เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
A day in AmericaAnn Saengsuri
14: คนตัวเล็ก ในป่าใหญ่
  • ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนในช่วงที่เศรษฐกิจฝืดเคือง ในเมื่อไม่มีเงินนั่งเครื่องบินไปเที่ยวต่างรัฐ ฉันจึงเริ่มมองหาอะไรใหม่ๆทำแทน ตั้งแต่มาอยู่ที่อเมริกาเกือบสองปี ยังไม่มีโอกาสได้ไปตั้งแคมป์นอนเต็นท์เลย ฉันชอบไปตั้งแคมป์และเดินป่ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาใหญ่เป็นสถานที่โปรดที่พวกเราไปกันแทบทุกปี เส้นทางผากล้วยไม้ไปน้ำตกเหวสุวัตนี่ฉันล้มลุกคลุกคลาน ตกห้วย หนามตำ ทากกระหน่ำกัดไม่รู้เท่าไหร่ การผจญภัยเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ ได้หล่อหลอมให้ฉันรักการเดินป่าขึ้นมาเรื่อยๆ

  • จะรออะไรละ ลองลุยกันสักตั้งว่าป่าที่อเมริกาจะน่าเดินมั้ย ฉันเริ่มหาอุทยานแห่งชาติที่สามารถกางเต็นท์ และเดินป่าได้ ฉันไปอาศัยเปิดหนังสืออุทยานแห่งชาติของแคลิฟอร์เนียที่ร้านหนังสือ  รัฐแคลิฟอเนียร์เป็นสุดยอดแหล่งรวมอุทยานแห่งชาติแนวป่าเขาอยู่แล้ว แนวเทือกเขาเซียร์ราเนวาดา (Sierra Nevada) ที่พาดผ่านระหว่างรัฐแคลิฟอร์เนียกับเนวาดาทำให้เกิดเขตรักษาป่าหลายแห่ง

    ไม่ว่าจะเป็นป่าโยสิมิติ (Yosemite) ที่มีทั้งน้ำตก เส้นทางเดินป่า ปีนเขา และหน้าผา El Capitan อันโด่งดัง ป่าที่น่าสนใจอีกแห่งนึงคือ ป่าต้นสนยักษ์ (Giant Sequoia) ที่มีต้นไม้ยักษ์ขึ้นอยู่มากมายทั้งป่า ไหนจะป่าเรดวู๊ด (Red wood) ที่เป็นแหล่งรวมของต้นสนที่สูงชะลูดหลายร้อยฟุตบนชายฝั่งทะเลแปซิฟิกอีก

    ฉันตัดสินใจไปเที่ยวป่าต้นไม้ยักษ์ (Sequoia and King Canyon National Park) เพราะเป็นอุทยานที่น่าสนใจที่สุด มีครบทั้งต้นไม้ยักษ์ น้ำตก และหุบผาแคนย่อน การเดินทางใกล้ที่สุดจากแอลเอ ฉันเลือกวันเดินทางที่ไม่มีเรียนและไม่ทำงาน ไปขอยืมถุงนอนจากเพื่อนที่ชอบเดินป่ามาสองถุง พร้อมเต็นท์อีกหนึ่งหลัง ฉันไม่ได้ศึกษาหาข้อมูลอะไรมากมาย แค่ดูแผนที่ว่าต้องขับรถไปเส้นไหนเท่านั้น ที่เหลือไปลุยเอาดาบหน้าตามสไตล์เดิมของฉัน

    ผู้ร่วมเดินทางทริปนี้คือน้านิด (น้องชายคนเล็กสุดของน้ากลาง) น้านิดเดินทางมาจากเมืองไทยเพื่อมาเยี่ยมน้ากลางและท่องเที่ยวอเมริกาประมาณ 2-3 เดือน ฉันเลยได้เพื่อนขับรถเที่ยวโรดทริปรอบๆแคลิฟอร์เนียโดยบังเอิญ ฉันเสนอแผนเที่ยวพร้อมโชว์รูปต้นสนยักษ์ให้น้านิดดู น้านิดตอบตกลงทันที โดยไม่ต้องคิดนานเลย 


