เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[นิยาย] ดุจเรือนใจMepMhee
ดุจเรือนใจ (บทที่ ๑๔)

  • เสียงจ้อกแจ้กจอแจของสนามบินเป็นอะไรที่จตุรวัชรควรชินได้แล้ว เพราะตั้งแต่เรียนจบทำงานมา ปีๆ หนึ่งเขาต้องโดยสารเครื่องบินเพื่อไปธุระอยู่บ่อยครั้ง จากคราแรกที่ครอบครัวพากันมาส่งด้วยความเป็นห่วง จนทุกคนเริ่มเบื่อเพราะเดินทางบ่อยเกินไป ท้ายสุดก็มีเพียงคนขับรถที่ตามมาคอยดูแลก่อนเข้าเกทเท่านั้น

    แต่ครั้งนี้เกือบทุกคน...อยู่ตรงนี้กับเขา

    พ่อ แม่ พี่ชาย พี่สะใภ้ ต่างมากันพร้อมหน้า ถ้าไม่ได้ติดขัดที่สนามบินไม่อนุญาตให้พาสัตว์เลี้ยงเข้ามา ก็คงมีเวนิสด้วยอีกตัวหนึ่ง

    ทุกครั้งที่ชายหนุ่มจะต้องไปไหนไกลเขาจะไม่นึกห่วงลูกสาวสักเท่าไรนัก เพราะรู้ดีว่าคนที่บ้านทั้งรักและเอาใจใส่แมวสามสีขนนุ่มไม่น้อยไปกว่าตนเอง แต่สำหรับคราวนี้ที่มันไม่ใช่การ ‘ไปเยี่ยมเยียน’ ช่วงเวลาสั้นๆ เหมือนปกติ การลาจากกับสัตว์เลี้ยงแสนรักทำให้เขานึกกังวลอยู่ทุกครั้งไป

    “อาซ้อ ฝากเวนิสด้วยนะ” เขากุมมือพี่สะใภ้ที่แก่กว่าตนเองไม่กี่ปี และกลายเป็นเพื่อนสนิทไปแล้ว ในบางคราเขาก็เรียกอีกฝ่ายเช่นนี้ แสดงว่าต้องการออดอ้อนหวังผลสักสิ่ง “ถึงเวนิสติดแพนน้อยกว่าสี่นิดนึง ถ้าเวนิสเหงาแพนให้เวนิสอ้อนหน่อยนะ ถึงจะท้องแก่ก็เถอะ...”

    “ใครเขาว่าท้องแก่แล้วห้ามเลี้ยงแมวเลี้ยงหมา บ้าบอ ไม่ได้คลุกคลีแบบกินนอนด้วยกันตลอดเวลาแบบผิดสุขลักษณะนี่นา” อนุตดาตอบ พลางตบหลังมือน้องชายสามีเบาๆ “เพราะงั้นสี่ไม่ต้องห่วงนะ เราดูแลให้เอง เราก็รักก็เอ็นดูเวนิสเหมือนกัน ตอนเรากับพี่ตรัยไปฮันนีมูน สี่ก็ดูแลนิคกี้ให้ คราวนี้ตาเราแล้วล่ะ”

    “ขอบคุณจริงๆ” เขาดึงตัวอีกฝ่ายมากอดโดยระมัดระวังไม่ให้กระแทกหน้าท้องที่เริ่มนูนจนเห็นชัด “แพนก็ระวังตัวนะ ถึงจะเลยช่วงท้องเสี่ยงแท้งมาแล้วก็เถอะ”

    “อื้อ” เธอตอบ ก่อนกวาดสายตามองตั้งแต่หัวจดเท้า “แฟชั่นสนามบินของสี่นี่...เหลือเกินจริงๆ”

    “หือ? ก็ธรรมดานี่”

    “สี่เคยธรรมดาหรือ!”

    “แฟ้บบิวหลั่ส! เจิดจรัส! นี่แหละ คือความธรรมดาของสี่” พูดจบเจ้าตัวก็ยืนพอยตน์ขาโพสต์ท่าเท่

    อนุตดาหัวเราะ มองคนที่ใส่เสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีน้ำเงินพับแขน ทับเสื้อยืดคอกลมขาว ดูเข้ากันดีกับกางเกงยีนส์ซีดและรองเท้าผ้าใบสีเทา ที่แปลกหูแปลกตาไปคืออีกฝ่ายไม่เซ็ทผม คงเพราะจะได้สะดวกหากต้องไปนอนบนเครื่องบิน จะได้ไม่ต้องเสียเวลามารักษาทรง กับอีกเรื่องที่แปลกหูแปลกตาที่สุด คือวันนี้น้องสามีไม่ใส่คอนแทคเลนส์สายตา ทว่าสวมแว่นทรงวินเทจสีกระ

    “ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน่อยสิสี่” พี่สะใภ้ชวน ก่อนที่เธอจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปคู่กับน้องสามี ทำเอาพี่ชายที่มองอยู่ห่างๆ ส่ายหัวพลางหัวเราะ

    “นี่ ว่าแต่เฮียกับแพนไม่อัลตราซาวนด์ดูจริงๆ หรือว่าเพศอะไร” จตุรวัชรถามหลังจากได้ถ่ายรูปด้วยโทรศัพท์ของตนเองบ้าง

    “ลุ้นดีกว่า” ตรัยตอบด้วยรอยยิ้ม “ซาวนด์แค่พอให้รู้ว่าสุขภาพเป็นยังไงก็พอ”

    “แหม นึกว่าจะอัลตราซาวนด์สี่มิติแบบสมัยนี้ เห็นหน้าลูกในท้องเลยนะ” คนเป็นว่าที่อาหัวเราะ

    “สี่ เราไม่เข้าใจว่าทำไมต้องซาวนด์สี่มิติ” อนุตดาถอนหายใจ 

    “ก็ซาวนด์สองมิติสามมิติ มันไม่ครอบคลุมเรื่องปากแหว่งเพดานโหว่ไง” ผู้เป็นสามีตอบแทน

    “แหม รู้แล้วค่ะ” หญิงสาวเอ่ย “ตอนแรกที่ได้ยินว่ามีอัลตราซาวนด์สี่มิตินี่นะสี่ เผลอนึกภาพในท้องเราเป็นเอกภาวะ มีหลุมดำเกิดข้างใน แบบว่ามิติเวลาบิดเบือน ย้อนอดีตได้ ไปอนาคตได้ ตามทฤษฎีของไอน์สไตน์”

    “หล่อนเป็นคนท้องที่ดูหนังไซไฟมากไป” จตุรวัชรส่ายหัว “แล้วฟังบ้างไหม เพลงโมส่งโมสาร์ท พัฒนาสมองลูกนะ”

    “ฟังเกอร์ชวินดีกว่า” ผู้เป็นพ่อตอบแทนด้วยแววตาเป็นประกาย “ดู๊ค เอลลิงตัน เกลน มิลเลอร์ เรย์ ชาร์ลส ก็ดี”

    “ก็คนเป็นพ่อชอบทางแจซ บลูส์ เสียขนาดนี้ สี่คิดว่าเราจะได้ฟังคลาสสิคหรือไง” คนท้องถอนหายใจพร้อมรอยยิ้มละมุน

    “เอาน่ะ ฟังอะไรก็ได้ ให้เราสุขภาพจิตแจ่มใส เดี๋ยวไอ้ตัวเล็กก็ออกมาแข็งแรงเอง นับๆ เดือนแล้วท่าทางเกิดเดือนเดียวกับพ่อมั้งเนี่ย หวาย เด็กปลายปี” ผู้เป็นอาคาดคะเน “เดี๋ยวสี่จะบินกลับมาดูหน้าหลานนะ”

    “จะไปนานขนาดนั้นเลยหรือลูก” พิมพ์สุรางค์ซึ่งยืนดูลูกๆ คุยกันอยู่นานพูดแทรกอย่างผิดวิสัย “สี่จะไม่กลับมาเยี่ยมบ้านเลยหรือไงกัน”

