เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First Storyalsumn
#แวมไพร์อง

  • 1


              ละอองหิมะสีขาวที่เริ่มโปรยปรายลงมา เรียกให้เจ้าของเสื้อโค้ทตัวยาวสีครีมต้องจับฮู้ดขึ้นมาสวมศีรษะไว้ มือเล็กถูกันไปมาอย่างเติมความอบอุ่นให้ ก่อนที่เท้าจะทำหน้าที่พาเข้าไปยังรั้วโรงเรียนขนาดใหญ่ ทางเดินทุกแห่งของโรงเรียนโรยเต็มไปด้วยกรวด ส่วนรอบข้างก็รายล้อมไปด้วยต้นสนตลอดทาง กลิ่นหอมอ่อนๆจากแปลงดอกกุหลาบขาวตามทางเดิน สร้างความผ่อนคลายให้แก่เจ้าตัวไม่น้อย ถึงแม้จะรู้สึกเศร้าใจกับการต้องออกจากบ้านเพื่อมาเรียนต่อในเมืองนี้ แต่เขากลับรู้สึกว่าภูมิทัศน์ของโรงเรียนมันเหมือนกับการอยู่บ้านไปกลายๆเลยก็ว่าได้ เพราะโรงเรียนแบบที่ฮาซองอุนเคยคิด คือโรงเรียนที่มีสิ่งก่อสร้างทันสมัยมากมาย แต่พอได้มาเห็นกับตาตัวเองเข้าแล้ว ความคิดพวกนั้นก็ต้องถูกพับทิ้งลงไป เพราะโรงเรียนนี้มันทำให้เขารู้สึกชอบและอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด มันให้ความรู้สึกเหมือนโรงเรียนฮอกวอตส์จากเรื่องแฮรี่พอตเตอร์ที่ซองอุนมักหยิบมาเปิดดูบ่อยๆยามเบื่อ


              แต่ส่วนที่แตกต่างระหว่างโรงเรียนนี้กับหนังเรื่องที่เขาชอบดูคือ อาจารย์และนักเรียนของโรงเรียนนี้ล้วนเป็นแวมไพร์กันหมดทุกคน!!


              อย่าเพิ่งคิดไปว่า มนุษย์อย่างซองอุนจะโดนดูดเลือดหรือโดนทำร้ายจากคนพวกนี้ได้ เพราะสมัยนี้เผ่าพันธุ์ทุกอย่างได้พัฒนากันไปหมดแล้ว ไม่เว้นแม้แต่แวมไพร์ ที่แทบไม่มีความหมายอีกต่อไป พวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนกับมนุษย์ทุกอย่าง ทั้งการโดนแสงแดดหรือทานอาหาร แต่คุณพ่อกับคุณแม่เคยบอกซองอุนไว้ว่า ถ้าแวมไพร์ได้ทานอาหารพวกเครื่องในสัตว์จะทำให้มีพลังงานเยอะมากขึ้นกว่าอาหารทั่วไป เช่นเดียวกับการถ่ายทอดความรู้สึกผ่านทางการจูบ ที่จะทำให้พลังของพวกเขาเพิ่มขึ้นมากเช่นเดียวกัน แต่ซองอุนก็ไม่ได้ฟังรายละเอียดอะไรมากนัก เพราะตอนนั้นเรื่องที่เขาอยากรู้คงหนีไม่พ้นการถ่ายทอดกรรมพันธุ์มากกว่า คุณหมอประจำตระกูลบอกว่ามีแค่หนึ่งในล้านเท่านั้นที่พ่อแม่เป็นแวมไพร์แล้วลูกจะไม่ได้เชื้อกรรมพันธุ์เหล่านั้นสืบทอดตามมา ซึ่งซองอุนก็คือหนึ่งในนั้น คุณหมอยังบอกอีกด้วยว่า เคสนี้สามารถบ่งบอกได้ว่า ในอนาคต แวมไพร์จะมีแนวโน้มค่อยๆสูญหายไป


              ในความคิดของซองอุน เขาคิดว่ามันคงไม่มีผลร้ายแรงอะไรมาก เพราะตอนนี้แวมไพร์ทุกคนก็ใช้ชีวิตได้เหมือนกับมนุษย์ทุกอย่างอยู่แล้ว แม้บางทีจะทนกับแสงแดดจ้านานๆไม่ได้ก็ตาม


              เท้าเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าสำนักหอพัก ก่อนที่ดวงตาคมกริบในกรอบแว่นจะเงยขึ้นมาสบกับเขา ซึ่งมันก็ดูน่าเกรงขามมากพอที่จะทำให้ดวงตาซองอุนผลุบตาต่ำลงด้วยความกลัวอย่างง่ายดาย


              “มีธุระอะไร?”


