เราจูบกันครั้งแรกที่ใต้ต้นคริสต์มาสกลางกรุงโซล อากาศหนาวจนต้องสวมเสื้อหลายชั้นและทับด้วยเสื้อโค้ตตัวใหญ่ แต่เมื่อปากเราประกบกัน ความหนาวพลันหายไป กลายเป็นความอุ่นเข้ามาแทนที่ มันอุ่นจนร้อน เราทักทายกันด้วยปลายลิ้น แจจุงเหมือนเก้อเขิน ลิ้นอ่อนนุ่มนั่นเงอะแงะแลจะไม่ประสีประสา แต่เมื่อเวลาผ่านไปคล้ายความกล้าจะเพิ่มมากขึ้น แจจุงยกแขนขึ้นคล้องรอบคอเขา
ก่อนผละออกจากกัน เขาประทับริมฝีปากตัวเองกับอีกฝ่ายเบา ๆ กดซ้ำ เหมือนไม่อยากจะผละจาก
แจจุงหอบหายใจ และยิ้มสดใสเมื่อเขาถอนปากออก ริมฝีปากสีแดงสดถูกเคลือบด้วยน้ำใสจนฉ่ำวาว
- ไหมพรม – การถักไหมพรมเป็นงานอดิเรกของแจจุง ตอนไหนที่ว่างคนตัวเล็กมักจะยกตะกร้าไหมพรมกับไม้นิตติ้งมาตั้งไว้ที่ตักแล้วก็นั่งถักได้เป็นวันๆ ไม่ยอมลุกไปไหนจนกว่าจะเมื่อยหรือหิวนั่นแหละ
ถึงจะลุกขึ้นจากเก้าอี้โยกกลางบ้าน
เขาถามว่าทำไมถึงได้ชอบถักนัก มันใช้เวลาตั้งนานกว่าจะเสร็จ
หาซื้อเอาก็ได้ มีขายเยอะแยะ ราคาก็ไม่ได้แพงขนาดนั้น แถมเผลอๆจะสวยกว่าด้วยซ้ำ
ประโยคสุดท้ายมีเสียงกลั้วหัวเราะ แจจุงหน้ามุ่ยมือขาวๆ ที่โผล่พ้นชายเสื้อวางไม้นิตลงกับตักแล้ว เงยหน้าขึ้นจ้องเขา
“แต่ของที่ทำเองด้วยมือน่ะมันมีค่าทางจิตใจนะ” เสียงหวานเอ่ยตอบ
เขาขมวดคิ้ว “แล้วมันคุ้มกับเวลาและค่าเหนื่อยที่เสียไปเหรอ”
“ถ้าเราทำให้คนที่เรารัก เสียเวลามากเท่าไหร่ เหนื่อยแค่ไหนก็ไม่เป็นไรหรอก”
จบประโยคร่างโปร่งบางก็ลุกขึ้นยืน ขยับตัวเดินมาหาเขาแล้วเขย่งปลายเท้าขึ้นประทับจูบ
ที่ปลายคางแผ่วเบา
แต่หัวใจเขาคล้ายจะสั่นไหว
เขาใช้ผ้าพันคอสีเหลืองที่แจจุงให้เขาในวันเกิดแทบทุกวันตลอดฤดูหนาว ถึงมันจะไม่เข้ากับชุดที่ใส่ก็ตามเพราะเขาอยากให้แจจุงรู้ว่า
ถ้าการทำอะไรสักอย่างด้วยมือมีคุณค่ากับคนให้ มันก็มีคุณค่าเหลือเกินกับคนรับเช่นกัน- กาแฟ – เอสเปรสโซ่ร้อนเป็นเครื่องดื่มโปรดของเขา ทุกครั้งที่ไปร้านกาแฟเขาจะต้องสั่งทุกครั้ง
เขารักสีเข้มๆ และรสขมของมันยามแตะที่ปลายลิ้น ไอร้อนที่พวยพุ่งจากถ้วยเซรามิก
ให้ความสงบแปลกๆ แจจุงชอบดื่มคาราเมลลาเต้ปั่น เขาเคยชิมครั้งหนึ่งแล้วก็ต้องเบ้หน้า
มันหวาน หวานไร้รสอื่นเจือปน หวานจนเขากลัวว่าถ้าแจจุงกินบ่อยๆ แล้วจะเป็นเบาหวานเข้าสักวัน
แต่อีกฝ่ายดูจะไม่สนใจ ตั้งหน้าตั้งตาดูดพรวดๆ และยิ้มแป้นทุกครั้งที่ได้ดื่มมัน
เขาเคยชวนให้แจจุงลองดื่มกาแฟของเขา อยากให้คนตัวเล็กชื่นชมความขมเหมือนกับเขารัก
แจจุงยอมดื่มไปอึกหนึ่ง ดวงหน้าหวานเหยเกจนเขาหลุดขำ
ฝ่ามือคว้าเข้าที่แก้วตัวเองแล้วดูดอึกใหญ่
“ขม”
“กาแฟมันก็ต้องขมสิ”