    “กลับทีเดียวตอนเทศกาลดีกว่าจ้ะแม่ กลับทุกเดือนมันเหนื่อยเดินทาง แล้วก็เปลืองค่าเครื่องบินด้วย”

    “ฮึ ทำอย่างกับพ่อจะไม่มีปัญญาจ่ายให้” ทศเดชแค่นเสียง “จะกลับทุกเดือนยังจ่ายให้ได้เลย นี่ดูซิ แม่เขาหงอยเลยรู้ไหม”

    “แล้วใครเป็นคนไล่ให้สี่ไปนิวยอร์ก ถามจริง” จตุรวัชรมองพ่อตาขวาง 

    อีกฝ่ายได้แต่ยักไหล่ทำไม่รู้ไม่ชี้ก่อนพูดต่อ “นี่พ่อจะจองเฟิร์สคลาสให้ไม่เอา เอาแค่บิสสิเนส มันนั่งนานนะสี่ เอาความสบายไหม”

    “เปลือง”

    “แหม เปลือง ทีซื้อหรือสั่งทำต่างหูข้างเดียวเป็นแสน ไม่เปลืองเนาะ” คนเป็นพ่อประชด

    “บิดา!” จู่ๆ ลูกชายก็ทำเสียง ‘ดราม่า’ ขึ้นมา “ต่างหูเพชรราคาเรือนแสน ใช้งานได้จนตาย ตายแล้วให้ลูกหลานขายต่อได้ แต่ตั๋วเครื่องบินราคาเป็นแสน ได้ใช้งานแค่ยี่สิบกว่าชั่วโมง อะไรคุ้มกว่า ตอบ!”

    “ลูกชายสบาย ยังไงก็คุ้มกว่า” ทศเดชตอบโดยไม่ลังเล

    “โห ซึ้งง่ะ” จตุรวัชรกะพริบตาถี่ แสร้งหยิบผ้าเช็ดหน้าแบรนด์ดังมาซับหัวตา “ซึ้งขนาดนี้ยืมไปนึ่งซาลาเปาได้มั้ย”

    ผู้เป็นพ่อดีดมะกอกใส่กลางหน้าผากลูกชายที่ไม่ได้ทันตั้งตัวจนเขาร้องออกมาลั่น

    “สม” พิมพ์สุรางค์สรุปเหตุการณ์ให้ ทุกคนเลยได้หัวเราะเยาะใส่จตุรวัชรที่ตั้งท่าจะหันมาฟ้องแม่แต่เก้อไปเสียแล้ว

    “มันดึกแล้วนะ...” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องเมื่อมองเวลาจวนจะเที่ยงคืน “ทุกคนกลับบ้านเถอะ ไม่ต้องห่วงสี่ เดี๋ยวพอทุกคนไปสี่ก็เข้าไปนั่งเล่นในเลาจน์แล้ว”

    “เล้ายกพื้นมั้ย ข้างล่างมีบ่อปลา” ทศเดชยื่นหน้าไปถามลูกชาย

    “แหมมมม สนามบิน ไม่ใช่ไร่นาสวนผสม จะได้มีเล้ามีบ่อ แหมมมม” เสียงจงใจอุทานแหลมเสียจนครอบครัวฮาครืน

    “สี่ไม่อยู่เฮียคงเหงาหูแย่เลย” ตรัยทอดถอนใจ “ไม่มีคนมาปากเปราะ ปากดี ปากสว่าง ปากปีจ...”

    “หยุด!” น้องชายยกนิ้วชี้ขึ้นเล็งไปที่พี่ชาย “เราหยุดแล้วเหตุใดท่านยังไม่หยุด ไม่ต้องพูดต่อเลย เฮียบอกมาดีๆ ก็ได้ว่ารักและคิดถึงน้องคนนี้สุดหัวใจ ไม่ต้องเขิน พร้อมจะรำลึกถึงความดีงามที่เคยได้กระทำให้ ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม และจะตอบแทนด้วยการโอนเงินไปให้ใช้ให้ช็อปที่โน่น เป็นจำนวนมากกว่าหกหลัก”

    “อื้อหือ” ทศเดชอุทานพลางเบิกตากว้างและหันไปหาภรรยา “มันได้ทีเอาใหญ่เลย ตรัยไม่หลงกลหรอก”

    “เอาสิ”

    คำตอบของตรัยทำให้น้องชายสุดที่รักพุ่งเข้าไปหมายกราบแนบอกแต่โดนพี่เอามือยันไว้ก่อน ทว่าผู้ที่ตั้งใจแสดงความสำนึกในบุญคุณอย่างลึกซึ้งก็ยังพยายามดันหัวตัวเองเข้ามาอีก การต่อสู้อันดุเดือดคล้ายในสารคดีตกปลาทะเลสิ้นสุดลงเมื่อท้ายสุดจตุรวัชรสู้แรงไม่ได้ จึงหมุนไปกราบแทบอกพี่สะใภ้แทน ทำเอาเธอรับไหว้เกือบไม่ทัน

    “เฮ้ย เมียเฮีย”

    “เฮียไม่ให้กราบ กราบเมียเฮียก็ได้” เขาตอบหน้าตาเฉย “แพนเป็นพยานให้สี่ด้วยนะ เฮียบอกว่าจะส่งเงินไปให้ช็อปนะ”

    “ได้เลย” อนุตดายิ้มหวาน “เดี๋ยวบอกให้เฮียแลกเหรียญสองบาทใส่กล่องแล้วลอยส่งไปให้เนาะ”

    “แหม มันก็จมตั้งแต่ปากน้ำแล้วย่ะหล่อน!” คนพูดเบ้ปาก “เอาเถอะ ทุกคนตัดหางปล่อยวัดสี่แล้วนี่ จะเอาไงก็ตามใจ ต้องไปใช้ชีวิตตามลำพังในเมืองใหญ่ หดหู่ใจนัก”

    ทุกคนหัวเราะให้แก่กัน ก่อนจะก้มหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาเช็คข่าวคราวบ้างหลังจากยืนคุยกันมานานแล้ว ชายหนุ่มผู้ใกล้จะจากไปพร้อมกับเครื่องบินสอดส่ายสายตาราวกับมองหาใครบางคนที่ยังไม่ปรากฏตัว ณ ตรงนั้น ตรัยมองท่าทางน้องชายแล้วก็เป็นห่วง แต่ก็ไม่อยากจะเอ่ยปากถามให้อีกฝ่ายต้องลำบากใจ

    “อีสี่!”

    เสียงที่นำมาแต่ไกลทำให้ทุกคนหันตาม 

    เจ้าของร่างอาบซึ่งแต่งเดรสยาวเสมอเข่าเช่นผู้หญิงย่อตัวไหว้พ่อแม่ของเพื่อนด้วยท่าทางสุภาพเรียบร้อย ทำให้เพื่อนอีกสองคนที่เดินคล้อยหลังต้องไหว้ตามทั้งที่ยังไม่ถึงตัวดี

    “เจ๊แหนม” จตุรวัชรเดินเข้าไปกอดเพื่อนด้วยความสนิทสนม แล้วจึงไล่กอดรฐาและกฤติกร “เหนื่อยมากันทำไมเนี่ย”

    “ก็สี่ไปไกล” รฐาชิงตอบ “ทุกคนไม่เจอสี่อีกนานแน่ๆ คงเหงา คิดถึง เลยอยากมาเจอ อยากมาส่ง จะได้แน่ใจว่าไปจริงๆ ไม่อยู่ทำให้เราเดือดร้อนอีก”

    “โหย ไอ้กระถางธูป ปากนี่นะ” จตุรวัชรเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเพื่อนทอมตัวเล็ก

    ผู้ที่มีรูปลักษณ์เช่นสาวสวยเดินเข้าไปหาทศเดชและพิมพ์สุรางค์ กฤติกรก้มศีรษะไหว้ทั้งสองคนต่ำยิ่งอีกครั้งหนึ่ง “สวัสดีค่ะคุณลุงคุณป้า”

    “คิตตี้สบายดีนะลูก” ผู้เป็นลุงวางมือบนศีรษะ ลูบหัวด้วยความปรานี “เห็นแม่เราเขาบอกเรางานยุ่ง ไม่ค่อยได้กลับไปบ้านเลย”

    “โหย อาทิตย์ก่อนเพิ่งกลับไปอยุธยานะคะลุงเดช” กฤติกรแก้ตัว “อาทิตย์ก่อนหน้านั้นคิตตี้ก็กลับไปค่ะ อาทิตย์โน้นด้วย สงสัยแม่อยากให้กลับไปอยู่อยุธยา...”