              “ผมฮาซองอุนครับ เป็นนักเรียนใหม่ของที่นี่” ดวงตาที่เคยดูน่าเกรงขามแปรเปลี่ยนเป็นความนุ่มลึกขึ้นมา ก่อนที่ริมฝีปากบางเส้นตรงจะคลี่ยิ้มออกมาให้ซองอุน พลางยื่นกุญแจห้องพักให้ พร้อมทั้งรับเอกสารในมือซองอุนมาอย่างนอบน้อม ซึ่งมันก็แตกต่างจากท่าทางเมื่อกี้ที่แทบจะกินหัวเขาเลยด้วยซ้ำ


              “ฉันคิดว่าคุณเป็นพวกมนุษย์ที่มาสมัครเรียนเพื่อคอยสอดแนมที่นี่เสียอีก ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณซองอุน ฉันเอลว่า เป็นผู้ดูแลหอพักชายที่นี่” ซองอุนรู้ดีว่าสาเหตุที่ทุกคนต่างพากันไม่ชอบมนุษย์มันมาจากอะไร คนเหล่านั้นชอบมาสมัครเรียนที่นี่เพื่อเอาข้อมูลไปทำวิจัยเกี่ยวกับแวมไพร์ มันจะไม่มีอะไรมากเลยถ้ามนุษย์พวกนั้นไม่สร้างความเดือดร้อนให้แวมไพร์ที่นี่ โรงเรียนเลยมีนโยบายใหม่ว่าจะรับนักเรียนแค่พวกที่เป็นแวมไพร์เท่านั้น แต่ซองอุนคือกรณีพิเศษ เพราะคนที่รับเขาเข้ามาเรียนที่นี่คือคุณอาแท้ๆผู้มีศักดิ์เป็นเจ้าของโรงเรียนแห่งนี้ และดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะรู้สึกผิดอยู่นิดหน่อยที่ขึ้นเสียงใส่เขา


              ซองอุนโค้งให้คนตรงหน้าเป็นการแสดงความเคารพ พลางหยิบกุญแจห้องมาถือไว้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวไปห้องพักตัวเอง น้ำเสียงนุ่มก็เอ่ยพูดขึ้นมาก่อน


              “ถึงแม้ว่าแวมไพร์จะไม่ได้ดื่มเลือดเหมือนเมื่อก่อน ฉันก็ไม่อยากให้คุณวางใจพวกเขามากนัก เพราะยังไงคุณก็ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์”


              ประตูบานไม้สีขาวสะอาดตาที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าสร้างความหวั่นใจให้ซองอุนขึ้นมาไม่น้อย ถึงแม้ว่าเขาจะทำใจมาบ้างแล้วว่าต้องอยู่ร่วมกับพวกแวมไพร์ แต่ไม่ว่ายังไงก็รู้สึกกลัวอยู่ดี เขาไม่รู้เหมือนกันว่าแวมไพร์พวกนี้จะมีนิสัยเหมือนกับพ่อแม่หรือครอบครัวของเขาหรือเปล่า มันคงลำบากน่าดูถ้านิสัยของซองอุนจะเข้ากับเพื่อนร่วมห้องไม่ได้


              มือเล็กเอื้อมไปจับที่ลูกบิดอย่างหวั่นๆ แต่ยังไม่ทันได้หมุน ประตูก็ถูกกระชากเปิดโดยฝีมือคนข้างในก่อน พร้อมกับร่างของซองอุนที่ทรงตัวไม่อยู่ ทำให้ล้มลงไปข้างหน้า ยังดีที่มือเจ้าของร่างด้านในรับตัวเขาไว้ได้ทัน ลมหายใจเย็นเฉียบที่รดอยู่บนศีรษะพร้อมกับท่อนแขนแข็งแรงที่กระชับอยู่ตรงบั้นเอว เรียกให้ก้อนเนื้อข้างซ้ายของซองอุนเต้นรัวขึ้นมาอย่างตกใจ ก่อนที่เสียงนุ่มจะเอ่ยเบาๆที่ข้างหู


