเซียน่าที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอันผสมกลมกลืนกันเป็นอย่างดี ทั้งวัฒนธรรมอย่างแอฟริกัน ฝรั่งเศส รวมถึงสเปน พี่ทวิเคยเล่าให้เขาฟังว่าที่จีบพี่สะใภ้ติดก็เพราะเรื่องนี้...พอทราบว่าเธอมีพื้นเพจากที่ใด เลยถือโอกาส ‘หาเรื่องคุย’ ด้วยการยกน้องชายอย่างตรัยมาอ้าง ถามหาร้านอร่อย ถามหาที่พัก จุดท่องเที่ยวให้เธอแนะนำ จะได้บอกให้น้องไปเที่ยว จะได้ไม่เสียทีที่อยู่เมืองแสนสวยรวยวัฒนธรรม
ทั้งที่น้องชายมีเพื่อนคนท้องถิ่นเป็นกุรุส แค่นับนักดนตรีนิวออร์ลีนส์แจซทั้งวงก็เกือบสิบคนแล้ว
แต่ก็นั่นละ การอ้างของพี่ทวิทำให้เขาได้แต่งงานกับนักกายภาพบำบัดสาวสวย และใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมากว่า ๑๖ ปีแล้ว
ชายหนุ่มนั่งมองภาพเมืองเบื้องล่าง แสงอาทิตย์ยามอัสดงฉาบให้ทิวเขาสลับซับซ้อนแรสีอ่อนเข้มราวภาพวาดที่มีฉากหน้าเป็นเมืองซานโฮเซ่ แทบจะทันทีที่ตะวันลับฟ้าอากาศที่เย็นสบายๆ กลายกลับเป็นเย็นเยือกจนต้องหาเสื้อมาใส่คลุมเพิ่ม ทว่าวิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มความอบอุ่นของเด็กๆ คือการยืนหน้าเตาบาร์บีคิว ทำหน้าที่ปิ้งย่างต้อนรับแขกและเพื่อนบ้าน พลางเอ็ดฝูงสุนัขขาสั้นพันธุ์คอร์กี้ทั้งห้าตัวที่พากันมาวิ่งเล่นในสวนกับเจ้าพิทบุลตัวโต
เมื่อบ่ายพี่ชายเดินมาบอกเขาว่าตั้งใจจะเลี้ยงต้อนรับ แต่ก็อยากชวนเพื่อนบ้านมากินข้าวด้วย คนรอตลกแดกกินข้าวเฉยๆ อย่างจตุรวัชรก็ไม่รู้จะว่าอะไรได้ เลยบอกไปว่ายินดีเช่นที่คิดอยู่ในใจ เจ้าของบ้านประตูสีม่วงด่างทับทิมหลังติดกันและอยู่ตรงปลายสุดถนนเป็นคนที่ทำงานในบริษัทเดียวกันแต่อยู่สายออกแบบ ส่วนแฟนของอีกฝ่ายเป็นเจ้าของร้านอาหารอิตาเลียน ด้วยเหตุนี้อาหารมื้อเย็นเลยมีทั้ง บาร์บีคิว กัมโบ และลาซานญ่าเนื้อที่เพิ่งออกมาจากเตา
ชายทั้งสองเป็นคู่สมรสเพศเดียวกันที่รักและสนุกกับงานที่ตัวเองทำจนไม่คิดอยากรับเด็กมาเป็นลูก เพราะมั่นใจว่าต่างก็ไม่มีเวลาดูแลเด็กใกล้ชิด ทว่าทั้งคู่ไม่สามารถต้านทานความน่ารักของสุนัขหูกาง เตี้ย ตัน และน่าขยำขยี้ได้ เหตุนี้เองพวกเขาจึงเลี้ยงสุนัขพันธุ์คอร์กี้เอาไว้ฝูงหนึ่ง พร้อมจ้างแม่บ้านกับคนดูแลคอยอำนวยความสะดวกให้พวกมัน สระน้ำหลังบ้านก็เป็นสระที่คนใช้ร่วมกับสุนัข(แม่บ้านกล่าวว่าพวกมันใช้บ่อยกว่า) และพวกเขาก็พาทั้ง ๕ ตัวมาวิ่งเล่นกับบุญหมาเป็นประจำ