    “คนเป็นแม่ก็แบบนี้แหละลูก” พิมพ์สุรางค์ยิ้มให้ ดึงมือนุ่มเรียงของอีกฝ่ายมาลูบเบาๆ “ทำงานหนักสินะ ป้าเห็นแม่เขาพูดอวดใหญ่ ลูกเขาไปร่ำเรียนต่อแล้วได้ดิบได้ดี เรียนจบ แถมยังเป็นนางแบบอีก ถึงจะเลือกเป็นผู้หญิงก็ไม่ทำตัวเหลวแหลก เขาภูมิใจ พูดไปสามบ้านแปดบ้าน”

    “ไม่มีคุณลุงคุณป้าออกทุนให้คิตตี้ก็ไม่ได้ไปหรอกค่ะ” คนพูดยิ้มอ่อนหวาน “ถ้าไม่มีทุกคนบ้านนี้ คิตตี้ก็คงเป็นได้แค่อีตุ๊ดในสายตาคนอื่น คิตตี้อยากดีเพื่อตัวเอง แล้วก็ดีเพื่อให้ทุกคนภูมิใจด้วย”

    “ป้าภูมิใจจะตาย” พิมพ์สุรางค์กล่าวเสร็จก็ดึงหลานนอกไส้คนนี้มากอดด้วยความเอ็นดู โดยมีรฐามองอยู่ห่างๆ “ไปคุยกับพี่สี่เขาไป เดี๋ยวก็ต้องบินไปไกลแล้ว ในฐานะคนเคยอยู่นิวยอร์กมาก่อน มีอะไรแนะนำสี่ก็บอกไปเลยนะลูก”

    “พี่สี่ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แข็งแกร่งจะตาย ระวังตัวเองดีด้วย อาจจะต้องให้มนุษย์ต่างดาวถล่มแมนฮัตตันก่อน อันนั้นล่ะหนูไม่รับประกัน” กฤติกรพูดด้วยความมั่นใจ

    “อีสี่ ไปแล้วติดต่อมาบ่อยๆ นะ” ณัฐพงษ์สะอื้น พลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับหัวตา “อย่าเงียบ อย่าหายไปเลยนะ เพื่อนๆ ห่วง รู้ไหม”

    “เจ๊...” จตุรวัชรถอนหายใจ “สี่ไปนิวยอร์ก อินเทอร์เน็ตดีกว่าบ้านเราอีก ไม่ได้ไปติดคุก เผลอๆ จะแชทกันเรื่อยจนลืมไปว่าสี่ไม่ได้อยู่ไทย”

    “ไม่รู้แหละ” อีกฝ่ายตอบเสียงตวัด “มันใจหาย อยู่ดีๆ ก็นัดกินข้าว แล้วก็บอกว่าจะไปนิวยอร์ก โอ๊ย บ้าจริง ฉันตกใจน่ะรู้ไหม แล้วแฟนหล่อนเขาว่ายังไงบ้าง”

    ชายหนุ่มเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย ยกมุมปากยิ้มเพียงนิดโดยไม่ตอบอะไร ทำให้เพื่อนสนิทหันไปหาพ่อกับแม่แทนเพราะรู้ว่าจะไม่ได้คำตอบอะไรเป็นแน่

    แล้วจตุรวัชรก็ยังชะเง้อมอง...เผื่อจะเห็นใครสักคนที่อยากให้มา  



    “อีกไม่ถึงสองเดือน สี่ต้องบินไปทำงานที่นิวยอร์กน่ะ”

    จากที่ภามินเอนพิงพนักวางแขนโซฟาอยู่ เธอค่อยๆ ยันแขนนั่งตัวตรง เบือนหน้ามองเขาช้าๆ ราวกับกำลังทบทวนเรื่องราว “สี่ว่าอะไรนะ”

    “สี่บอกว่า ที่กำหนดคบกันแค่สองเดือน เพราะหลังจากนั้นสี่ต้องไปนิวยอร์ก ไปทำงาน แล้วคงไม่ได้กลับมาอีกพักใหญ่”

    “แล้วสี่ตั้งใจจะบอกเรื่องนี้กับแพร์เมื่อไหร่ วันที่ครบสองเดือนหรือยังไง” 

    เสียงเธอเรียบ นิ่ง ไม่แสดงอารมณ์ตื่นหรือตระหนก เอาจริงๆ ถ้าน้ำเสียงเธอมีความหวั่นไหวเขาก็คงจะดีใจมากกว่านี้

    “สี่ตั้งใจจะบอกวันที่ครบสองเดือน”

    “คือตั้งใจจะให้ยอมรับกันเอาดื้อๆ ตอนวันนั้นเลย?” เสียงเธอเข้มขึ้นเล็กน้อย “แพร์เคยคิดว่าสี่เป็นคน...” ภามินนิ่งอยู่ครู่ เหมือนพยายามนึกคำที่เหมาะสม “แพร์เคยคิดว่าสี่เป็นคนที่แฟร์ ไม่คิดเองเออเอง ไม่เผด็จการ แต่ทำไมสี่เป็นงี้ล่ะ”

    เขาสูดหายใจเข้าลึกก่อนผ่อนออกยาว “สี่ไม่ได้ดีเลิศขนาดนั้นหรอก จริงๆ สี่ก็เป็นคนธรรมดา มีเรื่องที่สี่เห็นแก่ตัวเหมือนกัน”

    “แพร์ไม่โอเค” เธอเอ่ยทันที “แพร์ไม่โอเคกับสถานการณ์แบบนี้และการกระทำแบบนี้ของสี่ คนเป็นแฟนกันเขาไม่ควรปิดบังกันแบบนี้”

    “นั่นสิ สี่นิสัยไม่ดีเลย แล้วเรื่องของเราจะเอายังไงกันดี”

    ภามินมองเขาอยู่นานโดยไม่พูดอะไร




    “แล้วสี่จะไปอยู่ที่ไหน ยังไง อยู่ย่านไหนอะ เจ๊ลืมถามไปเลย” ณัฐพงษ์ลูบแขนน้องชายที่รักด้วยความเป็นห่วง “อยู่ตัวคนเดียวมันลำบากหน่อยนะ”

    “สี่เคยอยู่อังกฤษมาตั้งหลายปี” จตุรวัชรยิ้ม “เจ๊ไม่ต้องห่วงนะ สี่อยู่ได้ ที่พักอะไรทุกอย่างจัดการไว้หมดแล้ว”

    “แล้วทำไมไฟลท์ไปลงสนามบินซานฟรานซิสโกล่ะ” รฐาเอ่ยขึ้นมา “คือเมื่อกี้ไปเช็คเที่ยวบินไง เห็นว่าไปต่อเครื่องที่ดูไบแล้วก็ไปลงที่โน่น เลยงง ทำไมไม่ไปลงที่เจเอฟเค* สนามบินนั้นของนิวยอร์กไม่ใช่หรือ”

    “ก็ยังไม่ไปนิวยอร์กน่ะสิ” เขาตอบและอธิบายต่อ “แวะไปหาพี่ชายไปเยี่ยมหลานก่อน พี่ชายอยู่แถวนั้น”

    “พี่ชาย?” คนถามเลิกคิ้ว

    “พี่วิ พี่ชายคนรองของบ้านมีครอบครัวอยู่ที่โน่นน่ะ”