              “กลิ่นมนุษย์มันหอมแบบนี้นี่เอง…” ซองอุนรีบสลัดร่างคนตรงหน้าออกทันที ดวงตากลมโตช้อนขึ้นสบกับอีกคน ก่อนจะต้องผงะไปกับความดูดีของคนตรงหน้าที่เขาแทบไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน ดวงตาคมมีเสน่ห์ที่ซ่อนความขี้เล่นอยู่ในนั้น จมูกโด่งที่รับกับริมฝีปากบางได้อย่างดี ไหนจะรอยยิ้มมุมปากที่เสริมให้ใบหน้าหล่อดูดีมากขึ้นนั่นอีก ซองอุนไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า บนโลกใบนี้จะมีแวมไพร์ที่ดูดีได้ขนาดนี้


              “จ้องขนาดนี้ฉันจะท้องไหม?”


              “ขะขอโทษครับ!” ซองอุนรีบเอ่ยขอโทษคนตรงหน้า พลางผลุบตาลงต่ำ ความเปียกชื้นที่ฝ่ามือมันบ่งบอกได้อย่างดีว่าเขากำลังตื่นกลัวกับสถานการณ์ตอนนี้ ไม่กล้าแม้แต่จะสบสายตากับคนตัวสูงอีกครั้ง


              “แล้วมาทำอะไรที่นี่?”


              “ผมย้ายมาอยู่ที่ห้องนี้ครับ”


              “ว่าไงนะ!?” น้ำเสียงกระชากจากคนตรงหน้าทำให้ร่างซองอุนสะดุ้งด้วยความตกใจ พลางเดินก้าวถอยหลังเมื่อเห็นว่าอีกคนเริ่มเดินเข้ามาประชิดเรื่อยๆ ก้าวไปไม่ได้เท่าไร แผ่นหลังก็รับรู้ได้ถึงพื้นผนังเย็นเฉียบที่ทำให้ซองอุนทราบดีว่าตอนนี้ตัวเองกำลังจนมุม มือเรียวที่เท้ากับผนังไว้ทั้งสองข้างทำให้เขาไม่สามารถหลบหนีออกไปไหนได้เลย ซองอุนไม่เข้าใจว่าผู้ชายตรงหน้าต้องการอะไร


              “คุณจะทำอะไร?”


              “ตอนนี้ฉันไม่ทำอะไรนายหรอก แต่ถ้านายยังดึงดันที่จะอยู่ในห้องนี้เราคงมีเรื่องต้องคุยและต้องทำกันอีกยาว” คิ้วคู่สวยขมวดเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจ ถ้าไม่ให้อยู่ที่นี่จะให้เขาไปอยู่ตรงไหนได้ ไม่รอให้สมองได้คิดประมวลผลนาน คนตรงหน้าก็เอ่ยบอกคำตอบออกมา


              “ฉันเกลียดที่จะต้องอยู่ร่วมกับมนุษย์ หวังว่านายคงเข้าใจ”


              “ทำไม—”


              “อย่าถามหาเหตุผล เกลียดคือเกลียด เข้าใจไหม?!” ร่างซองอุนสะดุ้งพยักหน้าให้อย่างตกใจเมื่อเห็นว่าใบหน้าหล่อเริ่มคืบคลานเข้ามาใกล้ ลมหายใจที่รดอยู่ตรงต้นคอมันทำให้เขาหาข้อแตกต่างได้อีกหนึ่งอย่างว่า อุณหภูมิร่างกายระหว่างแวมไพร์กับมนุษย์มันต่างกันมาก แต่คุณพ่อเคยบอกว่า ถ้าได้เติมพลังหรือออกแดด อุณหภูมิผิวของแวมไพร์จะสูงขึ้นมาจนเกือบเทียบเท่ากับมนุษย์ได้เหมือนกัน


              “ผิวฉันเย็นใช่ไหมล่ะ?”