จตุรวัชรมองเจ้า พาร์เมซาน โกวด้า เชดด้า มอสซาเรล่า และบรี วิ่งเล่นอยูบนสนามหญ้าเขียว พวกมันวิ่งเร็ว อันที่จริงเหมือนมันกระโดดต่อเนื่องมากกว่าจะเรียกว่าวิ่ง นั่นทำให้มันดูคล้ายเครื่องโฮเวอร์คราฟท์ซึ่งใช้แรงลมยกตัวให้ลอยไปไหนมาไหน งานอดิเรกของเจ้าชีสทั้งห้าคือการวิ่งหลอกล่อบุญหมาที่นอนนิ่งๆ ให้ถอนหายใจใส่ด้วยความเหนื่อยหน่าย และเมื่อพิทบุลตัวสูงลุกขึ้น พวกมันก็จะพากันวิ่งเล่นด้วยการลอดท้องสุนัขตัวสูงกว่า ราวกับมันเคยเรียนรู้วิธีการสะเดาะเคราะห์ลอดท้องช้างมาจากประเทศไทย
ชายหนุ่มพิจารณาสภาพโดยรอบอย่างถ้วนถี่ สภาพแวดล้อมที่ดี สภาพอากาศดี และเพื่อนบ้านมีคุณภาพ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่ชายถึงทุ่มเงินกว่าสองล้านเหรียญเพื่อซื้อบ้านหลังนี้
ถ้าภามินได้มาเห็นอาจจะชอบก็ได้
“เฮ้ยสี่”
ชายหนุ่มหันมองตามเสียงทักของทวิ อีกฝ่ายเดินเข้ามาหา วางจานที่มีบาร์บีคิวเสียบไม้วางพูน ก่อนเลื่อนเก้าอี้สนามตัวเล็กและนั่งลงฝั่งตรงข้าม
“อะไรกัน สี่อิ่มแล้วเหรอ เพิ่งกินไปนิดเดียว”
“ยังหรอกพี่วิ นั่งชมวิว สวยดี” เขานั่งอยู่ใต้หลังคาระแนงไม้โปร่ง เกือบสุดขอบปูนปลายของลานกว้างที่เบื้องล่างเป็นเนินและสวนไล่ระดับ เมื่อมองเลยออกไปจะเห็นทิวทัศน์ของเมืองและดินแดงโดยมีฉากหลังเป็นภูเขา
“เมื่อกี้เห็นโทร.หาพ่อกับแม่อีกรอบนี่ ว่ายังไงบ้าง”
“ก็บอกว่าโดนพี่วิขุนตั้งแต่มื้อแรก คิดว่าพอไปนิวยอร์กคงกลิ้งไป”
พี่ชายหัวเราะเสียงดัง “แบบนั้นก็ดีสิ เสื้อผ้าจะได้ทิ้งไว้นี่ หาซื้อเอาใหม่เพราะคงใส่ไม่ได้แล้ว เอามาอะไรตั้งหลายกระเป๋าน่ะเรา”
“ก็เสื้อผ้าที่ต้องใช้ทั้งนั้น” เขาถอนหายใจ “อยากซื้อใหม่อยู่หรอก แค่คร้านเกินจะจับจ่าย แค่คิดว่าต้องไปอยู่โน่นก็หนาวแล้ว”
“ปวดขี้?” ทวิเลิกคิ้ว
“ตลกละ” น้องชายทำหน้าเหนื่อยหน่ายตอบ “หมายถึงแค่คิดว่าต้องไปอยู่เมืองที่ค่าครองชีพสูงขนาดนั้นก็แทบบ้าแล้ว ดีนะที่เรื่องที่พักนี่ฟรี”
“แค่นั้นก็ทุ่นไปได้เยอะแล้ว” พี่ชายพยักหน้า
“ดีนะที่เฮียเขาจัดการอะไรๆ ไว้ให้สี่ตั้งนานแล้ว ไม่อย่างนั้นมาทำงานที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอก”