    “โอ๊ะ” รฐาอุทาน “เพิ่งรู้”

    จตุรวัชรยิ้ม “พี่วิอยู่แถวซานโฮเซ่ ไปทำงานง่าย ขับไปซานฟรานก็ครึ่งชั่วโมงได้”

    “อ้อ งี้นี่เอง” ณัฐพงษ์สรุปความคิดได้ “จะว่าไปเจ๊ลืมเลยว่าเฮียตรัยไม่ใช่พี่ชายคนโตนี่เนอะ เออ แล้วสี่อยู่นานไหมก่อนเข้านิวยอร์ก”

    “สัปดาห์นึง พี่วิบอกไปนั่งเล่นนอนเล่น เที่ยวเล่นให้สบายใจก่อนแล้วค่อยไปลุยงานยาวๆ”

    “สู้นะ” รฐาตบแขนพร้อมกับเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น “มีอะไรก็บอกได้ กระถางอยู่ทางนี้ เดี๋ยวกระถางกับคิตตี้แล้วก็เจ๊แหนมจะแวะมาเยี่ยมพ่อแม่บ่อยๆ”

    “ขอบใจมาก” จตุรวัชรพยายามโอบเพื่อนทั้งสามคนพร้อมกัน ติดที่คนหนึ่งเตี้ยไป อีกคนสูงไป และคนสุดท้ายก็อวบเสียจนอ้อมแขนไม่ถึงเอวอีกฝั่ง “กลับกันเถอะน่า ดึกแล้ว”

    “รอส่งพี่สี่เข้าเกทก่อนสิ” กฤติกรทำเสียงดุ

    “ไม่ดึกหรอกสี่ คืนนี้กระถางดูบอล มาหาสี่ก็ดี กระถางจะได้ไม่ง่วง”

    “นี่ใช้ฉันเป็นเครื่องมือช่วยในการดูบอลดึกงั้นสิ” จตุรวัชรกอดอก

    “กระถางก็ใช้สี่มาตลอดนั่นแหละ สี่ไม่รู้ตัว” คนพูดส่ายหัวเบาๆ ทำเอาชายหนุ่มหมั่นไส้ต้องเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงเรียกเสียงหัวเราะได้

    “นอนดึกเดี๋ยวตื่นไปเฝ้าร้านให้ป๊าไม่ทันนะยะกระถาง” ณัฐพงษ์เป็นห่วงเพื่อนรุ่นน้องที่ต้องช่วยทำกิจการร้านค้าวัสดุและรับเหมาก่อสร้างของที่บ้าน 

    “พรุ่งนี้วันหยุด ว่าจะนอนตีแปลงแล้วทำคอนโดแมว”

    “หือ แมว” จตุรวัชรมุ่นคิ้ว

    “มาคลอดที่บ้าน สี่ตัว สงสาร เลี้ยงไว้ โตละ ซนมาก ปีนหัวอยู่นั่นแหละ เลยว่าจะทำคอนโดแมวให้เล่น” รฐาเอ่ยอย่างหมายมาด

    “สี่ขอเตือนนะกระถาง” เขาตบไหล่เพื่อนเบาๆ “ทำคอนโดแมวให้สูงกว่าตัวเอง ไม่งั้นมันก็เห็นกระถางเป็นแท่นเหยียบเหมือนเดิมแหละ”

    “สี่นี่เป็นคนร้ายกาจ ขอให้เดินชนรถขายทาโก้ที่นิวยอร์ก” ผู้ที่โดนเหน็บว่าตัวเตี้ยบ่นด้วยน้ำเสียงนิ่มๆ เนิบๆ จนทุกคนหัวเราะ

    “สี่”

    ทุกคนหันพร้อมกันเมื่อได้ยินเสียงเรียกดังมาจากอีกทางหนึ่ง 

    ภามินซึ่งสะพายกระเป๋าใบเล็กถือแก้วน้ำพลาสติกกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมา จตุรวัชรตาเป็นประกายอย่างที่ใครๆ ก็รู้สึกได้

    “คุณแพร์” ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปหา แทนที่จะสวมกอดด้วยความรักใคร่ เขากลับก้มลงไหว้ด้วยความนอบน้อม และหงายมือรับแก้วน้ำโดยที่ยังไม่ยอมยืดตัวขึ้นมา

    “พอแล้ว เวอร์” หญิงสาวถอนใจ “จะมาอยากกินชาเย็นอะไรตอนนี้ แล้วมาบอกว่าอยากกินร้านแถวบ้านแพร์อีก เขาไม่เปิดหรอกนะ นี่ไปหาซื้อร้านค้าข้างล่างมาให้”

    “เป็นบุญคุณล้นเหลือ” จตุรวัชรแสร้งเอ่ยเสียงเครือก่อนใช้หลอดดูดเครื่องดื่มโปรดของตนเอง “อา...ชื่นใจสุด”

    “ดื่มชาตอนนี้เดี๋ยวก็นอนไม่หลับบนเครื่องหรอก” ตรัยส่ายหัว “ไปหากินในเลาจน์ก็ได้ น่าจะมีมั้ง เครื่องดื่มขึ้นชื่อของไทยนี่นา"

    “มันไม่ชัวร์อะว่าจะมี เกิดสายการบินเบสตะวันออกกลางเกิดอินดี้ขึ้นมา ไม่มีชาจะทำไง” น้องชายแย้ง

    “เดี๋ยวนะสี่...” ผู้เป็นพ่อหรี่ตามอง “นี่เราใช้หนูแพร์ไปซื้อชาให้กินอย่างนั้นเหรอ”

    “ค่ะ” ภามินตอบทันที

    “เรานี่นะ พ่อสอนแล้วไม่จำเลย” ทศเดชกุมขมับ ระหว่างที่ลูกชายแกล้งทำหงอย เขาก็ฉวยโอกาสฟาดไปเสียหนึ่งที “ทำไมไม่เดินไปเอง!”

    “รอเพื่อน!” ลูกชายตอบ “เดี๋ยวมาส่งสี่แล้วสี่หาย โดนมนุษย์ต่างดาวจับตัวไป ตกเครื่อง จะเป็นเรื่องใหญ่”

    “จะว่าไปก็ใกล้เวลาแล้วนะ” อนุตดาเตือน “สี่เตรียมตัวเข้าไปข้างในเถอะ”

    “ขอดื่มชาให้หมดก่อน ของล้ำค่าของสี่” คนพูดเอาแก้วน้ำมากอดอย่างหวงแหนก่อนดื่มจากหลอดรวดเดียวจนได้ยินเสียงโครก “หมดละ เสียดาย”

    “แม่ก็แพ็คใบชาที่สี่ชอบให้แล้วยังไงกัน มีถุงชงกาแฟใหม่ๆ สามอัน ไว้ไปชงกินเองนะลูก อย่าชงแก่จัดนักนะ” พิมพ์สุรางค์สั่งความ

    “เอาจริงๆ ทางนั้นก็หาซื้อได้ไม่ยากหรอก” ตรัยแนะนำ “แต่ถ้าเกิดลงเครื่องแล้วอยากกินทันที จะไปเดินหาซื้อก็ยังไงอยู่”

    “ถ้าสี่ลงเครื่องแล้วอยากดื่มชาเย็นเลย สี่ว่าสี่ไปค้นตู้บ้านพี่วิก่อนดีกว่า ต้องมีซุกแน่ๆ” จตุรวัชรวาดแผนการ

    “ไปสักทีไป๊” ทศเดชไล่ “พ่อแม่จะได้กลับไปนอน พี่สะใภ้สี่ด้วย ดูซิ ดึกดื่นเที่ยงคืนก็ออกมาส่งด้วย หลานมันนอนผิดเวลาพอดี”

    “โธ่ พ่อ หลานอยากมาส่งสี่หรอก” คนพูดย่อตัวลงคุกเข่ากับพื้นสนามบิน วางมือแตะท้องพี่สะใภ้ด้วยความระมัดระวัง “ไอ้ตัวดี เติบโตแข็งแรงสุขภาพดีนะลูก ไว้พอหนูออกมาเจอหน้าพ่อแม่แล้วอาจะบินมาหา”