“มันขมเกินไป”
“ลองกินบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน”
พูดจบ ฝ่ามือใหญ่ก็คว้าเขาที่ลำคอขาว เลื่อนให้ใบหน้าของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้แล้วบดจูบลงที่ริมฝีปากอีกฝ่ายถ่ายทอดความขมที่ติดที่ปลายลิ้นให้ เขาได้รสคาราเมลจากแจจุง รสหวานปะแล่มตัดกับรสขมจากเอสเปรสโซ่ของเขามันไม่หวานแหลมเหมือนอย่างที่ชิมครั้งแรก
เขาถอนปากออกมาตอนที่แจจุงประท้วงด้วยการทุบที่ไหล่กว้าง
ริมฝีปากสีสดเห่อแดง ดวงหน้าขาวขึ้นสีเรื่อ
“อร่อย ให้ลองกินบ่อยๆอีกนะ” แจจุงพูดแบบนั้นก่อนจะลุกขึ้นเดิน ปล่อยให้เขานั่งบื้ออยู่คนเดียว
คาราเมลลาเต้กับเอสเปรสโซ่ก็เข้ากันดีเหมือนกัน- รอยยิ้ม – บางครั้งรอยยิ้มแจจุงก็เหมือนสารเสพติด พอได้เห็นครั้งหนึ่งก็อยากเห็นอีก
ให้มองทั้งวันก็ไม่เบื่อ เวลาแจจุงยิ้มทีเหมือนทั้งโลกจะสดใสขึ้นมากะทันหัน
ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า ไร้เมฆครึ้มและแจ่มใส
เขาชอบมองเวลาที่ริมฝีปากยกขึ้นกลายเป็นเสี้ยวพระจันทร์ ดวงตากลมโตหรี่เล็กลง แต่ลูกตาแวววาวเป็นประกายฟันขาวเรียงตัวเป็นระเบียบ ริมฝีปากสีสดน่ามอง เขาอยากให้แจจุงยิ้มให้ดูทุกวัน
จะยิ้มน้อยยิ้มมากเขาไม่เกี่ยง
ขอให้มันเป็นรอยยิ้มที่มาจากใจก็พอ และก็จะดีมากถ้าเขาเป็นเหตุผลของรอยยิ้มนั้น
แจจุงบอกว่าอยากให้เขายิ้มมากขึ้น
เขาถามว่าทำไม
“คุณยิ้มสวย”
เขาส่ายหน้าปฏิเสธ
“คุณต่างหากที่ยิ้มสวย” เขาตอบกลับ
แจจุงขยับตัวซุกเข้าหาแผ่นอกเขา ลูบแผ่นหลังเปล่าเปลือยของเขาเบาๆ และกระซิบบอก
“เวลาเรายิ้ม มันหมายความว่าเรามีความสุข ผมอยากเห็นคุณมีความสุข”
แจจุงมองตาเขาตอนที่พูดประโยคนี้ แล้วริมฝีปากก็ยกยิ้มขึ้นอย่างที่เขาชอบมองนักหนา
เขามองดวงหน้าหวานของคนตรงหน้านิ่ง เนิ่นนานราวต้องการสื่อความในใจ ก่อนจะยิ้มออกมา
วงแขนกระชับกอดให้แน่นขึ้นก่อนจะเคลื่อนริมฝีปากเขาประทับที่หน้าผากมนแผ่วเบา
คุณเป็นความสุขของผม เขาไม่ได้พูดออกมาแต่หวังว่าแจจุงคงเข้าใจ
- รัก –
เราขยับตัวเชื่องช้า มันเป็นคืนที่หนาวเหน็บแต่ร่างกายกลับเปลือยเปล่า เสื้อผ้าถูกโยนทิ้งกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพรม แจจุงนอนอยู่ใต้ร่างเขา ผิวขาวจัดขื้นสีแดงระเรื่อ
ทั่วร่างมีรอยสีกุหลาบประทับอยู่ประปราย
ผมสีอ่อนยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ดวงตากลมโตที่เขาหลงรักหวานฉ่ำไปด้วยน้ำใส
เช่นเดียวกับริมฝีปากที่ถูกจูบจนบวมเจ่อ แจจุงงดงามเหมือนกับครั้งแรกที่เจอกัน
เขาขยับกายแช่มช้าแต่จงใจกระแทกเน้นย้ำจนอีกฝ่ายส่งเสียงครางหวาน