ทันทีที่ได้ยินที่อีกฝ่ายพูดใจของคนฟังก็สลดลงเพราะได้หวนถึงอดีตที่ผ่านไปแล้วไม่มีวันกลับมา
“เฮียเอกก็เหมือนรู้นะ ว่าอนาคตสี่จะต้องมาทำงานที่นี่ พี่ยังจำได้เลย พอวันเกิดที่อายุครบเกณฑ์จัดการเรื่องให้สี่ได้ จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่าจะทำเรื่องให้”
น้องชายยิ้ม ทว่าเป็นยิ้มที่อ่อนแรง
ทวิเองก็รู้ว่ามรสุมที่เคยเงียบไปกลับพัดขึ้นมาอีกครั้งในใจของคนนั่งใกล้ ผู้ซึ่งเกิดมาเป็นพี่ชายคนรอง...และในตอนนี้กลายเป็นคนโตจึงเอื้อมมือไปบีบบ่าเบาๆ
“สี่เคยคิดว่ากับประเทศนี้ สี่จะจบแค่เรื่องเฮียเอก แล้วหลังจากนั้นก็มีเพื่อนสี่อีก พอจบเรื่องเพื่อนสี่ก็คิดว่าไม่อยากจะมานี่อีกแล้วนะ แต่เหมือนยิ่งเกลียดยิ่งเจอ สุดท้ายก็มาอยู่ตรงนี้”
“ทำใจซะ ปล่อยให้ว่าง ไม่ว่ามันเคยเกิดอะไรขึ้น มันเกิดแล้วและจบไปแล้ว ตอนนี้เหลือแต่อนาคตที่มีเรื่องซึ่งเราต้องทำไปอีกนาน มันคือก้าวใหม่ การเริ่มต้นใหม่ของชีวิต” ผู้เป็นพี่ยิ้มอ่อนโยน “สี่น่ะ กล้าหาญแล้วก็เข้มแข็งกว่าพี่เยอะ ดูพี่สิ หนีจากภาระทางบ้าน ทิ้งให้น้องอย่างตรัยเป็นคนดูแล แล้วตัวเองก็เอาความเห็นแก่ตัวมาเป็นพลังมาบุกบั่นทำงานสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างถิ่นฐานที่อยู่ของตัวเอง ส่วนตรัยก็รับภาระทั้งหมด ต้องเอาโลกไว้บนบ่าอย่างกับยักษ์แอตลาส ส่วนสี่ สี่ทั้งแบกภาระที่สืบทอดงานจากที่บ้าน แล้วยังจะอยากเดินบนทางของตัวเองไปด้วย หนักนะ รู้ไหมว่าทางที่เราเลือกมันหนักหนาเอาการ อาจจะเท่ากับทางที่ทั้งพี่และตรัยทำเอามารวมกัน”
คนเป็นน้องเอียงศีรษะไปมาราวใช้ความคิด “ก็นะ ทำไงได้ รักทั้งสองอย่าง จริงๆ คือมันก็อย่างเดียวกันแหละ ทำบูชาเพชร แค่ลักษณะงานต่างกัน เลยต้องเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ”
“เรานี่ก็บ้าเพชร...” ขณะพูดสายตาของทวิก็จับจ้องไปที่ติ่งหูข้างซ้ายของน้องชายซึ่งมีต่างหูเพชรประดับ “แต่ก็ดีแล้วล่ะ ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ แล้วได้ดูแลงานที่บ้านด้วย จากนี้ไปคงเหนื่อยหน่อย แต่มีอะไรให้พี่ช่วยก็โทร.มาแล้วกัน บินไปโน่นไม่ได้นานหนักหนานัก”
“หกชั่วโมงเลยนะ...” จตุรวัชรครางเสียงต่ำ “เหมือนจากไทยบินไปญี่ปุ่น”
