เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
SHORT FICTION - yunjaedomonuat_
SF : HE , JAEJOONG AND KISSES
  • yunho and jaejoong's story
    genre : one - short , fluff , slice of life , romantic
    rate : PG - 15 , NC
    note : เขา แจจุง และ รอยจูบ 



    - จูบแรก - 

    เราจูบกันครั้งแรกที่ใต้ต้นคริสต์มาสกลางกรุงโซล อากาศหนาวจนต้องสวมเสื้อหลายชั้นและทับด้วยเสื้อโค้ตตัวใหญ่ แต่เมื่อปากเราประกบกัน ความหนาวพลันหายไป กลายเป็นความอุ่นเข้ามาแทนที่             มันอุ่นจนร้อน เราทักทายกันด้วยปลายลิ้น  แจจุงเหมือนเก้อเขิน ลิ้นอ่อนนุ่มนั่นเงอะแงะแลจะไม่ประสีประสา แต่เมื่อเวลาผ่านไปคล้ายความกล้าจะเพิ่มมากขึ้น แจจุงยกแขนขึ้นคล้องรอบคอเขา 
    เงยหน้าขึ้นและเป็นฝ่ายเริ่มรุกจนเขารู้สึกเหมือนถูกต้อน 


    เขาลอบยิ้ม และสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายยิ้มตอบกลับมาแม้ตามองไม่เห็น
    ก่อนผละออกจากกัน เขาประทับริมฝีปากตัวเองกับอีกฝ่ายเบา ๆ กดซ้ำ เหมือนไม่อยากจะผละจาก
    แจจุงหอบหายใจ และยิ้มสดใสเมื่อเขาถอนปากออก ริมฝีปากสีแดงสดถูกเคลือบด้วยน้ำใสจนฉ่ำวาว 


    เขาคิด 

    แอปเปิ้ลต้องคำสาปอาจน่าหลงใหลแบบนี้หรือเปล่า  อดัมกับอีฟถึงกล้าฝ่าฝืนกฎ







    - น้ำตา – 

    บางครั้งเราทะเลาะกัน แจกันและกรอบรูปแตกกระจายอยู่บนพื้น ข้าวของกลาดเกลื่อน 
    แจจุงโทษเขาว่าเขาเป็นคนผิด กลิ่นน้ำหอมผู้หญิงติดอยู่ที่ปกเสื้อ และรอยลิปสติกสีสดเลอะที่ลำคอ

    เขาบอกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ คืนนั้นเขาดื่มหนักไปหน่อยและเขาก็ไม่ได้ชอบแม่สาวเดรสแดงคนนั้นสักนิด 
    แต่แจจุงยังโกรธ กำปั้นเล็กๆทุบตีที่อกเขา มันไม่ได้เจ็บเท่าไหร่ แต่คันยิบๆซะมากกว่า 
    แจจุงว่าเขาเสียงสั่น สั่งห้ามไม่ให้เขาไปเที่ยวอีก เขาเองก็เริ่มโมโห เกือบจะเถียงกลับ
    แต่เมื่อเห็นหยดน้ำใสไหลกลิ้งจากดวงตากลมโตที่เคยมีประกายสดใสอยู่เสมอ
    ริมฝีปากก็ปิดฉับ แขนยาวรวบลำตัวอีกฝ่ายมากอดไว้แน่น 

    เขากระซิบพร่ำคำขอโทษ บอกว่าจะไม่ทำอีก ถ้าไม่อยากให้เที่ยว ให้ดื่ม เขาไม่ไปก็ได้
    แค่อยากให้คนตรงหน้าหยุดร้องไห้


    “เพราะนางฟ้ากับน้ำตาไม่ใช่ของคู่กัน”
    เขาบอกเสียงเบา ปลายนิ้วมือเกลี่ยที่แก้มขาว แต่เหมือนยิ่งเขาอ่อนโยน อีกคนก็ยิ่งร้องไห้

    แจจุงพยายามขืนตัวออกจากเขา แต่ก็สู้แรงเขาไม่ได้ 

    “คนใจร้าย”