    “แหม ตอนบินก็อย่าหลงเข้าไปในใบพัดเครื่องบินล่ะ” ผู้เป็นพ่อเหน็บ ทำให้ลูกชายเบ้ปาก

    “พ่อ สี่ไม่ใช่นกเป็ดน้ำอพยพ” เขาถอนใจก่อนลุกขึ้นยืนตระเตรียมกระเป๋า ภามินปราดเข้าไปถือแก้วน้ำเพราะตั้งใจว่าจะเอาไปทิ้งให้

    “ก็จริงๆ สี่เป็นอีกานี่นะ” พี่ชายเสริม “คุณแพร์รู้ไหมว่าตอนสี่เรียนจบ ผมส่งอะไรไปเป็นของขวัญเรียนจบป.ตรีของสี่ ก่อนมันบินไปต่อป.โทที่ฝรั่งเศสน่ะ”

    “ไม่ทราบค่ะ” หญิงสาวมองตรัยด้วยความสงสัย เพราะเธอเพิ่งได้ยินว่าจตุรวัชรเรียนจบจากอังกฤษแล้วไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส

    “สร้อย ห้อยเข็มกลัดเพชร”

    “โอ้โห” เธออุทาน

    “สวมอยู่บนตุ๊กตาอีกาดำปิ๊ด” คนเล่าวางท่าภูมิอกภูมิใจอย่างยิ่ง

    ทั้งพ่อแม่และเพื่อนพากันกลั้นหัวเราะ ส่วนคนโดนพาดพิงแสดงความไม่พอใจด้วยการทำปากคว่ำ

    “ส่วนเบญจ์ ฝาแฝดเขา ก็ส่งของที่ดูอังกฤษไปให้” ตรัยเล่าต่อ “เป็นอะไรที่ดูนอเบิ้ลมากๆ”

    ภามินกะพริบตาปริบๆ "ดูสูงส่ง? สูงศักดิ์? เหมือนพวกขุนนาง”

    “เปล่า เพราะนอเบิ้ล คือมีนอดับเบิ้ล” คนอธิบายชูสองนิ้วประกอบ “เบญจ์เลยให้ตุ๊กตากระซู่ติดแว่นขาเดียวแบบผู้ดีสมัยก่อน”

    คราวนี้ทุกคนระเบิดเสียงหัวเราะลั่น

    “พอจะไปก็ใส่ไฟซะไหม้เกรียมเลยเนาะ คนเราเนาะ เป็นพี่เค้าเนาะ ดูทำตัวเข้า” จตุรวัชรสั่นหัว แล้วจึงวางมือลูบหน้าท้องอนุตดาเบาๆ “เป็นคนที่ดีกว่าพ่อนะลูก ขี้แกล้งแบบนี้ไม่ดี”

    “แค่ไม่เป็นเหมือนอาก็เป็นคนดีมากแล้วค่ะ”​ภามินสรุปให้

    “คุณแพร์! ร้ายกาจใส่สี่ทำไม!”

    “สี่ร้ายกาจใส่แพร์ก่อนทำไม”

    เมื่อเธอพูดเขาก็เงียบไป ทุกคนได้แต่มองหน้ากันโดยไม่มีใครกล้าเอ่ยแทรก กระทั่งทศเดชดึงตัวลูกชายไปกอดแน่น

    “รักษาเนื้อรักษาตัวนะ”

    “ครับพ่อ”

    “สี่” พิมพ์สุรางค์อ้าแขนให้ลูกชายค้อมกายกอด ชายหนุ่มหอมแก้มมารดาทั้งสองข้างและยอมให้อีกฝ่ายหอมฟอดใหญ่อยู่หลายครั้ง “ดูแลตัวเอง โทร.กลับมาหาแม่บ่อยๆ นะ โทร.ในโปรแกรมแชทก็ได้ แม่ใช้เป็นแล้วนะ แพนสอนแม่”

    “สี่จะโทร.มาหาทุกวันจนแม่เบื่อเลย”

    “งั้นวันเว้นวันก็ได้ลูก” แม่หัวเราะเบา “ขอให้สี่ของแม่เป็นคนดี ทำอะไรด้วยสติ ปัญญา ผ่านพ้นทุกอุปสรรคและปัญหาไปได้ด้วยดี และมีกำลังพอที่จะช่วยเหลือคนอื่นได้นะลูก”

    ลูกชายพนมมือรับพรจากผู้เป็นดั่งเทวดาในบ้าน ก่อนยกมือปาดกับศีรษะอย่างไม่ใส่ใจว่ามันจะทำให้ผมเสียทรง “สี่จะเข้มแข็งจ้ะแม่"

    ตรัยเดินเข้ามาหาน้องชาย ตบไหล่อีกฝ่ายหนักๆ เพียงครั้ง “มีอะไรโทร.หาพี่วิได้ทุกเมื่อ เฮียด้วย”

    “ก็รอให้เงินมากกว่าหกหลักเข้าก่อน เข้าปั๊บจะไม่โทรกวนเล้ย”

    ผู้เป็นพี่ได้ยกขาเตะก้นน้องชายเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยไปหนึ่งที

    จตุรวัชรเดินไปลาเพื่อนๆ ทุกคนที่มาส่ง เขาไม่ได้บอกใครมากนัก ก็จะมีแต่ณัฐพงษ์ กฤติกร และรฐา ที่ทราบเรื่องการเดินทาง ไม่เช่นนั้นแล้วก็คงหอบกันมาตอนดึกดื่นให้ต้องลำบาก ชายหนุ่มหยุดยืนหน้าภามิน เธอยิ้มน้อยๆ พยักหน้าให้เขา คนตัวสูงกว่าก้มลงมารวบหญิงสาวเข้าอ้อมกอดเพียงครู่ ก่อนยืดตัวตรง

    “ห้ามทำงานวันอาทิตย์ ไม่อ่านนิยายจนดึก อย่าอ่านการ์ตูนจนโต้รุ่ง กินข้าวให้ครบทุกมื้อ อย่ากินอาหารแช่แข็งบ่อย”

    “โอ๊ยยย” เธอลากเสียงยาว “ทราบแล้วค่า ไปเลยไป๊ สั่งจริง”

    “ไหล่นี้อย่าใคร้มา เกาะเอาะเอาะเอาะออด หมื่อนี้อย่าให่ใคร้มาจับอับอับอับอับ” จตุรวัชรร้องใส่ลูกคอได้เหมือนคนโดนบีบคอเสียมากกว่า

    ภามินถอนหายใจยาว ยิ้มหวาน และชี้นิ้วไปยังทางเข้าเกทโดยไม่เอ่ยอะไร 

    ชายหนุ่มเข้าไปกอดรวบเพื่อนๆ กอดพี่สะใภ้ มารดา คว้ากระเป๋าหนังสีแดงเบอร์กันดีใบใหญ่ขึ้นสะพายหลัง ก่อนพุ่งเข้าไปจุ๊บแก้มบิดาและหอมแก้มพี่ชายเสียฟอดใหญ่ จากนั้นจึงจ้ำหนีเข้าไปข้างในโดยไว

    ทิ้งครอบครัวอันเป็นที่รักเอาไว้เบื้องหลัง เพื่อเดินหน้าไปหาบางสิ่งที่จะเติมเต็มปรารถนาของตนเองได้



  • จตุรวัชรนั่งเอนหลังพิงเบาะสีเบจของเก้าอี้นวมตัวใหญ่ในบริเวณของเลาจน์ผู้โดยสารชั้นธุรกิจ หลังจากเมื่อครู่เดินไปหยิบของว่างและขนมมาเพื่อกินรองท้องและฆ่าเวลา เขามองหาชาไทยไปทั่วว่าจะมีบริการด้วยหรือไม่แต่ไม่พบ เขาจึงยิ่งดีใจที่ได้ดื่มเสียก่อนเข้ามาข้างในนี้ ไม่เช่นนั้นตลอดยี่สิบกว่าชั่วโมงของการเดินทาง เขาคงต้องลงแดงอยากดื่มชาไทยใส่นมเป็นแน่ 

