เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เดินเที่ยวไปด้วยกันthefirstofmine
อัมพว๊า อัมพวา ปล่อยพุงพักกาย ห้าสหายกับทริปกิน

  • 14-15 ตุลาคม 2017




    ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าทริปนี้เป็นทริปฉุกละหุกพอๆ กับตอนที่ไปสัตหีบ คิดล่วงหน้าก่อนเดินทาง 1 สัปดาห์ และไม่ได้เตรียมตัวอะไรล่วงหน้าเลยซักนิด แพลนก็ไม่มี รู้แค่จะไปอัมพวากันเท่านั้น

    ครั้งนี้ไม่มีรถจ้า นั่งรถตู้ไปกัน 5 ชีวิต ออกจากสายใต้ใหม่ตอนสิบโมงกว่า ถึงตอนบ่ายโมงนิดๆ เพราะรถตู้คันที่นั่งไปจอดทุกที่เลยจ้า orz ฟังเพลงจบไปสองเพลย์ลิสต์ หลับไปสามตื่นแล้วยังไม่ถึงเลย 

    เราไปค้างคืนกัน พักที่บ้านสวนพิชญ์ชามิกา เขาขับรถมารับที่ท่ารถตู้ด้วย แล้วก็ขับพาเราไปส่งที่ตลาดน้ำอัมพวา พี่เขาบอกว่าขับรถรับส่งไปถึงเที่ยงคืนกันเลยทีเดียว บ้านที่พักเป็นบ้านหลังเล็กๆ หลังนึง สีเหลืองเปลือกไข่ทั้งข้างนอกข้างในเลย สีอบอุ่น ตอนแรกพี่ๆ เขาบอกเพื่อนว่าห้องมันเล็กนะ อาจจะต้องนอนเบียดๆ กัน 5 คน แต่พอเราไปกันถึงก็พบว่า นอนกัน 5 คนยังสบายๆ เลย ไม่เบียดกันด้วยซ้ำ ภายในห้องก็มีฟูก 2 อันวางเต็มห้องเลย นอนกัน 4 คนฟูกนึงยังได้เลยล่ะ



    ภายในห้องก็จะมีทีวี ตู้เย็นไว้ให้ (ซึ่งมันเย็นจัดมากๆ แค่น้ำเปล่าแช่เอาไว้ ตอนค่ำๆ กลับมากลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว และนมกล่องของเราที่แช่เอาไว้ตอนกลางคืน ตื่นเช้ามาเป็นน้ำแข็งทั้งกล่องเลย) ห้องน้ำสะอาดมากๆ มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ด้วย) ผ้าห่มที่เขาเตรียมไว้ให้ ตอนแรกคิดว่าจะบางแต่พอถึงเวลาห่มจริงๆ คืออุ่นมาก นุ่มและห่มสบาย แอร์ในห้องก็เย็นมาก ฉ่ำกันมากเลย



    กลับมาเข้าเรื่อง พอเราเก็บของกันเสร็จก็ขึ้นรถไปตลาดอัมพวากัน! 

    ทางเข้าเป็นสวนเล็กๆ น่าเดินเล่น น่าถ่ายรูปเล่นมาก ฝั่งตรงข้ามจะเป็นโครงการอัมพวา-ชัยพัฒนานุรักษ์ ในมูลนิธิชัยพัฒนา มีร้านนวดแผนไทย ร้านขนม ร้านน้ำ ร้านอาหารเต็มไปหมดในส่วนของด้านนอก



    ร้านแรกที่แวะไปกันคือร้านชานชาลา ร้านนี้พี่บอกว่ากาแฟอร่อย และไม่แพง แต่เราไม่ดื่มกาแฟไง ก็เลยสั่งช็อกโกแลตเย็นไป อร่อย ราคาไม่แพง ไม่หวานมากเท่าไหร่ มีขนมด้วยล่ะ (ร้านนี้มี ม่วงชื่น" เครื่องดื่มสูตรพระราชทาน ชื่อว่า "ม่วงชื่น" จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ด้วยล่ะ)



    แต่ความหิวครอบงำเพราะมันบ่ายโมงกว่าแล้ว และยังไม่ได้กินอะไรเลย ก็เลยไปหาร้านข้าวกินกัน พี่เขาก็พาไปเลยกินข้าวที่ร้านพรสวรรค์ (อยู่ริมคลองนั่นแหละ) สั่งปู กุ้ง หมึก ข้าวผัดปู ส้มตำ ฯลฯ มากินกัน เป็นมื้อเที่ยงที่อร่อยมาก รวมถึงบรรยากาศริมคลองก็ไม่ได้ร้อนเท่าที่คิด มีลมเย็นๆ พัดตลอดเวลา นักท่องเที่ยวก็มีจำนวนไม่เยอะมากเท่าไหร่ (เพื่อนบอกว่าปกติคนจะเยอะมาก แต่วันนี้ไม่เยอะเท่าปกติที่เขามากัน) เรานั่งหันหน้าเข้าหาคลองกัน มีเรือแล่นสัญจรกันไปมา นักท่องเที่ยวก็ลงเรือเที่ยวกัน ลงเรือไปไหว้พระทำบุญ 5 วัดก็ยังมี