    แจจุงบอกแบบนั้น และเขาก็ยอมรับอย่างเงียบเสียง เขารู้ว่าเขาใจร้าย ไม่ใช่คนดีแบบที่ใครๆ พูด
    และตัวเขาก็ตระหนักดีว่าเขาไม่คู่ควร  แต่เขาก็ไม่ใจกว้างพอจะปล่อยแจจุงไป


    เขาน่ะ อยู่ไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีแจจุง
    ต้องทนไม่ได้แน่ๆ 



    เสียงสะอื้นค่อยๆ เงียบลง แต่เขาไม่กล้าจะปล่อยแจจุงออกจากอ้อมกอด เพราะเขากลัว 
    กลัวว่าถ้าปล่อยไปแจจุงจะวิ่งหนี เขาจึงเลือกจะจูบ  
    ประกบริมฝีปากปิดเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดลอดออกมา ก่อนจะวกขึ้นไปจูบไล่ตั้งแต่หน้าผากขาวเนียน 
    ดวงตาสองข้างที่ปิดสนิท รอยน้ำตาที่ข้างแก้ม จูบซ้ำ ๆ จนน้ำตาเหือดแห้ง
    จูบจนได้รสขมปร่าของหยาดน้ำตา

    เขาบอกกันว่าถ้าน้ำตาขมแสดงว่าคนนั้นร้องไห้เพราะความเสียใจ

    แจจุงเป็นทุกข์

    และเขาก็ไม่อยากเห็นน้ำตาที่เกิดจากความทุกข์แบบนี้อีก


    เขาประทับจูบหนักๆ ที่ริมฝีปากอีกฝ่าย ไม่มีการล่วงล้ำ ไม่ดูดดื่ม แต่จูบย้ำซ้ำๆ ทำให้มันหนักแน่น 

    เพื่อให้รู้ไว้ว่าจะไม่ทำอีก จะไม่ผิดสัญญา จะทำตัวให้ดี
    อาจจะไม่ดีที่สุด แต่จะต้องทำให้ดีขึ้น


    อย่างน้อยก็ต้องดีพอที่จะรั้งแจจุงไม่ให้หนีเขาไป









    - ดอกไม้ –

    แจจุงชอบดอกไม้ แต่เขาไม่
    เขาไม่ชอบที่พอซื้อมาได้ไม่กี่วันมันก็เหี่ยวไป
    ต่อให้ทะนุถนอม เปลี่ยนน้ำให้มันทุกวัน สุดท้ายมันก็เฉา แล้วก็ลงเอยอยู่ในถังขยะ
    ไม่มีใครเห็นค่ามันอีก

    ต่อให้ทำเป็นดอกไม้แห้ง ถูกอัดให้กรอบอยู่ระหว่างหน้าหนังสือ  แต่มันก็ไม่เหมือนเดิม
    ไม่สด ไม่สวยเหมือนอย่างที่เคยเป็น

    เขาเลยเลือกจะไม่ซื้อดอกไม้เป็นของขวัญ ถึงแจจุงจะบ่นว่าอยากได้ก็ตาม
    เขามองว่าดอกไม้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของความไม่จีรัง ความโรยราที่ไม่มีสิ่งใดหยุดมันได้
    เขาไม่อยากให้ความรักของเขาเป็นแบบนั้น


    แต่แจจุงคิดต่างไป 
    แจจุงบอกว่าดอกไม้คือความสดชื่น คือความสว่างไสว
    มันมีหลากสีสัน ตั้งแต่สีเข้มสดอย่างสีแดงจนถึงสีอ่อนบริสุทธิ์อย่างสีขาว
    กลิ่นมันหอม หอมเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่กลิ่นสังเคราะห์เหมือนน้ำหอมหรือน้ำยาปรับกลิ่น
    และที่สำคัญมันสวย แค่ได้เห็นก็รู้สึกดี ตอนไหนที่เศร้า ถ้าได้เห็นดอกไม้มันช่วยให้เขายิ้มได้

    เขาเถียง  ถึงมันจะสวยจะหอมยังไงสุดท้ายมันก็เหี่ยว เฉา แล้วก็ถูกโยนทิ้ง

    แจจุงกลับยิ้ม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มทอประกายเหมือนดวงดาวบนฟ้ายามค่ำคืน 
    เสียงนุ่มบอกเขาแผ่วเบา

