Let the bough break, let it come down crashing
Let the sun fade out to a dark sky
I can’t say I’d even notice it was absent
Cause I could live by the light in your eyes
*****
Chapter 1
“จริงๆ นะ…ฉันว่าฉันเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อนล่ะ”
นี่คือสิ่งที่โทมัส บาริสต้าลูกมือของเขาพูดออกมาหลังจากที่ลูกค้าคนเดียวในขณะนี้ได้เดินออกไปจากร้าน…มันเป็นคำสันนิษฐานที่เจ้าตัวกึ่งๆ เปล่งรัศมีความคิดออกมาได้สักพักแล้ว ยังดีที่อย่างน้อยเจ้าหนุ่มรุ่นน้องนี่ก็ยังมีสติพอจะรอให้คนที่เป็นหัวข้อประเด็นออกจากร้านไปเสียก่อนแล้วค่อยพูดออกมาดังๆ
มินโฮถอนหายใจอย่างหน่ายๆ…แต่ก็ไม่ได้เกินระดับความหน่ายใจปกติที่มีให้โทมัสแต่อย่างใด พูดแย้งเรียบๆ “เพ้อเจ้อน่า วันนึงๆ นายเจอคนเป็นสิบ…รู้ได้ไงหาว่านายจะไม่ได้จำผิดๆ มาเอง”
โทมัสนิ่วหน้ากับคำปราม เถียงโต้อีกนิดหน่อยว่าตนก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าเคยเจออีกฝ่ายอย่างแน่นอน แค่พูดเท่านั้นเองว่าหน้าดูคุ้นๆ…การบ่นที่คุณเจ้าของร้านไม่ได้ตั้งใจฟังแล้ว แค่พยักหน้าเออออไปด้วยเท่านั้นเอง
แต่ถึงเขาจะพูดปรามโทมัสเองแบบนั้นก็เถอะ…จะมีใครที่ไหนลืมคนหน้าตาหล่อน่ารักแบบนั้นได้ลงกันนะ…?
มินโฮคิดเสริมเองในหัวตอนที่เดินไปเช็ดโต๊ะของลูกค้าคนที่เพิ่งออกไป…ชายหนุ่มร่างโปร่งบางคนนั้นมีเส้นผมสีทองเหมือนคาราเมล ความยุ่งเหยิงของมันยิ่งส่งให้วงหน้าสีน้ำนมนั้นดูอ่อนเยาว์นักทั้งๆ ที่ดูแล้วอีกฝ่ายน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา สำเนียงตอนสั่งเครื่องดื่มนั้นเป็นสำเนียงบริติชชัดเจน…มินโฮจึงยิ่งไม่พบความเป็นไปได้ว่าโทมัสผู้อยู่ในนิวยอร์กมาตลอดชีวิตจะไปเคยเห็นหน้าอีกฝ่ายเอาได้ตอนไหน
แล้วสุดท้าย มินโฮก็เลิกสงสัยเพราะยังไงก็ไม่มีประโยชน์…ทำเพียงเก็บถ้วยอเมริกาโนที่หมดแล้วออกไป แล้วก็ไม่ได้คิดถึงหนุ่มผมสีคาราเมลคนนั้นอีก