    หลังจากที่อิ่มหนำสำราญกันแล้ว เราก็ออกเดิน เดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ จำนวนนักท่องเที่ยวก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่อยู่ในระดับที่เดินไหลไปได้เรื่อยๆ ร้านค้าต่างๆ ก็จะมีขายทั้งของกิน ของใช้ ของเล่น สมุด เสื้อผ้า ร้านชำ ร้านขายของเล่นเก่าๆ รวมไปถึงร้านขายของเล่นสมัยเด็กงี้ก็มี (เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กเลยล่ะ)

    เราเดินกันไปเรื่อยๆ เดินผ่านสะพานข้ามแม่น้ำใหญ่ๆ หน่อย ที่สองฝั่งเป็นตลาดเดินยาวไปได้ เราก็เดินกันไปจนถึงร้านหนึ่ง เป็นร้านที่เรามองไกลๆ แล้วเราคิดในใจว่าต้องขอแวะร้านนี้ให้ได้ตอนขากลับที่เดินย้อนกลับไป พอเราเดินจนสุดทางก็ไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว ก็เลยเดินกลับไปทางเดิมและแวะร้านนั้นจนได้ ร้านนี้มีชื่อว่า "ที่อยู่ของจิตใจ (Mind Stay)" เป็นร้านที่มีรูปถ่ายหมา แมว ธรรมชาติ เป็นสไตล์ที่ต่างกับร้านขายโปสการ์ดอื่นๆ ในอัมพวา เจ้าของร้านเป็นผู้ชาย ใจดี เสียงนุ่มๆ 



    รูปภาพในร้านเขาถ่ายเอง และเขียนข้อความเอาไว้เองด้วย มันเป็นอะไรที่ซื่อๆ ดูเรียบง่าย แต่อบอุ่น มันมีความเป็นกันเอง และสบายใจ มีสมุดขายด้วย เราชอบสมุดมาก (แต่เราไม่ได้ซื้อมา) เขาบอกว่าถ้าซื้อสมุดก็จะวาดภาพเหมือนให้รูปนึงด้วย จะมีลายเสื้อที่เขาวาดเอง เขารับวาดภาพเหมือนด้วยล่ะ นอกจากนั้นยังมีหนังสือทำมือรวมเรื่องขำขันเอาไว้ด้วย



    ตลอดทางคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย ชาวต่างชาติ เราเดินกันต่อไปยังร้านขายหอยเชลล์ย่างชีส ร้านนี้เพื่อนโฆษณาเอาไว้ว่าอร่อยมากจนต้องแวะไปซื้อทุกครั้งที่มา กลิ่นหอมมากกกกกกกก



    ตรงเชิงสะพานมันจะมีร้านขายสมุดล้อเลียน กับพวกคำตลกๆ หรือรูปวาดฮาๆ ด้วย (เป็นสมุดจดปกติแต่ปกเป็นแนวนั้น) อย่างเลียนแบบนิตยสาร CHEEZE, LOOKER, a way ฯลฯ น่ารักดี (แต่เราไม่ได้ถ่ายมาหรอก เพื่อนซื้อไปให้แฟนเขา)

    แต่ไม่นานฝนก็ตก เราก็เลยนั่งรถกลับที่พักกันประมาณสี่โมงเย็น อยู่ในนั้นจนถึงทุ่มนึง ท้องฟ้าเริ่มมืดตั้งแต่ห้าโมงกว่าๆ แต่ฝนก็ยังคงไม่หยุดตก แม้จะตกแบบปรอยๆ ก็ตาม เราก็เลยนั่ง/นอนเล่นกันอยู่ในห้อง เปิดเพลงฟังกัน แล้วก็วางแผนมื้อเย็นกันต่อ

    พอทุ่มนึงเราก็นั่งรถออกมา ไปตลาดอัมพวากันเหมือนเดิม และคราวนี้เราลงเรือไปตามหิ่งห้อยกัน