    พนักงานฝ่ายบริการของสายการบินที่มีฐานอยู่ในตะวันออกกลางเดินอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าราวกับจะไม่มีวันเหนื่อย ทั้งที่ความจริงแล้วอาจจะล้าจนสายตัวแทบขาด ชายหนุ่มเคยได้ยินเพื่อนหลายคนกล่าวถึงอาชีพนี้ว่าเบื้องหน้าดูเป็นอาชีพที่รายได้สูง ได้เดินทางไปหลายๆ ที่ในโลก แต่ก็ต้องแลกมากับสุขภาพที่ย่ำแย่ สภาพจิตที่หดหู่เนื่องจากการใช้ชีวิตข้ามเส้นแบ่งเวลา ทำให้สุขนิสัยในการกินและนอนไม่ปกติ แต่หลายคนก็ยังรักและทำงานนี้ต่อไป จนกว่าจะถึงเวลาที่ตักตวงความฝันได้เต็มอิ่มหรือล้าจนเกินทน

    ก็เหมือนทุกอาชีพ ล้วนมีหน้าฉากและหลังฉากด้วยกันทั้งสิ้น

    ชายหนุ่มนั่งกินของว่างพลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ครอบครัวและเพื่อนพ้องต่างพากันมาส่งที่สนามบิน แต่จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ชอบมันสักเท่าไรนักเพราะบรรยากาศการจากลานั้นช่างหดหู่ เขาไม่อยากเห็นน้ำตาของแม่ ไม่อยากเห็นท่านมองส่งด้วยความเป็นห่วง เลยชิงทำอะไรให้ตลกทุกคนจะได้ส่งเขาด้วยรอยยิ้ม

    จตุรวัชรหวนนึกถึงเด็กน้อยที่นั่งรอขึ้นเครื่องบินไปเรียนพิเศษช่วงฤดูร้อนที่อังกฤษเป็นครั้งแรก ทั้งตื่นเต้น หวาดหวั่น กับเหตุการณ์ในอนาคตซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ใจกลับไม่เคยความปรากฏหวั่นไหวต่อทางที่เลือกเดินแล้ว

    ครั้งนี้ก็เช่นกัน

    แม้จะมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้อย่าง...ภามิน มาสั่นคลอนความเข้มแข็งในใจอยู่บ้าง ทว่านั่นเป็นสิ่งที่เขาเลือกเสี่ยง จตุรวัชรหนุ่มทั้งตั้งรับและตั้งใจทุกอย่างที่เป็นผลของมันอยู่แล้ว



    “แพร์ไม่โอเค” เธอเอ่ยทันที “แพร์ไม่โอเคกับสถานการณ์แบบนี้และการกระทำแบบนี้ของสี่ คนเป็นแฟนกันเขาไม่ควรปิดบังกันแบบนี้”

    “นั่นสิ สี่นิสัยไม่ดีเลย แล้วเรื่องของเราจะเอายังไงกันดี”

    ภามินมองเขาอยู่นานโดยไม่พูดอะไร 

    เธอปล่อยให้ความเงียบโรยตัวลงช้าๆ ราวกับหมอกที่ทำให้ความกระจ่างชัดในใจเลือนหายไป ยิ่งบรรยากาศภายนอกสงัดเท่าใด เสียงเร่งเร้า อัดอั้น จากภายในยิ่งแทบจะระเบิดออกมา

    “ทำไมสี่ถึงตั้งเงื่อนไขแบบนั้น”

    ชายหนุ่มหันไปมองอีกฝ่าย ทว่าเธอไม่ได้มองตอบ

    “ทำไมสี่ถึงตั้งเงื่อนไขว่าเราจะคบกันแค่สองเดือน แล้วก็จะบินไปทำงานต่อ ได้คิดบ้างไหมว่าหลังจากนั้นมันจะเป็นยังไง เลิกกัน เป็นเพื่อน หรือว่าเกลียดขี้หน้าจนไม่อยากอยู่ร่วมโลก”

    จตุรวัชรโคลงศีรษะไปมาราวใช้ความคิด “สี่ไม่เชื่อเรื่องความสัมพันธ์ระยะทางไกล”

    “อะไรนะ” ภามินถามย้ำ

    “สี่ไม่เชื่อว่าคู่รักที่อยู่ห่างกันมันจะไปรอด มันเคยมี เคยเกิดขึ้นมา แล้วก็จบลงก่อนที่สี่จะรู้ตัวเสียหลายครั้ง สี่ถึงไม่เชื่อว่ามันจะดำเนินได้ด้วยดี”

    “พูดเหมือนเคยบาดเจ็บมา” เธอหรี่ตามอง “แต่สี่ไม่ใช่คนที่จะมาอ่อนแอหรือหวั่นไหวกับเรื่องแบบนี้ไม่ใช่หรือไง”

    “ขนาดเทพเจ้ายังมีตำนาน รัก โลภ โกรธ หลง ประสาอะไรกับคนธรรมดาอย่างสี่” เขาถอนใจ “ที่สี่พูดอย่างนั้น ที่ตั้งเงื่อนไข เพราะไม่อยากดึงคุณแพร์ให้ต้องมาอยู่ในสภาพแบบที่สี่เคยเจอมา มันแย่นะ”

    “แล้วรู้ได้ยังไงว่าแพร์จะต้องแย่แบบนั้นด้วย” ภามินแย้งด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม “สี่ดูถูกกันมากเกินไป แพร์ไม่ใช่เด็กน้อยที่จะมานั่งคร่ำครวญเพราะแฟนอยู่ไกล ไม่มีคนพาไปเที่ยวไปกินข้าวไปดูหนัง นี่ ดูสภาพจริงซะบ้าง แทบไม่ได้เจอหน้ากันอยู่แล้ว แพร์ทำงานโงหัวไม่ขึ้น แทบไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน แค่สี่ไปนิวยอร์กไม่ได้ทำให้อะไรมันแย่ลงนักหรอก”

    เขามองอีกฝ่าย เลิกคิ้วด้วยความสงสัย “คุณแพร์หมายความว่ายังไง”

    “ก็เป็นเหมือนเดิมแหละ” เธอสรุปด้วยความรวดเร็ว “สี่ไปทำงานนานไหม”

    “หลายเดือน”

    “บ้านช่องคิดจะกลับไหม”

    “กลับสิ”

    “ก็แค่นั้น” หญิงสาวยักไหล่ “ไว้กลับมาก็ค่อยเจอกัน ระหว่างนั้นก็ต่างคนต่างพยายามให้มันรอดก็แล้วกัน แพร์ทำงานแพร์ไป สี่ทำงานของสี่ไป เรื่องของเราก็เหมือนเดิม แค่ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่น ไม่ได้แปลว่าจะไม่ได้คุยกันนี่ คนสมัยก่อนอยู่คนละซีกโลกยังเขียนจดหมายหากันได้ ถึงรอเป็นเดือนก็เถอะ นี่ส่งปั๊บได้ข้อความทันที มันไม่ลำบากนักหรอก”

    “ขอบคุณฮะ ขอบคุณจริงๆ” จตุรวัชรยิ้มกว้าง “นี่...”