**
The Maze คือร้านกาแฟที่มินโฮเปิดขึ้นเองมาได้เกือบสามปีแล้ว…เขาตกแต่งมันในสไตล์โมเดิร์น แต่ก็เลือกใช้วัสดุธรรมชาติด้วยเพื่อให้ตัวร้านดูสบายตา…ไม่ว่าจะเป็นผนังอิฐเปลือย แผ่นไม้สีอ่อนที่มีรอยตาไม้สีเข้มที่ถูกใช้ต่อกันเป็นฐานให้เคาเตอร์หินอ่อนสีดำสนิท เก้าอี้ที่เป็นไม้แบบเดียวกันซึ่งรองรับเบาะผ้าดิบสีเข้มเอาไว้อยู่ และตรงด้านในของร้าน…มินโฮเลือกจะเปลี่ยนจากผนังอิฐเปลือยมาเป็นกำแพงแผงต้นมอสและเฟิร์นที่สูงจรดเพดาน สีเขียวเข้มของพวกมันโดนขับให้ดูลึกล้ำด้วยขอบปูนปลาสเตอร์สีขาวที่ขนาบข้างอยู่…มอบบรรยากาศเย็นชื่นสบายๆ ให้กับตัวร้านเป็นอย่างยิ่ง
เพราะร้านของเขาตั้งอยู่ในเขตที่เลยจากวงย่านดาวน์ทาวน์มาแล้ว นั่นจึงทำให้มันไม่มีบรรยากาศของความเร่งรีบหรือเสียงอึกทึกเท่าคาเฟ่ชื่อดังทั่วๆ ไป ซึ่งจุดนี้นี่เองที่มินโฮคิดว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เรียกให้ผู้คนสนใจที่กลับมาอุดหนุนเป็นครั้งที่สอง…และความไม่พลุกพล่านจนเกินไปนี่เองที่ทำให้เขามักจะจำลูกค้าบางคนได้ถ้าอีกฝ่ายแวะมาอีกครั้ง
และสำหรับลูกค้าที่เข้ามาในช่วงไม่มีคนของเมื่อวานและได้เป็นประเด็นถูกพูดถึงระหว่างเขากับโทมัสแล้ว…จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่มินโฮจะสังเกตเห็นเจ้าตัวทันทีที่ร่างโปร่งบางนั่นเดินผ่านประตูเข้ามา
“มินโฮ!”
เขาเงยหน้าขึ้นมาจากการวาดลวดลายบนฟองนมคาปูชิโน…ก่อนจะเห็นว่าโทมัสกำลังโบกไม้โบกมือเป็นเชิงให้ช่วยมาเปลี่ยนตัวกันที ซึ่งมินโฮก็ขมวดคิ้วงงๆ กลับไป…เพราะในฐานะบาริสต้าอันดับสองของร้าน โทมัสจะต้องเป็นคนรับรายการส่วนใหญ่เอง…เพราะฉะนั้น การเรียกหาเขาแบบนี้ก็คือกรณีที่เมนูที่ได้รับยากเกินไปหรือเจ้าตัวประสบปัญหาอะไรสักอย่างระหว่างการรับรายการ
คิ้วที่ขมวดยุ่งอยู่แล้วของมินโฮยิ่งขมวดยุ่งเข้าไปอีกเมื่อโทมัสไม่รอให้เขาไปถึงเคาเตอร์ด้วยซ้ำ…เจ้าตัวเดินมาเจอกันครึ่งทางเลย พูดเร็วๆ สั้นๆ ก่อนที่จะโฉบสวนไป
“ฝากนายรับออเดอร์เขาทีนะ เดี๋ยวฉันจัดการถ้วยนั้นเอง”
ว่าจบ เจ้าตัวยุ่งก็หยิบคาปูชิโนถ้วยนั้นออกไปเสิร์ฟเองเสียเฉย…ไม่เปิดโอกาสให้มินโฮได้ทำอะไรมากไปกว่าแอบถอนหายใจแล้วรีบเดินไปยืนตรงหน้าเคาเตอร์ นึกคาดโทษในใจว่าต้องเค้นคอโทมัสให้ได้ว่านี่มันบ้าอะไรกัน
“ขอโทษครับที่ให้รอ” มินโฮยิ้มอย่างขออภัยให้คนเบื้องหน้าตน “รับเป็นอะไรดีครับ?”