    ถึงสุดท้ายมันจะเหี่ยวและเฉา แต่เราก็มีความสุขเวลาได้มองไม่ใช่เหรอ  
    ถ้าตัดมันมาปักแจกันแล้วอายุไขมันจะสั้น ก็อย่าตัดมันสิ ให้มันอยู่บนต้นแบบนั้น 
    ตอนเช้าเมื่อแดดส่องเปิดระเบียงออกมาก็เห็นมันบานอยู่บนต้น ตอนเย็นยามท้องฟ้ากลายเป็นสีส้มมันก็ยังคงอยู่  และถ้าสุดท้ายดอกมันจะเหี่ยวและร่วงลงดิน ก็ยังเป็นปุ๋ยชั้นดีที่จะทำให้ต้นมันออกดอกได้อีกยามฤดูกาลที่เหมาะสมมาเยือน

    เขามองหน้าแจจุง ยามที่อีกฝ่ายพูดเสียงเจื้อยแจ้ว ดวงตาทอเป็นประกาย ผมสีอ่อนปลิวไสวเมื่อต้องลม


    “คุณมองโลกในแง่ดีเสมอ” เขาบอก
    แจจุงหัวเราะเสียงใส ก้มตัวลงมาจูบเขาที่ข้างแก้ม


    “เพราะโลกนี้มีคุณ ผมเลยมองมันในแง่ดีตลอด” 
    เสียงแผ่วหวานเอื้อนเอ่ย ก่อนประทับริมฝีปากบนหว่างคิ้วเขาอีกครา

    เขายิ้มออกและเริ่มหลงรักดอกไม้มากขึ้นอีกหน่อย










    - บุหรี่ –

    แจจุงไม่ชอบบุหรี่ ถึงขั้นเกลียดเสียด้วยซ้ำ
    เขาเคยถามว่าทำไม
    อีกฝ่ายบอกว่ามันเหม็น แล้วก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์ตรงไหน
    หลังจากนั้นก็เริ่มสาธยายข้อเสียนานาประการของบุหรี่ ตั้งแต่ผลเสียต่อปอด ตับ หัวใจ
    ไปจนถึงเรื่องกลิ่นปากและฟันเหลือง เขาไม่โต้ตอบเพียงแต่นั่งฟัง 

    “แต่มันไม่ได้เลิกง่ายๆ นะ” เขาบอกหลังจากที่ฟังแจจุงพูดจนจบ

    “ผมรู้.. ไม่เป็นไรหรอกถ้าคุณจะสูบ ผมเข้าใจ อีกอย่างคุณก็ไม่เคยสูบต่อหน้าผมเพราะรู้ว่าผมไม่ชอบ.. ” 

    แต่ ผมอยากให้คุณอยู่กับผมนาน ๆ

    ท้ายประโยคแผ่วเบาราวเสียงกระซิบแต่เขากลับได้ยินมันชัดเจน 

    เย็นวันนั้นเขาทิ้งบุหรี่ทั้งหมดที่มีในครอบครอง จะถูกจะแพงเขาไม่สน

    แต่เขาตั้งใจจะเลิก 
    ถึงมันจะยาก  แต่ก็คุ้มที่จะลอง

    เพราะเขาก็อยากอยู่กับแจจุงนานๆ เหมือนกัน









    - ไหมพรม – 

    การถักไหมพรมเป็นงานอดิเรกของแจจุง ตอนไหนที่ว่างคนตัวเล็กมักจะยกตะกร้าไหมพรมกับไม้นิตติ้งมาตั้งไว้ที่ตักแล้วก็นั่งถักได้เป็นวันๆ ไม่ยอมลุกไปไหนจนกว่าจะเมื่อยหรือหิวนั่นแหละ
    ถึงจะลุกขึ้นจากเก้าอี้โยกกลางบ้าน 

    เขาถามว่าทำไมถึงได้ชอบถักนัก มันใช้เวลาตั้งนานกว่าจะเสร็จ
    หาซื้อเอาก็ได้ มีขายเยอะแยะ ราคาก็ไม่ได้แพงขนาดนั้น แถมเผลอๆจะสวยกว่าด้วยซ้ำ 
    ประโยคสุดท้ายมีเสียงกลั้วหัวเราะ แจจุงหน้ามุ่ยมือขาวๆ ที่โผล่พ้นชายเสื้อวางไม้นิตลงกับตักแล้ว           เงยหน้าขึ้นจ้องเขา