“จะเอาอะไรกับประเทศที่มีไทม์โซนในประเทศตั้งหลายอัน” พี่ชายยักไหล่ “แต่เรียกเถอะ ถ้ามีอะไร ยังไงก็ไปหาได้อยู่แล้ว”
“ขอบคุณฮะ” เขายิ้มเหมือนครั้งยังเป็นน้องชายตัวเล็ก
“แล้วนี่ได้โทร.หาแฟนบ้างหรือยัง”
ชายหนุ่มมองคนทักและเปลี่ยนเป็นยิ้มแห้ง “ยังเลย แต่ส่งข้อความไปหา ได้คุยกันบ้างแล้ว เขาส่งรูปแกงส้มชะอมทอด ปลาสลิดทอด แล้วก็ทอดมันกุ้งกลับมา”
“โถ ช่างรักใคร่เอ็นดูและเอื้ออารี” พี่ชายรำพึง ก่อนเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงจริงจัง “เออ สี่ พี่มีเรื่องให้ช่วย”
“อะไร”
“ทำอาหารไทยให้กินหน่อย และสอนให้ราล์ฟทำด้วย รายนั้นรสมือดีกว่าพี่เยอะ นี่แบบ...ทอดไข่เจียวแล้วลูกเดินไปหยิบคอนเฟล็กมาเทนมกิน”
น้องชายหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นสีหน้าละห้อยปนละอายของพี่ “เดี๋ยวสี่สอนเอง” เขาตอบรับ “นี่สี่ยังไม่ได้รื้อกระเป๋าของฝากเลย ซื้อตำราอาหารไทยแบบที่พิมพ์สูตรและวิธีเป็นภาษาอังกฤษมาฝากหลายเล่ม คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์”
“ประเสริฐ! น้ำตาแทบร่วง ขอบใจมาก”
“สี่ว่าพี่วิโทร.ไปหาย่าดีกว่า ไม่ก็แชทไปหาย่า ให้ย่าบอกสูตร น่าจะอร่อยถูกลิ้นเรากว่าสูตรในตำรา ให้ราล์ฟมันแชทคุยกับย่าก็ได้ พิมพ์ภาษาไทยได้มั้ย”
“ย่าพิมพ์ไหวเรอะ...”
“ไม่อะ” จตุรวัชรตอบ “แต่ย่ามีเด็กๆ ในบ้านพิมพ์แทนเยอะแยะ พูดไปเดี๋ยวก็มีคนพิมพ์ตามคำบอก”
“อะหือ สั่งการด้วยเสียง” ทวิพยักหน้าเพราะนึกชื่นชมระบบอนาล็อกผสมดิจิทัลอยู่ในใจ
“ก็ที่ตอนนั้นเรารวมตังค์กันสี่คนซื้อแทบเล็ทให้ย่าไง ที่พี่วิบอกให้สี่ออกไปก่อนใช่ปะ แปดพันนะ”
“เออ ลืมเลย เดี๋ยวพรุ่งให้ละกัน จะเอาเป็นเงินบาทหรือดอล”
“ถ้าพี่วิให้เงินบาทสี่ตอนนี้คิดว่าสี่จะได้เอาไปใช้ที่ไหน...” น้องชายจ้องเขม็งแล้วจึงอธิบายต่อ “สี่ก็ไปสมัครโปรแกรมแชทให้ย่าแหละ แล้วก็ลงพวกวิดีโอคอลไว้ให้ เดี๋ยวสี่จดชื่อแอคเคาทน์ให้พี่วินะ แล้วคอลไปหาย่าหน่อย จะได้เห็นหน้ากันบ่อยๆ พอเห็นเหลนโตๆ กันหมดแล้วย่าก็คงดีใจ”
“เออ ดีดี คิดถึงย่า คิดถึงแกงส้ม” ทวิออกปาก
“อื้อหือ จิตใจนี่หยาบกระด้าง” จตุรวัชรเบะปากแสร้งทำหน้าเหยียด “กับญาติผู้ใหญ่นี่จะระลึกถึงความเอื้ออาทรมีความกตเวทิตาหน่อยเป็นไม่มี นึกถึงแต่ของกิน”
“แล้วครั้งล่าสุดที่สี่ไปหาย่านี่พี่ได้ข่าวว่าไปหาปลาคังกิน...”