ผิดคาด…เพราะชายหนุ่มผมสีคาราเมลดูจะไม่ได้ถือสาอะไรกับความขลุกขลักนี้ หนำซ้ำยังยิ้มตอบด้วย…รอยยิ้มที่แสนชวนมองและทำให้มินโฮได้เห็นว่าดวงตาโตของอีกฝ่ายนั้นเป็นสีน้ำตาลลึกล้ำ
“เอานั่นน่ะ” วงหน้าขาวใสพยักเพยิดไปที่ป้ายเมนูด้านหลังมินโฮราวกับจะช่วยบอกอะไรได้ “…คาเฟ่ บรีเวถ้วยนึง”
นั่นเป็นอย่างเดียวที่อีกฝ่ายสั่ง คุณเจ้าของร้านจึงจัดการคิดเงินและขยับไปเริ่มต้นผสมเครื่องดื่ม…กาแฟเข้มข้นถูกผสมเข้ากับนมร้อนและวิปครีม กลิ่นอบอุ่นหอมหวานกรุ่นขึ้นมาตอนที่ฟองสีขาวสะอาดถูกรินทับตามลงไป…มอบความรู้สึกชอบใจให้มินโฮอย่างทุกครั้งเวลาที่เขาได้ชงกาแฟดีๆ สักถ้วยให้ลูกค้า
ความอบอุ่นหอมหวานก่อตัวอีกครั้งตอนที่เขายกถ้วยไปเสิร์ฟที่โต๊ะแล้วชายหนุ่มผมทองยิ้มขอบคุณให้…มันไม่เหมือนกับความรู้สึกชอบใจกับกาแฟของตัวเองอย่างทุกที แต่มินโฮก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไรตนถึงได้คิดแบบนี้
และเขาก็ตอบไม่ได้ด้วยว่าทำไมตัวเองถึงยังคิดถึงรอยยิ้มนั่นเป็นครั้งเป็นคราวไปจนจบวัน
หนุ่มเกาหลีรอจนถึงเวลาปิดร้านถึงได้เริ่มต้นสอบปากคำโทมัส…ซึ่งก็ได้ความมาตามนี้
“เขาคือคนที่เขียนคอลัมน์แนะนำร้านอาหารในแมกกาซีน The Glade ไง” ผิดกับมินโฮ…บาริสต้าอันดับสองของร้านมีความสนใจถึงข้อมูลทำนองนี้ในระดับที่เข้าขั้นเป็นเนิร์ด โทมัสอธิบายรัวเร็วพร้อมตาเป็นประกายอย่างตื่นเต้น “แล้วเขาก็มีบล็อกรีวิวร้านกับเมนูส่วนตัวเองอีกบล็อกด้วย! ฟอลโลวเวอร์เป็นหมื่นๆ คนเลยนะ!”
หนุ่มน้อยจาระไนถึงความมีอิทธิพลในการดันและดับร้านอาหารได้แค่เพียงพิมพ์ตัวอักษรของบุคคลในหัวข้อสนทนาต่อ…เท่าที่มินโฮสรุปความได้ก็คือ ชายหนุ่มผมสีคาราเมล – หรือนิวท์ – เป็นคอลัมนิสต์ด้านวิจารณ์ร้านอาหารที่ดังไม่ใช่น้อย ซึ่งเป็นอะไรที่ทำให้เขาแอบรู้สึกตลกๆ ไม่ใช่น้อย…เพราะมาดของนิวท์นั้นให้อารมณ์เหมือนเด็กนักศึกษามากกว่าผู้ใหญ่ที่ทำงานแล้ว
“เขาจะชอบมาแนวๆ นี้ล่ะ…เท่าที่ฉันเคยได้ยินมานะ” โทมัสเล่า “สมมติเขาเจอร้านที่ถูกใจ อยากเขียนถึง…เขาก็จะมาสั่งเมนูไม่ซ้ำกันทุกๆ วัน พอใจเมื่อไหร่ก็เขียนรีวิว”
ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสริม
“แต่ถ้าเป็นคาเฟ่…บางทีเขาก็สั่งทุกเมนูเลยนะ ฉันเคยอ่านรีวิวนึงของเขา…เขาลองทุกอย่างในร้านหมดเลย” โทมัสยิ้มอย่างภูมิใจในตอนประโยคท้าย “ฉันถึงเรียกให้นายมาชงกาแฟให้เขาไง…ขืนฉันทำเองแล้วไม่อร่อยก็จบกันพอดี”
มินโฮพยักหน้า แล้วก็ยอมเอ่ยคำชมที่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายรอฟังอยู่ให้…เพราะมันก็ดีกว่าอยู่แล้วที่จะให้คนดังในวงการนี้ได้ชิมอะไรที่ดีที่สุดตอนแวะมาที่ร้านของเขา
“จะว่าไป นี่เขาก็มาเป็นวันที่สองแล้วนี่นะ” โทมัสพูดอย่างไตร่ตรอง “หรือว่าเขาจะเลือกเขียนถึงร้านเราจริงๆ เนี่ย?”