              “หะ? อ่า ก็นิดนึง”


              “เพราะช่วงนี้ฉันไม่ค่อยได้ไปจูบกับใคร ผิวมันเลยเย็นแบบนี้ สงสัยคืนนี้ต้องหาสาวมานอนสักคนแล้ว” ซองอุนทำได้แค่พยักหน้าให้อย่างส่งๆ ก่อนที่ร่างของเขาจะสะดุ้งเป็นรอบที่สามของวัน เมื่อคนตัวสูงยื่นใบหน้าเฉียดเข้ามาใกล้อีกครั้ง


              “เห็นมีคนบอกว่าจูบกับมนุษย์แล้วพลังของแวมไพร์จะแกร่งกล้าขึ้นเยอะ นายคิดว่าไง?” แววตาที่แสดงถึงความเจ้าเล่ห์พร้อมกับรอยยิ้มกวนๆทำให้ซองอุนต้องรีบถดใบหน้าหนีออกไปอีกครั้ง แต่มันก็เท่านั้น เพราะตอนนี้ร่างกายเขาแทบขยับออกไปไหนไม่ได้เลย ริมฝีปากอิ่มที่เม้มแน่นค่อยๆเปิดปากพูดออกมาเสียงเบา


              “แต่ถ้าเป็นธาตุตรงข้ามกัน คุณจะสูญเสียพลังงานแทน”


              “เป็นห่วงฉันหรอ?” ดวงตากลมเงยขึ้นไปสบกับอีกคนอย่างตกใจ ก่อนที่เขาจะรู้สึกเหมือนถูกมนต์สะกดอีกครั้ง เพราะดวงตาแสนมีเสน่ห์คู่นี้ ที่ทำให้บรรยากาศรอบตัวหยุดไปกลางคัน ซองอุนคิดว่าบนโลกใบนี้จะมีแค่ผู้หญิงเสียอีกที่มีดวงตาสวยๆได้ แต่ตอนนี้กลับมีผู้ชายตรงหน้า ที่มีดวงตาสวยเสียยิ่งกว่าผู้หญิง ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่ร่างซองอุนจะสะดุ้งจนตัวโยน เมื่อนิ้วโป้งเย็นเฉียบของคนตรงหน้าแตะมาที่แก้มเขาเบาๆ พลางลูบไล้ไปทั่วอย่างช้าๆ ซองอุนคิดว่าเขาควรจะหลีกหนีสัมผัสนี้ แต่ก็เพราะดวงตาคู่นั้นแหล่ะ ที่มันสะกดร่างเขาไว้


              “ผิวมนุษย์มันอุ่นแบบนี้นี่เอง ว่าแต่นายเป็นธาตุอะไรล่ะ..?”


              “ผม…ธาตุลม…” มุมปากยกยิ้มขึ้นมาช้าๆ ก่อนจะก้าวถอยหลังออกมาจากอีกคน พลางเดินไปหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมา ไม่ลืมที่จะหันไปพูดกับซองอุนที่กำลังยืนนิ่งตะลึงเหมือนรูปปั้น


              “เขาว่ากันว่า ถ้าแวมไพร์จูบกับมนุษย์ธาตุเดียวกัน…” รอยยิ้มระบายกว้างมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกคนหันมาสนใจกับสิ่งที่เขากำลังจะพูด


              “พลังงานจะเพิ่มขึ้นจนไม่ต้องกินข้าวไปหลายวันเลยล่ะ…”










              ปังๆๆๆๆๆๆ


              เสียงเคาะประตูในยามค่ำคืน เรียกให้คนที่กำลังนอนหลับใหลอยู่บนเตียงนอนนุ่มต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างตกใจและหัวเสียไปพร้อมๆกัน มือยกขึ้นมาเกาที่ศีรษะสองสามครั้ง ก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว


              “มีไร!!...ครับ…” จากน้ำเสียงก้าวร้าวก็แปรเปลี่ยนเป็นสุภาพทันที เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนทำหน้าถมึงทึงมาเคาะประตูชาวบ้านค่ำมืดดึกดื่นคือใคร ส่วนข้างๆกันนั้นมีเจ้ามนุษย์หน้าโง่ที่ได้ออกปากไล่มันไปเมื่อช่วงเย็นยืนอยู่ด้วย ซึ่งมันก็ทำให้เขาพอจะเดาออกว่าเจ้าหมาบ้ามันมาหาทำไมตอนนี้


              “องซองอู!! นายมีสิทธิ์อะไรมาไล่เพื่อนร่วมห้อง!!”