    “อะไร” เธอถามเสียงห้วน

    “ดีใจ”

    “รู้แล้ว ออกที่หน้าหมดแล้ว”

    “ความดีใจหรือสิวผด...” เขามุ่นคิ้ว

    “นั่นแหละ” อีกฝ่ายยักไหล่

    “ขอกอดที”

    ภามินเบิกตากว้าง ทำหน้าคล้ายอยากจะหัวเราะใส่เสียเหลือเกิน “ต้องขอด้วย?” เธอถามเสียงสูง

    “แหม งั้นดีเลย” 

    จตุรวัชรโผนจากอีกฝั่งของโซฟาไปคว้าตัวอีกฝ่ายได้ในทันที เขาได้ยินเสียงเธอร้อง ‘เฮ้ย’ พลางเอาหัวโขกเขาเบาๆ แสดงอาการต่อต้าน

    “อะไร สี่ อะไร หยุดเลย”

    “เอ้า ก็ถามว่า ต้องขอด้วย แปลว่าเรื่องแบบนี้ไม่ต้องขอก็ได้ใช่ไหมล่า สี่รู้ สี่ฉลาด”

    “หมายถึงว่าจะขอทำไมเล่า” เธอพูดเสร็จก็นิ่งไปเพราะรู้ว่าข้อแก้ตัวของตนเองนั้นความหมายยังเข้าข้างอีกฝ่ายอยู่ “หมายถึงว่า ยังกล้าขอเนาะ”

    “กล้าสิ สี่เป็นคนดี เข้าตามตรอก...”

    “ออกทางตะปู”

    “สี่เป็นคนนะไม่ใช่คุณไสยฯ แหม แม่คุณ ไอเดียดี ไอเดียบรรเจิด”​ ชายหนุ่มแค่นเสียง

    ทว่าก็ยังไม่ปล่อยแฟนออกจากอ้อมแขนอยู่ดี

    เขากอดเธอเอาไว้ ไม่แน่นไป ไม่หลวมจนหลุดมือ พลางคิดว่าความสัมพันธ์ที่ทั้งสองต่างต้องการก็คงจะเป็นเช่นนี้ มีพื้นที่ของกันและกัน และมีบริเวณที่สามารถอยู่ร่วมกันได้

    นี่มันดีกว่าที่คิด

    “คุณแพร์ สี่รักงาน สี่อยากทำงานตามแพลนให้สำเร็จ ถึงสี่จะไม่รู้ว่าไอ้ที่กำลังจะทำเนี่ยมันจะเกินตัวรึเปล่า แต่จากการประเมินแล้ว ถ้าสี่อยู่เฉยๆ มันจะคือเรื่องที่เกินตัวสุดๆ เว้นแต่สี่พยายาม สี่อาจจะทำให้มันสำเร็จได้” เขาเล่า...แม้จะยังไม่ครบทั้งหมด แต่เขาก็อยากให้เธอรู้ไว้ “ขณะเดียวกัน สี่ก็ห่วงคุณแพร์ สี่รักงาน แล้วก็ห่วงแฟนด้วย หนีบไปด้วยได้ก็อยากหนีบไป แต่คือแฟนสี่รักงานไง ไม่ใช่สวยไปวันๆ โพสต์อินสตาแกรมเช็คยอดไลก์ ใช้ชีวิตด้วยความพอใจของคนอื่น แฟนสี่ชีวิตมีสาระมากกว่านั้น แล้วสี่ก็พรากคุณแพร์มาจากมันไม่ได้ด้วย”

    “โถ...คิดหรือว่าจะยอม” คนโดนกอดทำเสียงสงสาร

    “แน่สิ เพราะรู้นี่ไง ถึงได้ตัดสินใจเรื่องเงื่อนไขเวลา” ชายหนุ่มยักไหล่  ก่อนเอนศีรษะพิงกับอีกฝ่าย “ก็อยากให้คุณแพร์มีสิทธิ์เลือกไง ถ้าโอเคก็ไปต่อ ถ้าไม่โอเคก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ถึงสี่จะไม่อยากได้ข้อหลังก็เถอะ”

     เธอหัวเราะ

    “เห็นไหมคุณแพร์ สี่ไม่ใช่คนดีเลิศเลอมาจากไหนเลย สี่เห็นแก่ตัว ผู้ชายดีๆ คูลๆ ที่ไหนเขาคิดอยากจะกักคนรักไว้กับความไม่มั่นคงของความสัมพันธ์กัน จริงปะ”

    “ก็ทำให้มั่นคงซะสิ ช่วยกัน”

    จตุรวัชรเอนตัวออก มองผู้ที่ยื่นข้อเสนอที่เขาไม่อยากจะปฏิเสธ...ด้วยรอยยิ้มที่เธอวาดไว้บนไว้หน้า “ดีใจ”

    “ทำไม”

    “ไม่ได้ดีใจที่คุณแพร์ไม่โกรธแล้ว”

    “ยังโกรธ แต่ยังไม่บันดาลโทสะ” ภามินตอบพร้อมถอนใจแรง

    “งั้นสี่ขอโทร.จองสาย 191 แป๊บนะ เกิดหัวฟาดพื้นเลือดนองในห้องปิดตายตำรวจจะได้รับสาย เห็นว่ารับสายยากอยู่” เธอฟาดเขาดังเพียะจนสามารถร้องโอยออกมาได้โดยไม่ต้องเสแสร้ง “แล้วไม่อยากรู้เหรอว่าสี่ดีใจอะไร”

    ยังไม่ทันที่เธอจะได้ปฏิเสธเขาก็พูดขึ้นมาก่อน

    “ที่สี่ดีใจ เพราะสี่ได้รู้ว่าตัวเองมีค่าพอที่คุณแพร์จะเสี่ยงลำบากไปด้วยกันต่างหาก”

    หญิงสาวถอยออกมาจากอ้อมกอด เอนหลังพิงโซฟาพลางทำท่าพินิจพิเคราะห์ “คือ สี่ก็ต้องเข้าใจนะ ของแปลกแบบนี้ปล่อยหลุดมือไปคงหาใหม่ลำบากหน่อย”

    “อ้าว”  เขาเบ้ปาก

    “เอาน่า ระหว่างไม่อยู่ไม่ไปมองใครหรอก งานยุ่งจะตายชัก ถ้ามีเวลาไปส่องหนุ่มอื่นเอาเวลาไปนอนดีกว่า ไม่ใช่เจ้าหน้าที่การรถไฟ สับรางไม่เก่ง”

    “แล้วหนุ่มสองมิติล่ะ” จตุรวัชรหมายถึงบรรดาหนุ่มหล่อที่อยู่บนกระดาษ...ทั้งนิยาย การ์ตูนเล่ม และการ์ตูนฉายโทรทัศน์

    “หนุ่มสองมิติแพร์มีเยอะเป็นกุรุสพอที่จะแบ่งให้สี่เชยชมด้วยเลยนะ” เธอยื่นข้อเสนอที่แสนใจกว้าง “แต่สามมิติ มีไว้คนเดียวก็พอ แค่นี้ก็ตึงมือเกินรับแล้ว”

    “สี่คิดว่าสี่ควรดีใจนะ แต่พอคิดอีกที เอ๊ะ เราควรดีใจหรือเปล่านะ”

    “เรื่องของสี่ละอันนี้”

    ทั้งสองคนหัวเราะ เสียงนั้นระคนไปด้วยความสุข ความโล่งอก ขณะเดียวกันก็ตอกย้ำถึงความยากลำบากของเส้นทางที่เลือกเดินไปด้วยกัน


  • “คุณสี่คะ”

    จตุรวัชรเงยหน้าขึ้นเพื่อยิ้มตอบเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินของสายการบิน ด้วยเหตุที่เขาไปมาต่างประเทศบ่อยครั้งทำให้คุ้นเคยกับผู้ปฏิบัติงานในส่วนนี้อยู่บ้าง

    “สวัสดีครับคุณแยม สบายดีนะครับ”

    “สบายดีค่ะ” เธอยิ้มอ่อนหวานอย่างที่คนทำงานบริการพึงมี “แยมจะมาแจ้งให้ทราบว่า ที่นั่งของคุณสี่ได้รับการอัพเกรดให้เป็นเฟิร์สคลาสนะคะ”

    “ครับ?” เขาขมวดคิ้ว “ทำไมล่ะครับ”