    “แต่ของที่ทำเองด้วยมือน่ะมันมีค่าทางจิตใจนะ” เสียงหวานเอ่ยตอบ

    เขาขมวดคิ้ว  “แล้วมันคุ้มกับเวลาและค่าเหนื่อยที่เสียไปเหรอ”

    “ถ้าเราทำให้คนที่เรารัก เสียเวลามากเท่าไหร่ เหนื่อยแค่ไหนก็ไม่เป็นไรหรอก”

    จบประโยคร่างโปร่งบางก็ลุกขึ้นยืน ขยับตัวเดินมาหาเขาแล้วเขย่งปลายเท้าขึ้นประทับจูบ
    ที่ปลายคางแผ่วเบา


    แต่หัวใจเขาคล้ายจะสั่นไหว 


    เขาใช้ผ้าพันคอสีเหลืองที่แจจุงให้เขาในวันเกิดแทบทุกวันตลอดฤดูหนาว ถึงมันจะไม่เข้ากับชุดที่ใส่ก็ตามเพราะเขาอยากให้แจจุงรู้ว่า


    ถ้าการทำอะไรสักอย่างด้วยมือมีคุณค่ากับคนให้ มันก็มีคุณค่าเหลือเกินกับคนรับเช่นกัน










    - กาแฟ – 

    เอสเปรสโซ่ร้อนเป็นเครื่องดื่มโปรดของเขา ทุกครั้งที่ไปร้านกาแฟเขาจะต้องสั่งทุกครั้ง
    เขารักสีเข้มๆ และรสขมของมันยามแตะที่ปลายลิ้น ไอร้อนที่พวยพุ่งจากถ้วยเซรามิก
    ให้ความสงบแปลกๆ  แจจุงชอบดื่มคาราเมลลาเต้ปั่น เขาเคยชิมครั้งหนึ่งแล้วก็ต้องเบ้หน้า

    มันหวาน หวานไร้รสอื่นเจือปน หวานจนเขากลัวว่าถ้าแจจุงกินบ่อยๆ แล้วจะเป็นเบาหวานเข้าสักวัน
    แต่อีกฝ่ายดูจะไม่สนใจ ตั้งหน้าตั้งตาดูดพรวดๆ และยิ้มแป้นทุกครั้งที่ได้ดื่มมัน

    เขาเคยชวนให้แจจุงลองดื่มกาแฟของเขา อยากให้คนตัวเล็กชื่นชมความขมเหมือนกับเขารัก
    แจจุงยอมดื่มไปอึกหนึ่ง ดวงหน้าหวานเหยเกจนเขาหลุดขำ
    ฝ่ามือคว้าเข้าที่แก้วตัวเองแล้วดูดอึกใหญ่

    “ขม”  

    “กาแฟมันก็ต้องขมสิ”

    “มันขมเกินไป”

    “ลองกินบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน”

    พูดจบ ฝ่ามือใหญ่ก็คว้าเขาที่ลำคอขาว เลื่อนให้ใบหน้าของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้แล้วบดจูบลงที่ริมฝีปากอีกฝ่ายถ่ายทอดความขมที่ติดที่ปลายลิ้นให้  เขาได้รสคาราเมลจากแจจุง รสหวานปะแล่มตัดกับรสขมจากเอสเปรสโซ่ของเขามันไม่หวานแหลมเหมือนอย่างที่ชิมครั้งแรก  
    เขาถอนปากออกมาตอนที่แจจุงประท้วงด้วยการทุบที่ไหล่กว้าง 
    ริมฝีปากสีสดเห่อแดง ดวงหน้าขาวขึ้นสีเรื่อ

    “อร่อย ให้ลองกินบ่อยๆอีกนะ”  แจจุงพูดแบบนั้นก่อนจะลุกขึ้นเดิน ปล่อยให้เขานั่งบื้ออยู่คนเดียว