              “คือผมไม่สามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์ ผมมีเหตุผล—”


              “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลเรื่องอะไรตาม นายก็ไม่ควรไล่คนอื่นออกไปแบบนี้ รู้ไหมว่าเพื่อนนายต้องทนนั่งหนาวทนบริจาคเลือดให้ยุงนานขนาดไหน และไอ้สาเหตุพวกนั้นมันก็มาจากความเห็นแก่ตัวของนายคนเดียว!!” ไม่รู้เพราะความสงสารจากสิ่งที่รุ่นพี่ตรงหน้าเล่าให้ฟังหรือรำคาญเสียงบ่นกันแน่ที่ทำให้ซองอูยอมให้ซองอุนเข้ามาอยู่ร่วมห้องจนได้ เขาไม่เคยอยู่ร่วมกับมนุษย์และไม่อยากอยู่ด้วย เพราะจากเหตุการณ์ที่ตัวเองประสบมาคราวนั้นที่ทำให้ซองอูตั้งแง่ว่าพวกมนุษย์มันเลวๆเหมือนกันหมด ถ้าเขาไม่เจอกับเหตุการณ์พวกนั้น คงไม่เกิดอาการขยาดเวลาเจอมนุษย์มาจนถึงทุกวันนี้


              มันเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้องซองอูมีบาดแผลในใจ…


              “ที่ฉันให้นายเข้ามาอยู่ ไม่ใช่ว่าพิศวาสอะไรหรอกนะ ฉันรำคาญเสียงบ่นของไอ้หมาบ้าคิมแจฮวานต่างหาก” ซองอุนที่กำลังเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้พยักหน้าให้อย่างเข้าใจ ฟังจากบทสนทนาของทั้งคู่ก็พอจะรู้แล้วว่าเพื่อนร่วมห้องของเขาไม่ถูกกับรุ่นพี่ผู้มีศักดิ์เป็นประธานหอพักมากนัก


              “ฉันจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้นาย”


              “ก็ดี และนายต้องฟังกฎสามข้อของการการอยู่ร่วมกับฉันไว้ด้วย” ซองอูกอดอกขึ้นมาอย่างวางอำนาจ ก่อนจะร่ายกฎให้ซองอุนที่กำลังนั่งฟังอย่างตั้งใจฟัง


              “ข้อแรก เก็บกวาดห้องให้สะอาดห้ามทำรกเด็ดขาด ข้อสอง ห้ามมายุ่มย่ามกับเรื่องส่วนตัวและของของฉัน ข้อสาม ห้ามขอให้ฉันพาไปไหนเด็ดขาด เพราะฉันถือคติว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน!!!”












              “องซองอู ตื่นได้แล้ว!!!” ซองอุนเขย่าร่างคนที่กำลังหลับเป็นตายอยู่บนเตียงด้วยความหัวเสียสุดๆ เพราะทุกเช้าวันศุกร์ของโรงเรียนจะมีการจัดกิจกรรมวิ่งออกกำลังกายระหว่างหอพัก ซึ่งแน่นอนว่าหอไหนมีคนไปครบมากที่สุด จะได้รับรางวัลเป็นเงินตอบแทนไว้ใช้จัดปาร์ตี้ ซึ่งรุ่นพี่แจฮวาน ก็ได้หมายมั่นปั้นมือกับเงินก้อนนี้ไว้เป็นอย่างมาก