    “คือ มีสายจากทางดูไบสั่งมาน่ะค่ะ แยมเลยมาเรียนให้คุณสี่ทราบก่อน” เธอเปิดแฟ้มปกหนังขนาดเล็ก ด้านในมีกระดาษโน้ตเหน็บอยู่ “มีโนทิซให้คุณสี่ เป็นข้อความจากทางนั้นด้วย แยมขอตัวก่อนนะคะ”

    ผู้ที่เพิ่งได้รับโน้ตแผ่นเล็กกระแทกลมหายใจแรงเมื่อเห็นข้อความภาษาอังกฤษที่ปรากฏบนแผ่นกระดาษ 


    เราจัดการให้แล้ว สี่เดินทางให้สบายใจ

    เครื่องลงจะส่งคนไปรับ


    F4


    ชายหนุ่มไม่ได้เครียดเรื่องที่ชีคเฟาว์ซีรู้เที่ยวบินของเขา และไม่ได้หนักใจที่ปรับที่นั่งให้เป็นผู้โดยสารชั้นหนึ่ง และไม่ได้ใส่ใจที่อีกฝ่ายจะมาเจอหน้าเมื่อต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบ เขาเครียดเรื่อง ‘รหัสลับ’ ที่เจ้าตัวภูมิใจหนักหนาต่างหาก ว่า ‘เฟาว์ซี’ = F4 ซึ่งพ้องกับนามแฝง J4 และมีเสียงใกล้เคียงกับชื่อเล่นของจตุรวัชร

    แต่ เอฟโฟร์ นั้นเป็นชื่อกลุ่มชายหนุ่มในการ์ตูนญี่ปุ่่น ต่อมากลายเป็นละครโทรทัศน์ไต้หวัน ซึ่งได้รับความนิยมล้นหลามจนกลายเป็นกลุ่มนักร้องจริงๆ ในภายหลัง

    ทุกครั้งที่อีกฝ่ายเขียนรหัสนี้...ภาพบอยแบนด์จากตะวันออกกลางก็พุ่งเข้ามาในหัวราวสายฟ้าฟาด

    ต้องอธิบายให้เปลี่ยนรหัสแล้วจริงๆ ล่ะนะ

    จตุรวัชรตบซิปหน้าของกระเป๋าเป้หนังเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือซึ่งสั่นอยู่ครู่และหยุดไป เมื่อเปิดหน้าจึงพบว่ามีข้อความจากภามินเข้ามา


    PEARIE Dog                                                                 J4

    สี่! คุณส้มเลขาคุณตรัย 

    โทร.มาบอกว่าท่านชีคจะอัพเกรดที่นั่งให้สี่

    เลยโทร.ถามคุณตรัยว่าบอกเที่ยวบินได้ไหม คุณตรัยก็อนุญาต

    นี่ทางนั้นมาแจ้งยังงงง

    แจ้งตะกี้ ว่องไวมาก

    ชีคน่ารักเนอะ

    เคยเห็นหน้าแล้วเหรอ

    นิสัยสิ นิสัย ห่วงใยสี่ด้วย น่ารัก

    ฝากเอนจอยเฟิร์สคลาสแทนแพร์ด้วยนะ

    ไปละ จุ๊บ ดูแลตัวเองนะ อย่าไปแกล้งใครนะ

    เป็นคนดีของสังคมเป็นตัวแทนของประเทศชาตินะ

    ไม่ได้ไปแข่งโอลิมปิก


    จตุรวัชรทอดถอนใจ 

    จะบอกว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องได้ว่องไวปานกามนิตหนุ่มก็ไม่ใช่ ควรจะบอกว่า ว่องไวปานกุมารเลี้ยงของกามนิตหนุ่ม น่าจะเข้าทีกว่า เพราะเธอเหนือชั้นกว่านั้นเยอะ 

    แต่ภามินยังไม่รู้อยู่อีกเรื่องหนึ่งและเขาไม่คิดบอก...อย่างน้อยก็ในเร็วๆ นี้

    อันที่จริง...จตุรวัชรก็คิดอยู่แล้วว่าหากเธอรู้เรื่องเงื่อนไขเวลาที่คบกันคงจะโกรธ แล้วการที่เขาบอกไปตามตรงเรื่องที่ไม่เชื่อมั่นในความสัมพันธ์ระยะทางไกล จะทำให้คนที่มั่นใจในตนเองอย่างภามินรู้สึกว่าตนไม่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ หรือมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ และผลที่ตามมาคือเธอจะทำให้ทุกอย่าง ‘เป็นไปได้’ ด้วยความพยายาม

    และเขาจะตอบสนองความตั้งใจนั้นเป็นอย่างดี

    จตุรวัชรไม่ได้เดินหมากนี้เพื่อที่จะให้ตัวเองชนะรวบทั้งกระดาน แต่เพราะความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่านั้น เขาจึงหาทางที่ตนเองและอีกฝ่ายจะได้เดินต่อไปได้นานขึ้น...แม้นิดหน่อยก็ยังดี

    แต่ถ้าจะให้ภามินคล้อยตามด้วยต้องมีแรงจูงใจ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาแค่หยอดลงไปนิดๆ หน่อยๆ และเขาทำสำเร็จเสียด้วย 

    นี่จึงเป็นการเดินทางไปไกลที่ใจรู้สึกอบอุ่นกว่าครั้งใดที่เคยผ่านมา

    แล้วจู่ๆ โทรศัพท์ก็เตือนข้อความเข้าอีกรอบหนึ่ง


    อะ เพลงให้กำลังใจ


    ชายหนุ่มกดดูวิดีโอที่อีกฝ่ายส่งมาให้ และพบว่าเป็นเพลง ไอ โด้นท์ วอนนา มิส เอ ธิงค์* ของวง แอโรสมิธ ซึ่งประกอบภาพยนตร์ดังอย่าง อาร์มาเกดดอน*


    เดี๋ยว คุณแพร์ สี่ไปทำงาน ไม่ได้ไประเบิดดาวหาง

    เอ้า งั้นนี่ก็ได้


    เขากดดูคลิปที่สองในทันที

    คราวนี้เป็นเพลง แดร์ ยู’ล บี* จากเรื่อง เพิร์ล ฮาร์เบอร์*


    คือเครื่องยังไม่ทันจะขึ้น 

    แช่งให้ทิ้งดิ่งพุ่งหลาวเป็นยุทธการกามิกาเซ่เหรอ

    บ้า ฟังเพลงสิ ฟังซะ ใครให้คิดถึงหนัง

    ไปดีมาดีนะ รอเจอนะ


    ทำไมจะไม่รู้ว่าเนื้อหาแต่ละเพลงเป็นอย่างไร ก็แค่แหย่ไปงั้น เขาอมยิ้ม ผ่อนลมหายใจออกยาวและนั่งรอเวลาด้วยใจที่สงบกว่าเมื่อครู่

    จตุรวัชรนั่งเอนหลังอยู่ครู่ใหญ่ก็ได้เวลาต้องขึ้นเครื่องบินเพื่อเดินทาง เขาหยิบกระเป๋าเป้หนังสีแดงขึ้นสะพายหลัง เสียบหูฟังไอพอด และเดินเข้าไปยังประตูที่เปิดออก 

    สู่จุดที่ไม่อาจจะหันหลังกลับได้อีกต่อไป


    จบบทที่ ๑๔


    John F. Kennedy International Airport สนามบินนานาชาติ จอห์น เอฟ. เคเนดี้ ตั้งอยู่ในเขตควีนส์ของเมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

    I Don’t Wanna Miss A Thing ‘Aerosmith’, Nine Lives, Columbia/Hollywood/Epic, 1997

    Armageddon กำกับโดย ไมเคิล เบย์ นำแสดงโดย บรูซ บิลลิส, เบน เอฟเฟล็กต์

    There You’ll Be ‘Faith Hill’, Hollywood/Warner Bros./Nashville, 2000

    Pearl Habor กำกับโดย ไมเคิลเบย์ นำแสดงโดย เบน เอฟเฟล็กต์, จอร์ช ฮาร์ทเนท, เคท เบคคินเซล

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in