มินโฮส่งเสียงฮึมฮัมแบบไม่ผูกมัดอะไร ก่อนจะโบกมือไล่ให้ลูกมือของตนเลิกฟุ้งซ่านแล้วกลับไปเก็บร้านต่อ…หากก็อดไม่ได้ที่จะเงยขึ้นอ่านแผ่นป้ายเมนู เทียบในใจพร้อมครุ่นคิดถึงน้ำหนักความเป็นไปได้
เพราะบนแผ่นป้ายนั้น…รายการแรกคืออเมริกาโน แล้วรายการที่สองก็คือคาเฟ่ บรีเว…เมนูที่วันนี้นิวท์สั่งนั่นเอง
**
ตามประสาวันจันทร์…แม้ว่านาฬิกาจะชี้เข็มบอกเวลาสายแล้ว เดอะเมซก็ยังคงมีคิวยาวเหยียดตรงหน้าเคาเตอร์อยู่ดี
บรรยากาศความเร่งรีบจากลูกค้าทำให้บาริสต้าทั้งสองวิ่งวุ่นไปมาระหว่างเคาเตอร์รับรายการกับโซนชงกาแฟ จังหวะการรับส่งงานที่น่าเวียนหัว…แต่กลับกลายเป็นลงตัวได้เสียเฉยๆ เมื่อมินโฮพบว่าเป็นใครที่ยืนอยู่อีกด้านของเคาเตอร์ตอนที่เป็นคราวของตนที่มารับออเดอร์ใหม่
“สวัสดีครับ” หนุ่มเกาหลียกยิ้มบางๆ ให้ตามคำทักทาย “รับเป็นอะไรดีครับ?”
ถามไปอย่างนั้น…เพราะมินโฮเดาได้รางๆ เองแล้วว่าเมนูที่อีกฝ่ายคิดจะสั่งคืออะไร เครื่องดื่มลำดับที่สามบนแผ่นป้ายนั่นเอง
“คาปูชิโนร้อนถ้วยนึง” นิวท์พูดพร้อมรอยยิ้ม สำเนียงบริติชที่แปลกที่แปลกทางนักในมหานครนิวยอร์กแห่งนี้ “ขอแบบเทคอะเวย์นะ…ขอบคุณมาก”
มินโฮรับคำด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง…เก็บความอยากฟาดมือประกอบพูดว่าว่าแล้วเชียวของตัวเองไว้แค่ในใจ เอื้อมมือไปหยิบถ้วยกระดาษมา…เกือบเผลอเขียนชื่อลงไปเองแล้วถ้าไม่คิดขึ้นได้เสียก่อนว่าต้องไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขารู้จักเจ้าตัว
“งั้นเดี๋ยวรอออเดอร์ซักครู่นะครับ” คุณเจ้าของร้านรีบพูด “มิสเตอร์…?”