              โรงเรียนที่เขาอยู่แบ่งออกเป็นสถานศึกษาและหอพักไว้อย่างชัดเจน ซึ่งหอพักหญิงจะแยกตัวไปอีกฝั่ง เพื่อป้องกันการนัดเจอกันระหว่างนักเรียน แต่ซองอุนคิดว่ามันไม่เป็นปัญหาสำหรับซองอูเลยสักนิด เพราะหมอนั่นสามารถนัดเจอเหล่าผู้หญิงพวกนั้นได้ง่ายๆเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก หอพักชายของที่นี่แบ่งออกเป็นสี่หอด้วยกัน ซึ่งการแบ่งหอพักนั้นจะให้นักเรียนที่เข้ามาทำแบบสอบถามก่อน เพื่อจะคัดคนไปอยู่ตามหอพักนั้นๆ ไม่ใช่ว่าการคัดนักเรียนนี้จะเป็นการแยกพวกคนดีคนไม่ดี มันเป็นแค่การแยกลักษณะนิสัยเท่านั้น ซึ่งชื่อหอพักก็จะสอดคล้องตามความหมายและนิสัยของนักเรียนนั่นเอง กลุ่มแรก หอลูเซโร่ เป็นศูนย์รวมของพวกคิดแง่บวกและร่าเริง คนก่อตั้งได้ให้คำนิยามไว้ว่า แสงสว่างของโรงเรียนมันมาจากความคิดของเด็กในหอพักนี้ กลุ่มที่สอง หออาร์เรียว หอพักของคนที่รักความยุติธรรมและความสงบสุข อาจารย์วิชาภาษาฝรั่งเศสเคยบอกในชั้นเรียนว่าคนที่จะอยู่หอนี้ได้ต้องทำแบบสอบถามมาให้ดูเป็นพ่อพระแม่พระมากที่สุดแค่นั้น ซึ่งซองอุนคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำแบบนั้นแน่ๆ หอพักที่สาม พวกเนบาดา ก็แค่เป็นหอพักที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าอีกหน่อย เหมาะสำหรับคนที่ติ๊กลงไปในแบบสอบถามว่าชอบอากาศหนาวๆเท่านั้น และสุดท้าย หอที่ซองอุนพักอาศัยอยู่ ดีเวน หอพักของคนที่ติ๊กลงไปในช่องว่าชอบเสียงดนตรีมากกว่าอากาศหนาวๆ จะว่าไงดีล่ะ ซองอุนคิดว่าตัวเองรักเสียงเพลงมากกว่าไอ้อากาศหนาวๆ การทำตัวเป็นพ่อพระ หรือแม้แต่การทำตัวสดใสบ้าบอไปวันๆกว่าซะอีก แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าคนในหอนี้ไม่ได้รักเสียงเพลงอะไรเลยสักนิด เขาคิดว่าพวกนี้รักการตะโกนคุยโหวกเหวกมากกว่า ยกตัวอย่างรุ่นพี่แจฮวานกับเจ้าซองอู เป็นต้น


              ซึ่งการแข่งขันพวกนี้มันเลยกลายเป็นศึกศักดิ์ศรีระหว่างหอพักไปโดยปริยาย มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ประธานหอพักจะทุ่มเทให้มากมายขนาดนี้ แต่ก่อนอื่น ซองอุนควรปลุกเจ้าขี้เกียจสันหลังยาวบนเตียงซะก่อน


              “ย่าห์!! องซองอู จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหนวะ!?”


              “กฎข้อที่สอง ห้ามมายุ่มย่ามกับเรื่องส่วนตัวและ—” ซองอุนตะปบมือลงไปที่ริมฝีปากอีกคนก่อนจะได้เอื้อนเอ่ยจบอย่างนึกรำคาญ เดือนแรกๆก็ทำเป็นเคร่งครัดกฎแบบนี้นี่แหละ แต่พอเป็นเพื่อนกันมาได้หนึ่งปีเศษ ซองอูก็เริ่มออกลายแหกกฎทุกอย่าง เรื่องข้าวของนี่ไม่อยากบอกเลยว่ารกตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้ามา เรื่องส่วนตัวนี่อีก ก็ไม่ใช่ไอ้หมอนี่หรอที่แอบมาอ่านไดอารี่ของเขาอยู่บ่อยๆ หรือแม้แต่กางเกงในที่มันกล้ามาขอยืมใส่ แต่อย่าหวังเลยว่าซองอุนจะให้ เพราะขนาดมันดูจะต่างกันไปนิดนึง… และเรื่องที่ซองอุนเกลียดมากสุดคงไม่เว้นการบอกให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เหอะ… อะไรคือการมาชวนเราเข้าผับเข้าบาร์ทุกวัน ไหนจะต้องมาคอยจ้ำจี้จ้ำไชให้ทำนู่นนี่อีก บางทีซองอุนก็คิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นเพื่อนร่วมห้องตามคำนิยามอะไรที่ซองอูมันพูดๆหรอก เหมือนตัวเองเป็นคนใช้มากกว่า


              “หุบปากแล้วตื่นขึ้นมาซะดีๆ วันนี้มีกิจกรรมนะโว้ย!!”


              “ฉันไม่อยากไป”


              “องซองอู!!”