แจจุงเชิดหน้าขึ้นตอนที่เขาก้มลงประทับริมฝีปากลงบนยอดอกสีสดแล้วกดจูบแรงๆ
ฟันคมขบกัดอย่างหยอกล้อ
เขาผละตัวออก ซุกหน้าเข้ากับซอกคอของอีกฝ่าย
ความรัก ความต้องการเต็มตื้นอยู่ในอกอย่างที่ไม่อาจควบคุม ยิ่งได้ครอบครองความรู้สึกที่มีก็ยิ่งลึกซึ้ง
อยากจะฟัดแรงๆ ให้จมเขี้ยว อยากจะจูบให้แจจุงครางจนหมดเสียง
อยากกอดร่างบอบบางนี้ให้แนบอกและรักกันจนถึงเช้าของอีกวัน อยากให้รู้ว่าเขารักอีกฝ่ายมากแค่ไหน
แจจุงปรือตาขึ้นมองเขา ดูอ่อนแรงแต่ก็ยั่วเย้าอยู่ในที ลำแขนขาวยกขึ้นโอบรอบคอเขาให้มาชิดใกล้
ริมฝีปากเราเลื่อนเข้าหากันโดยที่แจจุงเป็นฝ่ายเริ่ม คนตัวเล็กส่งปลายลิ้นเข้ามาทักทาย
ไล่ต้อนจนเขาแทบจนมุม ฟันขาวขบกัดที่ริมฝีปากเขาเบาๆ ไล้ลิ้นไปตามแนวฟัน
จูบหวานหอมดำเนินไปอย่างเชื่องช้าก่อนจะเริ่มเร่าร้อน เมื่อเขาขยับขึ้นเป็นฝ่ายควบคุมจนแจจุง เผลอครางเสียงแผ่ว
เขาลอบยิ้ม ความรู้สึกเหนือกว่าปะทุขึ้นในใจ
ถึงจะพยายามทำตัวเป็นลูกเสือแต่สุดท้ายแจจุงก็ยังเป็นลูกแมวตัวน้อยสำหรับเขาอยู่ดี
เขาผละจูบออกมา น้ำสีใสไหลเชื่อมเปรอะมุมปากสีสด แจจุงยกยิ้มทั้งที่ยังหอบหายใจ
สมองเขาเต้นตุบ หัวใจทำงานหนักอย่างที่ไม่เคยเป็น
เขาเลื่อนฝ่ามือขึ้นกอบกุมมืออีกฝ่ายไว้ก่อนจะประสานปลายนิ้วเข้าหากัน
เขาขยับร่าง เร่งความเร็วให้เร็วขึ้นกว่าเก่า กระแทกสะโพกเข้าออกย้ำๆ อีกสองสามครั้ง
ก่อนสวรรค์ที่เคยสงสัยว่ามีอยู่จริงไหมจะปรากฏให้เห็น ช่องทางอุ่นรอดตอดรัดเขาไว้แน่นราวกับ ไม่อยากปล่อยไป แจจุงกรีดร้องเสียงหวาน ปลายเล็บคมจิกเข้าที่ไหล่เขาจนได้เลือด
ลำตัวเกร็งแน่นก่อนจะผ่อนลง ริมฝีปากผุดรอยยิ้มพราย
“ผมเชื่อแล้วว่าสวรรค์มีจริง”
เขาโน้มตัวลงก่อนกระซิบบอกที่ข้างใบหูเล็ก ปลายนิ้วยกขึ้นเกลี่ยปอยผมสีอ่อนให้พ้นจากดวงหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะเคลื่อนริมฝีปากค่อยๆ ประทับจูบลงบนอกซ้าย
เขาได้ยินเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะ
คลับคล้ายจะเป็นเสียงที่ประสานกับหัวใจอีกดวงที่เต้นอยู่ในอกของเขา
ไร้คำพูดแต่เราสองคนต่างเข้าใจดี
รัก
เสียงคำว่ารักดังกังวานในหัวใจ
end.
____________________
หาที่ลงฟิคจริงจังได้สักที เปลี่ยนมาหลายรอบมากๆแล้ว และภาวนาว่าขอให้ไม่ต้องเปลี่ยนอีก ฮือ ตอนแรกลงในเวิร์ดเพรสแล้วก็ค้นพบว่ามันไม่เวิร์คจริงๆ เงียบเหงาเหมือนป่าช้าเลยย้ายมาลงในนี้แทน เขียนฟิคอีกครั้งในรอบสองหรือสามปีได้ แฮปปี้มากๆกับเรื่องนี้ หวังว่าคนอ่านจะมีความสุขเหมือนกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in