    พอพูดถึงหิ่งห้อย เพลงนิทานหิ่งห้อย ของเฉลียง ก็ลอยมาในหัวเราทันที (มันเป็นเพลงที่เราชอบมากๆ เลยล่ะ) เรานั่งเรือกันไปรอบเกาะเลย บรรยากาศมืดๆ ไม่มีเสียงอะไรนอกจากเสียงเครื่องยนต์ของเรือ กับเสียงพูดคุยของคนบนเรือนั้น มีแสงจากริมคลองในบริเวณบ้านพักตากอากาศ (เราไม่ชอบการนั่งเรือท่ามกลางความมืดและความเวิ้งว้าง มันน่ากลัว ท้องน้ำก็กว้างซะ แถมอากาศเย็นอีกด้วย แต่เราไม่ได้กลัวขนาดนั้นนะ มันเป็นแค่ความแพนิกนิดๆ ของเราเฉยๆ) พอล่องเรือไปเรื่อยๆ เจอจุดที่ไม่มีแสงสว่างใดนอกจากแสงจันทร์ ก็จะเจอหิ่งห้อยวิบวับอยู่บนต้นลำพู อยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อน บ้างก็กระพริบพร้อมกัน บ้างก็สลับกัน บางทีก็สลับกันข้างบนข้างล่าง บางคราวก็บินลอยไปหาอีกต้นก็มี มันเป็นความเพลิดเพลินอย่างบอกไม่ถูก เพลินตาและเพลินใจมากๆ เลยล่ะ ถ้าใครมาอัมพวาก็อยากให้มาล่องเรือไปหาหิ่งห้อยกัน ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งกับการล่องแม่น้ำ 15 กิโลเมตร เราว่ามันคุ้มเอามากๆ เลยนะ




    พอเรือกลับเข้าถึงท่าเรือในอัมพวาแล้ว เราก็เดินหาร้านข้าวกินมื้อเย็นกัน แล้วเราก็ไปจบที่ร้านบ้านทองโบราณ ร้านนี้อาหารอร่อยดี ต้มยำน้ำข้นรวมมิตรก็อร่อย กลมกล่อม สด สะอาด แล้วก็พนักงานบริการดี

    กว่าจะกินกันเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่ม เราไปเจอร้านขายของเล่น ของกินสมัยเด็กๆ แล้วก็รีบแวะกับเพื่อนเลย มีของเล่นนู่นนี่นั่นเยอะแยะเลย (แต่เราซื้อนมกล่องกลับไปนะ) เรียกได้ว่าร้านแถบนี้ปลุกความเป็นเด็กของเราให้กลับมาอีกครั้ง ในแถบนั้นมีร้าน และพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ให้เข้าชมได้ ภายในจัดไว้อย่างสวยงามและมีความเป็นพื้นบ้านเอามากๆ ด้วยเช่นกัน คนไม่เยอะเท่าเมื่อตอนกลางวัน ร้านรวงปิดกันไปเกือบหมด แต่ก็ยังคงมีให้เห็นอยู่เป็นระยะ

    เรานั่งรถกลับกันตอนสี่ทุ่มนิดๆ ฝนก็เริ่มตกปรอยๆ ลงมาอีกครั้ง เม็ดไม่หนาเท่าไหร่ แล้วเราก็จบวันด้วยการนอนเล่น พูดคุย และเล่นเกมกับเพื่อนๆ ก่อนจะแยกย้ายกันนอนในที่สุด



    เช้าวันถัดมา วันนี้เป็นวันที่สองและวันสุดท้ายที่จะอยู่ที่อัมพวาแล้ว เราตื่นเอาตอนเกือบจะเก้าโมง แดดด้านนอกเริ่มส่องเข้ามาแวบๆ แต่คนอื่นยังไม่ตื่นกัน เราก็เลยล้างหน้าล้างตาออกไปนั่งรับลมและแสงแดดด้านนอก (เพราะในห้องหนาวมาก หนาวจนนิ้วม่วงเลย) 




    ด้านนอกอากาศเย็นสบาย แดดไม่ร้อนเลยซักนิด บรรยากาศรอบๆ ตัวบ้านร่มรื่น มีต้นไม้และคูน้ำเล็กๆ มีของเงาร่มไม้เอาไว้คอยบังแดด ม้าหินและโต๊ะหินเอาไว้นั่งเล่นกัน ไม่อบอ้าวด้วยล่ะ (ลืมบอกว่าที่นี่มีบริการอาหารเช้าให้ด้วยล่ะ ให้เราเลือกระหว่างข้าวต้มกับเบรคฟาสต์; หอมกลิ่นขนมปังมาก ไข่ดาว ไส้กรอกและโบโลน่า)



    เราชอบบรรยากาศบ้านสวนที่นี่นะ นอกจากที่บอกไปคือเจ้าของก็เป็นกันเองมาก มีน้องหมาด้วย ชื่อ ป๊อกกี้ เป็นสาวน้อยที่สีตาสวยด้วยล่ะ บ้านแต่ละหลังของเขาถึงจะอยู่ใกล้กัน แต่ก็มีความเอกเทศ คือมีสัดส่วนเฉพาะ ไม่ยุ่งเกี่ยวกันเลย ทางเดินให้บรรยากาศบ้านสวน มีต้นไม้ปลูกเรียงราย มีพุ่มไม้เต็มไปหมด รู้สึกโชคดีที่ไปสองวันนี้แล้วแดดไม่แรง อากาศไม่ร้อน