“แหม” น้องชายยิ้มเขิน “รักย่าแต่ก็รักของอร่อยด้วย” ไม่พูดเปล่าเจ้าตัวยังยกนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วก้อย ทำมือเป็นสัญลักษณ์ที่หมายถึงความรัก ก่อความหมั่นไส้ให้พี่ชายจนเขาฉวยจังหวะน้องเผลอดีดมะกอกใส่หน้าผาก จนจตุรวัชรร้องเสียงลั่นจนทุกคนหันมามอง สุนัขทุกตัวหยุดวิ่ง มีเพียงเสียงหัวเราะของทวิดังก้องอย่างที่คนในครอบครัวไม่ได้เห็นกันบ่อยนัก
“โทร.หาแฟนเสียบ้าง เวลานี้คงกำลังดี เช้าๆ น่าจะไม่รบกวน ห่างกันไกลเดี๋ยวมันขาดกันนะ” พี่ชายเสนอ
“ยังไม่ตื่นหรอก” คนที่เอาแก้วน้ำเย็นอังหน้าผากตอบ ก่อนถ่มหยดหน้ำซึ่งเคยเกาะพราวบนแก้วและไหลย้อยลงปาก “ไว้สักเที่ยงคืนสี่ค่อยโทร.หาก็ได้ เขาน่าจะพักกลางวัน สายๆ ก็ไม่อยากโทร.ไป เดี๋ยวไปกวนตอนแต่งหน้าหรือว่ากำลังเดินทางเข้าออฟฟิศ”
บรรดาลูกน้องซึ่งกำลังเตรียมตัวจะออกไปกินข้าวกลางวันมองเจ้านายที่เพิ่งเดินเข้าประตูออฟฟิศมา จังหวะนั้นช่างประจวบเหมาะกับพอดีกับเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
พวกเขารู้ในทันทีว่าแฟนหนุ่มของเธอโทรมา
“วันนี้เข้าเที่ยง ช่าย เมื่อเช้าไปเจอลูกค้ามากับสายมุก แต่มุกลาบ่ายไง ขอพาแม่ไปหาหมอที่โรงพยาบาล แม่ขึ้นมาจากภูเก็ต ตั้มเลยตามไปช่วยดูแล เดี๋ยวนะ วางสายก่อน เดี๋ยวแพร์โทร.ไป นี่เพิ่งเข้าออฟฟิศ”
ภามินตอบ พลางดันประตูเปิดด้วยมือเดียว ก่อนเธอจะก้มหัวขอบคุณพนักงานชายที่วิ่งเข้ามาช่วยจับประตูให้ เธอกดตัดสาย ดูว่าโทรศัพท์เชื่อมต่อกับไวไฟของบริษัทแล้ว จึงกดเรียกไปใหม่ และอีกฝ่ายก็รับในเวลาอันรวดเร็ว
“สี่เป็นไงบ้าง”
หญิงสาวเปิดประตูเข้าไปนั่งในห้องทำงาน กดเปิดคอมพิวเตอร์ก่อนที่จะนั่งลงเสียอีก
“สบายดี กินอยู่อย่างพระราชา จ่ายราคายาจก แถมได้ตังค์เพิ่มมาอีกแปดพัน” คนปลายสายตอบ
“ดอลเหรอ!”
“ดอลลาร์!”