    คาราเมลลาเต้กับเอสเปรสโซ่ก็เข้ากันดีเหมือนกัน










    - รอยยิ้ม – 

    บางครั้งรอยยิ้มแจจุงก็เหมือนสารเสพติด พอได้เห็นครั้งหนึ่งก็อยากเห็นอีก 
    ให้มองทั้งวันก็ไม่เบื่อ  เวลาแจจุงยิ้มทีเหมือนทั้งโลกจะสดใสขึ้นมากะทันหัน
    ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า ไร้เมฆครึ้มและแจ่มใส 

    เขาชอบมองเวลาที่ริมฝีปากยกขึ้นกลายเป็นเสี้ยวพระจันทร์ ดวงตากลมโตหรี่เล็กลง แต่ลูกตาแวววาวเป็นประกายฟันขาวเรียงตัวเป็นระเบียบ ริมฝีปากสีสดน่ามอง เขาอยากให้แจจุงยิ้มให้ดูทุกวัน
    จะยิ้มน้อยยิ้มมากเขาไม่เกี่ยง
    ขอให้มันเป็นรอยยิ้มที่มาจากใจก็พอ  และก็จะดีมากถ้าเขาเป็นเหตุผลของรอยยิ้มนั้น

    แจจุงบอกว่าอยากให้เขายิ้มมากขึ้น

    เขาถามว่าทำไม

    “คุณยิ้มสวย”

    เขาส่ายหน้าปฏิเสธ 

    “คุณต่างหากที่ยิ้มสวย” เขาตอบกลับ 

    แจจุงขยับตัวซุกเข้าหาแผ่นอกเขา ลูบแผ่นหลังเปล่าเปลือยของเขาเบาๆ และกระซิบบอก

    “เวลาเรายิ้ม มันหมายความว่าเรามีความสุข ผมอยากเห็นคุณมีความสุข” 

    แจจุงมองตาเขาตอนที่พูดประโยคนี้ แล้วริมฝีปากก็ยกยิ้มขึ้นอย่างที่เขาชอบมองนักหนา 

    เขามองดวงหน้าหวานของคนตรงหน้านิ่ง เนิ่นนานราวต้องการสื่อความในใจ ก่อนจะยิ้มออกมา 
    วงแขนกระชับกอดให้แน่นขึ้นก่อนจะเคลื่อนริมฝีปากเขาประทับที่หน้าผากมนแผ่วเบา  

    คุณเป็นความสุขของผม 

    เขาไม่ได้พูดออกมาแต่หวังว่าแจจุงคงเข้าใจ 








    - รัก –


    เราขยับตัวเชื่องช้า มันเป็นคืนที่หนาวเหน็บแต่ร่างกายกลับเปลือยเปล่า เสื้อผ้าถูกโยนทิ้งกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพรม แจจุงนอนอยู่ใต้ร่างเขา ผิวขาวจัดขื้นสีแดงระเรื่อ
    ทั่วร่างมีรอยสีกุหลาบประทับอยู่ประปราย
    ผมสีอ่อนยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ดวงตากลมโตที่เขาหลงรักหวานฉ่ำไปด้วยน้ำใส 
    เช่นเดียวกับริมฝีปากที่ถูกจูบจนบวมเจ่อ แจจุงงดงามเหมือนกับครั้งแรกที่เจอกัน 

    เขาขยับกายแช่มช้าแต่จงใจกระแทกเน้นย้ำจนอีกฝ่ายส่งเสียงครางหวาน 
    แจจุงเชิดหน้าขึ้นตอนที่เขาก้มลงประทับริมฝีปากลงบนยอดอกสีสดแล้วกดจูบแรงๆ
    ฟันคมขบกัดอย่างหยอกล้อ 

    เขาผละตัวออก ซุกหน้าเข้ากับซอกคอของอีกฝ่าย 

    ความรัก ความต้องการเต็มตื้นอยู่ในอกอย่างที่ไม่อาจควบคุม ยิ่งได้ครอบครองความรู้สึกที่มีก็ยิ่งลึกซึ้ง 