    เรานั่งรถออกมาจากบ้านสวนไปลงที่วัดพระยาญาติก่อนจะข้ามฝั่งไปนั่งกินข้าวเที่ยงที่ร้าน ณ คิดถึง (ที่เป็นส่วนหนึ่งของรีสอร์ตชูชัยบุรีศรีอัมพวา) อาหารราคาไม่แพง (แม้ร้านจะดูหรูมากก็ตาม) บรรยากาศภายในร้านสวยมาก เป็นเครื่องไม้หมดเลย มีบาร์ด้วย เข้าไปนั่งแล้วรู้สึกเหมือนเป็นคุณหนูเลย อาหารอร่อยด้วยนะ 


    มีเซตของทอดที่เราติดใจมากเลย เป็นทอดมัน ปอเปี๊ยะ (แต่ต้องระวังก้างดีๆ นะ เพื่อนเราโดนไปแล้ว) ถุงทอง (ไส้กะเพรา)  ราดมัสมั่น อีกอย่างที่เราชอบคือแกงเขียวหวาน ปกติที่กินมันจะไม่หวานมากไปเลยก็เผ็ดจี๊ด แต่อันนี้มันกลมกล่อมดี ความหอมนวลของกะทิกับรสเผ็ดนิดๆ รวมถึงกลิ่นหอมๆ ของมันด้วย คิดแล้วยังอยากกลับไปกินเลยเนี่ย



    หลังจากกินข้าวเสร็จ พี่ก็พาไปยังชูชัยบุรี (ในนั้นนอกจากเป็นที่พักแล้วยังมีขายของฝาก และที่นมัสการเทพเจ้าฮินดู พระพิฆเนศด้วยล่ะ) บรรยากาศภายในนั้นไม่ร้อนมาก (แม้ต้นไม้จะไม่มากเท่าไหร่) แต่ก็ยังมีร่มเงาให้หลบแดดบ้าง ห้องน้ำสะอาดและสวยมากด้วย (ก็เขาเป็นรีสอร์ตน่ะนะ) แล้วก็ไปไหว้พระพิฆเนศกัน (ส่วนเราก็อยู่ด้านนอกเหมือนเคย)






    ไม่นานฝนก็เทลงมา เหมือนเมื่อวานเลยจ้า ตกปรอยๆ แต่มีหลังคายื่นออกมาจากบ้านพักต่างๆ เลียบคลองทำให้ไม่ค่อยโดนฝนกันเท่าไหร่ บรรยากาศริมคลองมีคนเดินบ้างประปราย แต่น้อยมาก เพราะมันเป็นโซนของบ้านพักตากอากาศ ลมเย็นสบาย เราก็เดินกันจนมาถึงส่วนของตลาด นั่นแหละครับท่านผู้อ่าน คนเยอะพอๆ กับเมื่อวานเลย 


    เราก็ยังคงเดินเล่นไปเรื่อยๆ ของขายเพียบ มีร้านขายอาหารทะเล ขายขนมหวาน ขายปลาทูกันให้เพียบ มีร้านขายของฝากด้วย หลังจากนั้นเราก็เดินเลาะตลาดไปเรื่อยๆ จนออกมาถึงถนนด้านนอก เพื่อมารอรถเพื่อกลับกรุงเทพกัน

    ทริปครั้งนี้เป็นทริปที่เราแฮปปี้มากๆ ได้กลับมาเที่ยวกับเพื่อน นอนพักกับเพื่อน ในสถานที่ที่เพลินใจ มีความสุขมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก (อยากใส่ ก.ไก่ สักล้านตัว) ดีใจที่ได้กลับมาเที่ยวด้วยกันอีกครั้ง

    แม้ทริปนี้จะมีแต่การกิน กิน และกิน แต่ก็เป็นทริปหนึ่งที่เรามีความสุข เรารักการออกเที่ยว มันทำให้สมองปลอดโปร่ง คลายเครียด และทำให้เรายิ้มได้

    ขอบคุณเพื่อนๆ และพี่ ที่พาเราไปเที่ยวด้วย 

    :)



    ปล. ค่าเดินทางและล่องเรือ
    - ค่ารถตู้จากสายใต้ใหม่ไปอัมพวา 70 บาท
    - ค่ารถตู้กลับจากอัมพวาไปเซนทรัลปิ่นเกล้า 70 บาท
    - ค่าล่องเรือดูหิ่งห้อย 60 บาท
    - ค่าล่องเรือไหว้พระ 5 วัด 50 บาท




เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in