  • สุดสายตา แหงนหน้ามองยอด Giant Sequoia, CA

    สองน้าหลานพากันตื่นเต้นกับทริปนี้มาก พวกเราไม่รอช้า รีบโทรไปขอยืมรถ SUV คันใหญ่ของน้ากลาง ฉันไม่ได้บอกอะไรมาก แค่บอกว่าจะไปผจญภัยบนภูเขาสักสองวันกับน้านิด ไม่ต้องเป็นห่วงนะ น้ากลางใจดีมาก ไม่เคยปฏิเสธแถมสนับสนุนให้ออกไปเที่ยวซะงั้น พวกเราออกเดินทางทันทีหลังจากน้ากลางอนุญาต

    น้านิดเป็นคอกาแฟ Starbucks และติดกาแฟมาก เมืองเล็กๆก็ยังต้องอุตส่าตระเวณไปหากาแฟพรีเมี่ยมดื่ม ปรากฏว่าหลงคะ แถมกาแฟก็ไม่ได้กิน ไม่บ่นกันมันเป็นรสชาติของการเดินทาง โรดทริปครั้งนี้ พวกเราเน้นขับไปบนถนนเส้นที่เลี่ยงทางหลวง (back roads) เลยทำให้หลงทางและออกนอกเส้นทางกันบ่อยมาก ตอนนั้น iPhone ยังไม่ออกมาสู่ตลาด พวกเราก็อาศัยอ่านป้าย ดูแผนที่และถามชาวบ้านแทน

    กว่าจะไปถึงอุทยานก็บ่ายคล้อย อากาศบนเขาเย็นสบายมาก หิมะยังมีอยู่ประปรายให้เห็นบนพื้นดิน แว๊บแรกที่ไปถึงอุทยาน ฉันจอดรถแล้วลงไปยืนอยู่กลางถนน หมุนตัวเองไป 360 องศาเพื่อดื่มด่ำกับความยิ่งใหญ่ที่ธรรมชาติสร้างขึ้น ตัวฉันเล็กมากเมื่อเทียบกับต้นสนยักษ์อายุหลายพันปีเหล่านี้ ฉันนึกว่าตัวเองหลงไปอยู่ในโลกแฟนตาซีที่มีแต่ต้นไม้ยักษ์และสัตว์ตัวใหญ่ๆเข้าแล้ว ทุกทิศที่มองไป มีแต่ต้นไม้ใหญ่รายรอบตัว ช่างน่าอัศจรรย์ใจจริงๆที่สถานที่แบบนี้ยังมีหลงเหลืออยู่ในโลก


  • พวกเราไม่รอช้ารีบไปชมต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกทันที นายพลเชอร์แมน (General Sherman) เป็นชื่อเรียกของต้นนี้ ฉันแหงนมองดูยอดไม้ มันดูสูงใหญ่มากแต่ยังไม่ได้สูงที่สุด เส้นผ่าศูนย์กลางลำต้นที่ฐานใหญ่มากประมาณ 11 เมตร คงต้องใช้คนสิบกว่าคนมายืนโอบกันเลยทีเดียว นายพลเชอร์แมนได้แชมป์เพราะมีมวลเนื้อไม้มากที่สุด ส่วนอายุประมาณ 2000 กว่าปี มีป้ายบอกไว้ว่าต้นไม้ต้นนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่อายุยืนที่สุดในโลก (The longest living thing on earth) 

    ในป่ามีต้นที่ล้มไปแล้วนับวงอายุได้ประมาณ 3000 กว่าปี นักวิจัยสันนิษฐานว่าในป่าแห่งนี้อาจจะมีต้นสนที่อายุประมาณ 3000-4000 ปีหลงเหลืออยู่ก็ได้ บางทีต้นที่อายุมากที่สุด อาจจะไม่ใช่ต้นที่ใหญ่ที่สุดก็ได้ 

    The longest living thing on earth, General Sherman, CA

  • เราสองคนน้าหลานตัดสินใจเดินเท้าเข้าไปในเขตป่าลึก หลังจากเจ้าหน้าที่บอกว่า เดินไปเรื่อยๆจะเจอต้นไม้ยักษ์อยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ เรียกว่า The House น้านิดอยากเข้าไปถ่ายรูป ฉันอยากผจญภัย เราเลยตกลงเดินเข้าไปทั้งๆที่อีกไม่ถึงสองชั่วโมงฟ้าก็จะมืดแล้ว