    อยากจะฟัดแรงๆ ให้จมเขี้ยว อยากจะจูบให้แจจุงครางจนหมดเสียง 
    อยากกอดร่างบอบบางนี้ให้แนบอกและรักกันจนถึงเช้าของอีกวัน อยากให้รู้ว่าเขารักอีกฝ่ายมากแค่ไหน  

    แจจุงปรือตาขึ้นมองเขา ดูอ่อนแรงแต่ก็ยั่วเย้าอยู่ในที  ลำแขนขาวยกขึ้นโอบรอบคอเขาให้มาชิดใกล้ 
    ริมฝีปากเราเลื่อนเข้าหากันโดยที่แจจุงเป็นฝ่ายเริ่ม คนตัวเล็กส่งปลายลิ้นเข้ามาทักทาย 
    ไล่ต้อนจนเขาแทบจนมุม  ฟันขาวขบกัดที่ริมฝีปากเขาเบาๆ ไล้ลิ้นไปตามแนวฟัน 
    จูบหวานหอมดำเนินไปอย่างเชื่องช้าก่อนจะเริ่มเร่าร้อน เมื่อเขาขยับขึ้นเป็นฝ่ายควบคุมจนแจจุง           เผลอครางเสียงแผ่ว 

    เขาลอบยิ้ม ความรู้สึกเหนือกว่าปะทุขึ้นในใจ

    ถึงจะพยายามทำตัวเป็นลูกเสือแต่สุดท้ายแจจุงก็ยังเป็นลูกแมวตัวน้อยสำหรับเขาอยู่ดี  

    เขาผละจูบออกมา น้ำสีใสไหลเชื่อมเปรอะมุมปากสีสด  แจจุงยกยิ้มทั้งที่ยังหอบหายใจ 

    สมองเขาเต้นตุบ หัวใจทำงานหนักอย่างที่ไม่เคยเป็น 



    เขาเลื่อนฝ่ามือขึ้นกอบกุมมืออีกฝ่ายไว้ก่อนจะประสานปลายนิ้วเข้าหากัน 
    เขาขยับร่าง เร่งความเร็วให้เร็วขึ้นกว่าเก่า  กระแทกสะโพกเข้าออกย้ำๆ อีกสองสามครั้ง
    ก่อนสวรรค์ที่เคยสงสัยว่ามีอยู่จริงไหมจะปรากฏให้เห็น  ช่องทางอุ่นรอดตอดรัดเขาไว้แน่นราวกับ         ไม่อยากปล่อยไป  แจจุงกรีดร้องเสียงหวาน ปลายเล็บคมจิกเข้าที่ไหล่เขาจนได้เลือด
    ลำตัวเกร็งแน่นก่อนจะผ่อนลง ริมฝีปากผุดรอยยิ้มพราย 



    “ผมเชื่อแล้วว่าสวรรค์มีจริง”
    เขาโน้มตัวลงก่อนกระซิบบอกที่ข้างใบหูเล็ก ปลายนิ้วยกขึ้นเกลี่ยปอยผมสีอ่อนให้พ้นจากดวงหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะเคลื่อนริมฝีปากค่อยๆ ประทับจูบลงบนอกซ้าย


    เขาได้ยินเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะ
    คลับคล้ายจะเป็นเสียงที่ประสานกับหัวใจอีกดวงที่เต้นอยู่ในอกของเขา


    ไร้คำพูดแต่เราสองคนต่างเข้าใจดี 





    รัก


    เสียงคำว่ารักดังกังวานในหัวใจ 



    end.

    ____________________

    หาที่ลงฟิคจริงจังได้สักที เปลี่ยนมาหลายรอบมากๆแล้ว และภาวนาว่าขอให้ไม่ต้องเปลี่ยนอีก ฮือ ตอนแรกลงในเวิร์ดเพรสแล้วก็ค้นพบว่ามันไม่เวิร์คจริงๆ เงียบเหงาเหมือนป่าช้าเลยย้ายมาลงในนี้แทน เขียนฟิคอีกครั้งในรอบสองหรือสามปีได้ แฮปปี้มากๆกับเรื่องนี้ หวังว่าคนอ่านจะมีความสุขเหมือนกัน 
    พูดคุยทักทายได้ที่ทวิตเตอร์ @ domonuat_ แล้วพบกันใหม่เรื่องหน้าค่ะ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in