“โอ๊ย อย่ากวน สกุลเงินบาทใช่ไหม ทำไมได้มาล่ะ” หญิงสาวฟังอีกฝ่ายเล่าที่มาของเงินจำนวนนั้นด้วยความตั้งอกตั้งใจ
“นั่นแหละ เฮียเลยให้มาสามร้อยเหรียญ ได้กำไรมาเกือบๆ สองพัน ก็โอเคนะ ถือซะว่าเป็นค่าดำเนินการ”
“กับพี่กับเชื้อก็คิดเนาะ”
“แพร์ควรได้เจอพี่วิ” คนปลายสายทำเสียงเข้ม “ร้ายกาจและเขี้ยวกว่าสี่อีก”
“โอ๊ย ถ้าเขี้ยวลากดินกว่าสี่ได้คงใช้เป็นแท่นขุดเจาะน้ำมันแล้วล่ะ”
“แล้วนี่จะมาร้ายกาจใส่สี่ทำไม” อีกฝ่ายทำเสียงสลด “เอ้อ ข้างบ้านพี่วิเลี้ยงคอร์กี้แหละ”
ภามินรู้จักสุนัขพันธุ์นั้น “เป็นไง”
“เตี้ย” จตุรวัชรตอบเสียงหนักแน่น “แล้วพี่วิเลี้ยงพิทบุล มันวิ่งเล่นกันจนสวนกระเจิง วิธีหลบไม่ให้พิทบุลไล่ตามทันคือไปหลบใต้ท้องเขา”
หญิงสาวหลุดหัวเราะออกมา “งั่งจริง แต่ดูสนุกดี”
“สนุก กินบาร์บีคิว กินกัมโบ อาหารทางใต้น่ะ แล้วก็ลาซานญ่าเนื้อ เพื่อนพี่วิเอามา”
“โอ๊ย อิจฉา นี่ซื้อข้าวกล่องมากิน” ภามินโอดครวญ “ว่าแต่สี่ก็ดูแฮปปี้นี่นา ไหนก่อนไปดูพารานอยด์ กังวลนู่นนี่ ไม่อยากไป ไม่ชอบอเมริกา”
“สี่ก็ยังไม่ชอบ” เขาตอบในทันที “แต่มันต้องทำ จำเป็น เรื่องงานก็งี้”
“นั่นสินะ” เธอนิ่งไปครู ไตร่ตรองว่าตนเองมีเรื่องอยากจะถามอีกฝ่าย แต่คล้ายจะเลือนๆ ไปแล้ว “เอ้อ แล้วสี่ทำวีซ่าทำงานยังไง เวลามันกระชั้นมากเลยนะ ปกติต้องรอนานนี่นา แล้วต้องรอใบต่างๆ นานาจากทางนั้นอีก นี่ดูจัดการเร็วมาก ปุบปับไป ทำได้ยังไงกัน เส้นหรือ”
“ไม่หรอก ไม่เส้น” เขาตอบเสียงเรียบ “สี่ถือกรีนการ์ดน่ะ”
“เอ๊ะ” ภามินอุทานดัง เพราะไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน “ยังไง เมื่อไหร่ ไปแต่งงานกับพลเมืองอเมริกาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“นี่คุณ ไม่ต้องแต่งงานก็มีกรีนการ์ดได้” เขาทำเสียงดุทั้งที่รู้ว่าโดนแหย่เล่น “พี่ชายคนโตของสี่เป็นคนขอให้”
“พี่วิหรือ”
“ไม่ พี่เอก คนที่เสียไปแล้วน่ะ”
“อ้อ...” ภามินครางเบา
“พี่เอกเกิดอเมริกา ถือสัญชาติเป็นพลเมืองของที่นี่ พออายุครบยี่สิบเอ็ดเลยยื่นเรื่องขอกรีนการ์ดให้สี่ เพราะอยากให้มาอยู่มาเรียนทางนี้ ขอตั้งแต่สี่เพิ่งจะเจ็ดแปดขวบ รอนานเป็นสิบปีกว่าจะได้ หลังเรื่องเสร็จไม่กี่ปี พี่เอกก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต”