    ระหว่างทางไปฉันเจอน้ำตกเล็กๆหลายสาย บางสายไหลผ่านทางเดินให้ต้องกระโดดข้ามกันเลย น้ำตกส่วนใหญ่เกิดจากหิมะที่ละลายแล้วไหลรวมกันลงมา ฉันเพลิดเพลินกับบรรยากาศของป่าใหญ่แห่งนี้มาก อากาศบนเขาที่นี่ยังเย็นมาก หิมะบนพื้นดินยังไม่ละลายเลย เดินไปได้ไม่นานรองเท้าคอนเวิสต์ของฉันเริ่มเปียกน้ำแล้วสิ 

    ระหว่างเดินไปต้องระวังหมีด้วย ที่นี่เป็นถิ่นของหมีดำ (Black bear) ฉันภาวนาอย่าให้เจอเลย ไม่รู้ต้องทำยังไงถ้าเจอขึ้นมา ตามตำราบอกให้แกล้งตาย แต่ป้ายที่นี่บอกว่าให้ส่งเสียงดังๆ หมีจะเลี่ยงเราไปเอง โชคดีที่ไม่เจอหมีเลย เจอแต่นกส่งเสียงร้องเป็นเพื่อนไปตลอดทาง

    พวกเราเดินมาจนถึงกลุ่มต้นไม้ยักษ์ที่ขึ้นรวมกันหนาแน่น มีทั้งต้นใหญ่ๆอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม บ้างก็กระจายกันสามสี่ต้นขนานกัน หลายต้นที่โดนไฟป่าเผาทำลายเปลือกไม้บางส่วนไป แต่ก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ ระหว่างทางเดินมีต้นยักษ์ๆขึ้นอยู่หลายต้นให้เราต้องปีนรากข้ามไป บางต้นที่ล้มลงไปทางอุทยานก็ทำให้เป็นทางเดินข้ามไปได้ ฉันเก็บลูกสนของต้นไม้ยักษ์ขึ้นมาดู​ ลูกมันเล็กนิดเดียวเอง ไม่น่าเชื่อนะว่าเมล็ดเล็กๆขนาดไม่กี่มิล สามารถงอกเป็นต้นไม้ใหญ่ เติบโตผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายสิบศตวรรษ

    The house, Giant Sequoia NP, CA

  • เผลอแป๊บเดียวฟ้าใกล้มืดแล้ว อากาศเย็นลงมาก เสื้อฮูดอาเบอร์ครอมบี้ (Abercrombie) ที่น้ากลางซื้อให้เป็นของขวัญปีใหม่แทบจะเอาไม่อยู่แล้วสิ พวกเราเลยรีบสาวเท้าเดินกลับไปที่รถอย่างรวดเร็ว น้านิดชวนขับรถหาจุดชมพระอาทิตย์ตก ต้นไม้สูงขึ้นหนาแน่นมาก เห็นแต่แสงอาทิตย์อัสดงลอดดงไม้ลงมา พวกเราเลยเปลี่ยนไปหาที่กางเต็นท์แทน 

    กว่าจะไปถึงจุดกางเต็นท์ฟ้ามืดลงพอดี พวกเราไม่มีไฟฉายติดตัวมาด้วย ทำให้การกางเต็นท์ยากไปอีกเท่าตัว ใจฉันไม่อยากนอนในเต็นท์อยู่แล้ว เพราะกลัวหมีจะบุก เลยลองชวนน้านิดนอนในรถดู

    " น้านิด นอนในรถแทนมั้ยคืนนี้ แอนกลัวหมีนะ " ฉันเสนอพร้อมอ้างเรื่องหมี

    " จะไหวเหรอนอนในรถ แต่ถ้ากลัวกับขี้เกียจกางเต็นท์ นอนกันในรถก็ได้ " น้านิดเออออไปด้วย

    " เหล็กหนาๆคงจะปลอดภัยกว่าผ้าใบบางๆเยอะ " ฉันย้ำว่าในรถยังไงก็ดีกว่าในเต็นท์แน่นอน