ชายหนุ่มผมสีคาราเมลเข้าใจความหมายของปากกาในมือเขาได้โดยไม่ต้องอธิบาย “นิวท์…เขียนแค่นิวท์เฉยๆ ก็พอแล้วล่ะ”
“โอเค…” โทมัสวิ่งกลับมายืนรอรับออเดอร์ใหม่พอดี มินโฮเลยเขยิบไปทางโซนชงกาแฟ “รอแป๊บนึงนะ”
กาแฟสีเข้มใสแปรเป็นสีนวลตาตอนที่มินโฮเทนมร้อนลงไปผสม ลวดลายสีน้ำตาลถูกวาดบนหน้าฟองนมขาวสะอาด…รวดเร็วหากถูกต้องไร้ที่ติตามความชำนาญ และตอนที่เขาปิดฝาถ้วยแล้วนั่นเองที่มินโฮเพิ่งนึกได้ว่าตนจะวาดลายไปทำไมในเมื่ออีกฝ่ายจะมองไม่เห็นมัน
ไม่ได้เรื่องเลย…เบลอแต่เช้า…
หนุ่มเกาหลีแอบถอนหายใจใส่ตัวเอง ก่อนที่ร่างหนาจะเดินไปตรงเคาเตอร์รับเครื่องดื่ม
“นิวท์” เขาพูดออกมาดังๆ เพื่อสู้กับเสียงจ้อกแจ้กในร้าน “นิวท์…คาปูชิโนร้อนได้แล้ว”
เอ่ยออกไปแล้วก็อยากจะตะครุบปากตัวเองนัก…เพราะมินโฮเพิ่งได้สติว่าตนเรียกชื่อลูกค้าและใช้ศัพท์แสงแบบสนิทสนมสุดๆ ออกไปดังๆ เสียแล้ว แต่เจ้าของชื่อที่เบียดคนเข้ามารับถ้วยกาแฟดูจะไม่ได้ถือสาอะไรเลย
“ขอบใจนะ…” เรือนผมสีทองเหมือนคาราเมลนั่นยุ่งเหยิงพร้อมแก้มก็แดงนิดๆ จากการเคลื่อนไหวอันยากลำบาก ประโยคหลังไม่ใช่คำสักเท่าไหร่…เพราะเหมือนเจ้าตัวจะไม่แน่ใจว่าควรพูดว่าอะไร “เอ่อ…”
ดวงตาโตสีน้ำตาลนั่นช้อนมองเขานิดๆ…แทนคำถามได้เป็นอย่างดี หนุ่มเกาหลีจึงพูดตอบให้สั้นๆ “…มินโฮ”
“ขอบใจนะมินโฮ” นิวท์ยิ้ม เอื้อมมารับถ้วยไป…มือเรียวสีขาวสะอาดที่ตัดกับมือใหญ่ๆ สีคร้ามแดดของเขานัก “ว้าว…”
ปลายนิ้วนั่นงัดฝาถ้วยเบาๆ แล้วก็อุทานออกมากับลวดลายบนฟองนมของคาปูชิโน กิริยาที่แทนคำชมทั้งปวงได้เพียงพอแล้ว…แต่อีกฝ่ายก็ยังคงยิ้มให้เขาอีกที รอยยิ้มที่ส่งไปถึงดวงตา…ความสดใสที่เหมือนกับแสงแดดของฤดูร้อน ก่อนจะกล่าวขอบคุณเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเดินออกจากร้านไป
มินโฮมองตาม ยังแอบขำไม่หายกับการได้เห็นว่าเหตุผลที่นิวท์เปิดฝาถ้วยขึ้นนั้นก็เพื่อจะดื่มกาแฟจากขอบถ้วยตรงๆ แทน…สงสัยนักว่าอีกฝ่ายจะรู้ไหมว่ามันทำให้ฟองนมติดรอบริมฝีปากของเจ้าตัวขึ้นมาเหมือนเด็กๆ ที่กินขนมเลอะ กิริยาที่น่าเอ็นดูชะมัด
แต่…ถ้าสั่งคาปูชิโนแบบนี้…
คนเป็นเจ้าของร้านมีหรือที่จะจำเมนูไม่ได้…เดอะเมซมีเครื่องดื่มแค่สิบสี่ชนิดเท่านั้นให้เลือกสั่ง และเมื่อบวกลำดับของคาปูชิโนบนลิสต์เมนูเข้ากับวิธีการทำงานของอีกฝ่ายที่โทมัสเล่าให้ฟังเข้าด้วยกัน…ข้อสรุปที่ได้ก็น่าจะเป็นดังนี้
…เหลืออีกสิบเอ็ดถ้วย tbc.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in