เธอได้ยินเสียงเขาถอนหายใจยาว
“สี่เกลียดที่นี่ ประเทศนี้ แต่ท้ายสุดที่สี่เดินตามความฝันของตัวเองได้ที่อเมริกาก็เพราะพี่เอก มันมีค่ากว่าเงินทองเสียอีกนะ สิ่งที่พี่เอกทิ้งให้สี่เป็นมรดกคืออนาคต บางทีสี่ก็คิดว่าพี่เอกอาจจะไม่ใช่คนก็ได้ อาจจะเป็นเทวดา ไม่ก็พ่อมด ถึงได้ล่วงรู้ว่าตอนนี้สี่จะต้องเจออะไร ต้องทำอะไร เลยทำทุกอย่างทิ้งไว้ให้ก่อนไป”
“พี่เอกเป็นเทวดาอยู่ในใจสี่ไง” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างที่ไม่ค่อยได้ใช้บ่อยนัก “เหลือแค่สี่ต้องพยายามหนักหน่อยนะ ทำให้สำเร็จ พี่เอกคงรู้และภูมิใจในตัวสี่ไม่น้อยไปกว่าพี่วิ เฮียตรัย แล้วก็เบญจ์แน่นอน”
“สี่จะพยายามนะ”
“อื้อ” คนฟังตอบรับ “ตอนนี้อยู่บ้านพี่วิก็ถือเสียว่าพักผ่อนก่อนเริ่มทำงาน ดีนะมีครอบครัวทางโน้น ไม่อย่างนั้นถ้าต้องนั่งเครื่องไปลงนิวยอร์กเลย สี่อาจจะคัลเจอร์ช็อคกว่านี้แน่เลย”
“สี่ไม่คัลเจอร์ช็อคหรอก ไม่ใช่ว่าไม่เคยอยู่ต่างประเทศเสียหน่อย”
“หมายถึงอเมริกันคัลเจอร์ช็อค” เธอเสริม “สี่นี่อะไรๆ ก็บริทิช ไม่คุ้นกับวิถีของอเมริกาง่ายๆ หรอก แต่จำไว้ เมื่อไปอยู่ที่นั่น ก็ต้องทำความเข้าใจวิถีชีวิตของคนที่นั่น และอย่าหลงลืมตัวเอง ทำให้ตัวเองมีเอกลักษณ์ งานของเราถึงจะโดดเด่นขึ้นมาได้”
“เป็นคำแนะนำที่ดี แฟนสี่เก่งฝุดๆ”
“แพร์อาบน้ำร้อนมาก่อนสี่ตั้งหลายปี” เธอหัวเราะ มือกลางคลิกเปิดไฟล์งาน
“ก็ดะๆ สี่ยอม ไว้เราค่อยอาบน้ำร้อนพร้อมกันก็ได้ แฟร์ๆ”
“สามหาว!” ภามินเผลออุทานลั่น
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว!” เขาโต้ตอบทันควัน “งั้นสี่วางสายไม่กวนคุณแพร์ละ เดี๋ยวไม่ได้กินข้าวกลางวัน ไว้จะคอลมาหาอีกนะ”
“ตอนเที่ยงๆ ของที่โน่นก็ได้ ไม่ก็บ่ายหน่อย”
“โห ก็ตีหนึ่งตีสองทางนี้สิ”
“เวลาแพร์ปั่นงานพอดีไง”
“จะใช้เป็นเครื่องมือแก้ง่วงก็บอก แหม น้อยใจ” จตุรวัชรทำเสียงเล็กเสียงน้อยได้น่าหมั่นไส้
“ไม่ดีหรือไง ได้คุยกันด้วย ได้ช่วยงานแฟนด้วย ออกจะเยี่ยมยอด”