    พวกเราเลยตกลงกันว่าคืนนี้จะนอนในรถ ตัดสินใจได้ก็จัดแจงดึงเบาะหลังสองอันออก ผลักพนักพิงลงราบก็จัดเป็นที่นอนสำหรับสองคนได้ทันที พื้นอาจจะแข็งหน่อยเพราะไม่ได้เอาเบาะรองนอนมา แต่พอนอนได้ พวกเรานั่งกินอาหารแห้งที่เตรียมมาแบบง่ายๆ เสร็จแล้วก็เอาอาหาร อุปกรณ์อาบน้ำ และเครื่องหอมประทินผิวต่างๆไปเก็บที่ถังหมี ซึ่งเป็นถังเหล็กที่ทางอุทยานเตรียมไว้ให้ที่จุดกางเต็นท์ สบายใจหายห่วง คิดว่าคงนอนหลับเป็นตายแน่คืนนี้ เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องหมีมารบกวน

    Giant Sequoia โดนไฟป่าเผาเปลือกและต้นบางส่วน

  • ตอนหัวค่ำก็นอนดูพระจันทร์ผ่านยอดไม้ บรรยากาศช่างดีน่านอนมาก ตกดึกอากาศเย็นลงเรื่อยๆ ฉันดูอุณหภูมิจากเทอร์โมมิเตอร์ในรถเริ่มต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียสแล้ว ถุงนอนที่ยืมมาเริ่มไม่ช่วยเลย ฉันหลับๆตื่นๆทั้งคืน อากาศหนาวมากจนทำให้นอนแทบไม่หลับ อากาศในรถเย็นเหมือนในตู้เย็นเลย 

    ฉันลืมไปเสียสนิทว่ารถคือเหล็ก ไม่ได้มีตัวเก็บความร้อน กันความหนาวหนาๆ ฉันไม่ได้ลุกมาสตาร์ทรถเปิดฮีทเตอร์ เพราะกล้วนอนดมแก๊สคาร์บอนมอนน็อกไซด์แล้วหลับไม่ตื่นไปเลย พวกเราตัดสินใจผิดพลาดมากที่ไม่กางเต็นท์นอน แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกว่านอนในเต็นท์จะช่วยได้มากแค่ไหนกับอากาศหนาวขนาดนี้ ฉันได้มาหลับจริงๆตอนเช้าแล้ว เลยนอนซะจนเก้าโมงเช้าให้แดดส่องหน้าเลย 

    Black Beauty พาเราไปทุกที่โดยไม่งอแง

  • เป้าหมายของวันที่สองคือ ขับรถไปตามหา นายพลแกร๊นท์ (General Grant) ต้นไม้ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ตั้งอยู่ที่ Kings Canyon National Park ที่นี่มีเส้นทางเดินป่าสายสั้นๆให้เดินได้แบบสบายๆ มีไม้ล้มที่ตรงกลางเป็นรูกลวงให้เดินลอดได้ด้วย ฉันเดินไปดูตอของต้นไม้ยักษ์ที่โดนตัดก่อนที่ป่าแห่งนี้จะเป็นอุทยานแห่งชาติ รู้สึกเศร้าที่เห็นต้นไม้อายุหลายพันปี ผ่านหิมะผ่านไฟป่ามาอย่างโชกโชน แต่กลับโดนตัดโค่นลงไปด้วยน้ำมือมนุษย์ภายในเวลาไม่กี่วัน 

    พวกเราออกจากเขตป่าใหญ่ ขับรถไปอีกฝั่งนึงของ Kings Canyon หุบเขาที่นี่ลึกกว่าแกรนคอนย่อน ฉันตั้งความหวังไว้ว่าจะไปเดินไฮกิ้งที่หุบเขาแคนย่อน ภูเขาหินแกรนิตยอดตัด และดูทะเลสาบให้สมใจ พวกเราขับผ่านภูเขาและหุบเขาไปหลายลูก แวะจุดชมวิวก็เยอะ สุดท้ายไปเจอถนนปิดมีเหล็กกั้นไม่ให้ไปต่อ เพราะหิมะยังตกหนักในบางจุด พวกเราเลยอดไปผจญภัยอีกฝั่งนึงเลย ฉันไม่ซีเรียสอะไรมาก โอกาสหน้ายังมี อากาศดีกว่านี้แล้วจะกลับมาเยือนใหม่ พวกเรากลับรถ แล้วตัดสินใจกลับแอลเอกัน