“งั้นเอาตามนั้นแหละ คุณแพร์รักษาสุขภาพนะ กินข้าวตรงเวลา นอนให้เยอะ กลับไปเยี่ยมบ้านพ่อบ่อยๆ ด้วย จะได้กินอย่างอื่นนอกจากอาหารแช่แข็งกับอาหารตามสั่ง”
“นี่ก็อาหารตามสั่ง คือแฟนสั่งนะ สั่งจริ๊ง กินเข้าไป นมไม่มี ตูดไม่มี กลายเป็นซุง”
ภามินได้ยินเสียงเขาหัวเราะดังลั่น ก่อนคนปลายสายจะเอ่ยต่อ “นี่ไง สี่บอกแล้วให้สคว็อด จะได้ยกก้นกระชับ เด้งสวย ทำเองที่บ้านได้ง่ายๆ พอทำจนได้ผลแล้ว ทีนี้ใส่กางเกงใส่กระโปรงยังไงก็สวย ไม่มีหน้าอกนี่ไม่ใช่ประเด็นนะ เดี๋ยวนี้เทรนด์โลกเขาเน้นบูตี้* ไม่ใช่บัสตี้* อย่าลืมทำนะ เห็นนั่งทำงานกับเก้าอี้ตลอด เดี๋ยวเสียทรง”
“โอ๊ย นี่ก็รู้เยอะไป๊” หญิงสาวทั้งโวยทั้งหัวเราะ “กลับมาเอาให้มีซิกส์แพ็กเลยนะ แลกกัน โอเคมั้ย”
“ไม่แฟร์!” จตุรวัชรประท้วง “สี่มีแพ็กอยู่แล้ว สี่เป็นคนยุติธรรม สี่จะไม่เอาเปรียบคุณแพร์หรอกนะ”
“ประกาศอย่างไม่อายเลยเนาะ”
“อายทำไม คนเรารักสุขภาพ ออกกำลังกายจนหุ่นดี มีอะไรน่าอาย”
เออ...ก็จริงของเขา
“งั้นเอางี้ เดี๋ยวแพร์จะเข้าฟิตเนสออกกำลังกายให้สุขภาพดีขึ้น ส่วนสี่ก็ทำนมกลับมาก็แล้วกัน เอาทรงหยดน้ำนะ ไหนๆ แพร์ก็ไม่มีนมละ แฟนแพร์มีนมแทนหน่อยก็แล้วกัน เอาคัพซีกำลังดี มีทั้งนมมีทั้งซิกส์แพ็ก โคตรเท่เลย แค่นี้นะ บ๊าย”
เธอกดตัดสายและรู้ว่าหน้าต่างเตือนข้อความเข้าใหม่จะปรากฏขึ้นในทันที
ประสาท!
ให้สี่ทำนม บ้าเหรอ สี่ไม่ทำหรอกนะ
เดี๋ยวเสื้อผ้าเก่าๆ จะแน่นอก
เอางี้ ไว้ตอนจะกลับจะเข้าช็อปวิคตอเรีย’ส ซีเคร็ทให้
แล้วจะเหมาพุช-อัพ บรามาให้นะ
ไม่ต้องห่วงนะ ไม่ต้องขอบคุณ สี่รู้สี่เป็นคนดี
เธอนี่มันบ้าจริงๆ...
ไม่เอาลูกไม้นะ
ภามินปิดหน้าต่างสนทนาแล้วเริ่มทำงานต่อ
แต่ละคนล้วนมีเส้นทางชีวิตของตัวเองที่ต้องเลือกทำ แม้ไม่ได้อยู่ใกล้คอยเจอหน้าพาไปกินข้าวก็ไม่เลวร้ายนัก ถือเสียว่าระยะทางที่ห่างไกลคือบททดสอบอีกข้อก็แล้วกัน
San José International Airport ตั้งอยู่ที่เมืองซานโฮเซ่ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
Booty มีขนาดสะโพก/ก้น ที่สวย
Busty มีหน้าอกใหญ่
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in