    Giant Sequoia, Kings Canyon NP, CA

  • ขากลับเราก็ยังหลีกเลี่ยงการใช้ถนนทางหลวงเหมือนเดิม เราขับถนนสายเล็กๆจาก Kings Canyon ลงมาเรื่อยๆ ฤดูใบไม้ผลิเป็นถดูกาลที่สวยงามมาก ต้นไม้แตกยอดสีเขียวอ่อน ดอกไม้ป่าหลากสีเริ่มบานสะพรั่ง อย่างกับมีพรมสีพาสเทลเหลืองๆม่วงๆแซมไปทั่วทั้งป่า สองข้างทางยังมีห้วยเล็กๆ น้ำใสๆไหลเอื่อยๆให้เห็นตลอดเส้นทาง มีบ้านสไตล์เคบิน รั้วไม้เก่าๆ และม้ายืนเล็มหญ้าให้เห็นเป็นระยะๆ

    บรรยากาศแบบนี้ทำให้ฉันนึกถึงหนังสือเรื่องบ้านเล็กในป่าใหญ่ (Little house in the big woods) ที่ฉันชอบอ่านตอนเป็นเด็ก ฉันวิ่งเข้าออกห้องสมุดประชาชนไปยืมหนังสือชุดเรื่อง Little House ของ Laura Ingalls อ่านอยู่หลายสัปดาห์ทีเดียว ฉันยกให้เป็นหนังสือยอดวรรณกรรมที่เด็กๆควรอ่านมาก 

    น้านิดอาสาขับรถให้เพราะเส้นทางที่คดเคี้ยวลงจากเขาร้อยกว่ากิโล ฉันรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก ฉันฟังเพลงเบาๆ ชมวิวไปเรื่อยๆ เพลิดเพลินกับธรรมชาติรอบตัวมาก ใครที่มีโอกาสมาแคลิฟอร์เนียแนะนำให้ลองมาเที่ยวที่นี่ดู รับรองว่าจะหลงรักการเที่ยวภูเขาขึ้นมาแน่นอน

    พวกเราแวะเที่ยวเมือง Exeter เป็นเมืองเล็กๆที่เก๋ไก๋ทีเดียว ในเมืองมีภาพกราฟิติบนผนังของตึกเก่าๆบนถนนสายหลัก ภาพเขียนถ่ายทอดเรื่องราวในอดีตของเมืองนี้ตั้งแต่ยุคคนพื้่นเมืองล่าสัตว์ ยุคตื่นทองที่คนเดินทางหลั่งไหลมาทำงานเก็บผลไม้ ยุครถจักรไอน้ำ รถยนต์ยุคแรกๆสมัยที่ฟอร์ดเริ่มผลิตออกมาขาย และภาพสวนส้มที่มีให้เห็นมากมายในปัจจุบัน ฉันชอบบรรยากาศเมืองแบบ Wild west นะ ที่นี่มีร้านขายของที่ระลึกเก่าๆ และขายของแต่งบ้านแบบสไตล์คาวบอยตะวันตก ฉันไม่ได้สอยของที่ระลึกติดตัวมาในทริปนี้ เพราะกำลังทรัพย์ที่มีอยู่น้อยนิด

  • Overlooking mountains, Kings Canyon NP, CA

     พวกเรากลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยในตอนค่ำ น้ากลางคงโล่งอกที่เห็นพวกเรากลับมาเร็วกว่ากำหนด ฉันได้ประสบการณ์เรื่องการนอนแคมปิ้งที่อเมริกามาเต็มๆ อากาศหนาวแถมเตรียมตัวไม่พร้อม ทำให้ชีวิตการนอนเต็นท์ที่นี่ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าเลยทีเดียว ไหนจะสถานที่เที่ยวที่ปิดและการนอนแช่แข็งในรถทั้งคืนอีก

    ฉันขอน้านิดแก้ตัวทริปหน้า ฉันลงทุนซื้อถุงนอนอย่างดีพร้อมเต็นท์สี่ฤดูกาล พวกเราจะไปลุยหุบเขาแห่งความตายกันต่อ ห้ามพลาดตอนต่อไป มาลุ้นกันว่าฉันจะสามารถเอาตัวเองรอดจากการแคมปิ้งครั้งที่สองได้หรือไม่

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in