              “ไม่เอาน่าซองอุน นายก็รู้ว่าอากาศหนาวๆแบบนี้เราควรเลือกที่จะนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มมากกว่าการไปวิ่งเหมือนคนบ้าให้พวกอธิบดีหัวล้านมานั่งดูเล่น” ซองอุนจัดการดึงร่างซองอูให้ลุกขึ้นมาด้วยแรงทั้งหมดที่มี พลางตบที่แก้มอีกคนเบาๆเพื่อเรียกสติ


              “ไอ้อธิบดีหัวล้านที่นายกำลังพูดถึงคืออาของฉันนะ!”


              “อุ๊บ! ขอโทษนะ แต่ฉันไม่ไปหรอก” เอ่ยเสร็จสรรพ ซองอูก็ทิ้งตัวลงนอนที่เตียงอีกครั้ง พลางดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเพื่อกันไม่ให้ซองอุนมาวอแวได้อีก ซองอุนจึงทำได้แค่ถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ สุดท้ายแล้วก็เป็นตัวเขาเองที่ต้องแบกหน้าไปให้รุ่นพี่แจฮวานด่าฉอดๆอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าเย็นนี้ซองอูมันต้องโดนทำโทษตามระเบียบไปแน่ๆ










              “นี่จะใจจืดใจดำไม่มาช่วยกันบ้างหรอ มือฉันแข็งหมดแล้วนะ!?” ซองอุนเบะปากให้ซองอูที่กำลังนั่งตัดหญ้าอยู่บริเวณรอบๆหอพัก อย่างว่าแหละ เขาเรียกกรรมตามสนอง ไม่ไปวิ่งตอนเช้าก็ต้องมารับกรรมตัดหญ้าตอนค่ำ ซึ่งบอกเลยว่าอากาศตอนนี้มันก็หนาวไม่ต่างกับตอนเช้ามืดเลย แต่สำหรับซองอุนแล้วเขารู้สึกสบายใจกับอากาศแบบนี้ เพราะการได้นอนดูหิมะโปรยลงมาพร้อมกับสูดกลิ่นหอมอ่อนๆจากแปลงดอกกุหลาบขาวมันช่วยเติมพลังให้ร่างกายเขาได้อย่างดีเยี่ยม


              “ซองอุน ฉันคิดว่าพลังงานตัวเองมันไม่มีเหลือแล้ว”


              “แล้ว..?”


              “ก็ช่วยฉันหน่อยสิ” ริมฝีปากที่เผยอออกมาเป็นเชิงเรียกร้องให้จูบทำให้ซองอุนตบเข้าที่ปากซองอูแรงๆหนึ่งครั้ง พลางยื่นขวดซุปเครื่องในที่ไปซื้อมาไว้ตั้งแต่เมื่อเย็นให้ซองอู ซึ่งอีกคนก็ทำตาลุกวาวขึ้นมาทันที ก่อนจะจัดแจงเทซุปลงในถ้วยกระเบื้อง จากนั้นก็ตักกินด้วยความหิวโหย ไม่ลืมที่จะเงยขึ้นมาพูดขอบคุณซองอุน


              “ขอบคุณนะ นายนี่รู้ใจฉันที่สุดเลย”


              “เคี้ยวให้ละเอียดก่อนพูดสิวะ ฉันล่ะอยากจะถ่ายรูปให้ผู้หญิงพวกนั้นดูจริงๆ จะได้รู้ว่าองซองอูคนหล่อที่คอยโปรยเสน่ห์ให้ แท้จริงคือผู้ชายโครตซกมก”


              “ฉันก็จะถ่ายรูปตอนที่นายนอนน้ำลายไหลยืดไปประจานเหมือนกัน”


              “ยังไงฉันก็เสียหายน้อยกว่านายอยู่แล้ว”


              “แน่ใจหรอ? แล้วถ้าฉันตั้งกล้องแอบถ่ายนายตอนอาบน้ำล่ะ?”


              “แกเป็นโรคจิตหรอ!?” ซองอุนฟาดมือเข้าที่ไหล่ซองอูไปหนึ่งทีเน้นๆ ก่อนจะเดินไปจัดการตัดหญ้าส่วนที่เหลือของซองอูให้ เขาขี้เกียจที่จะต้องมานั่งรอให้หมอนี่มันตัดแล้ว ช่วงค่ำแบบนี้รายการเพลงกำลังจะมา ซองอุนจึงไม่ควรมาหายใจทิ้งเปล่าๆอยู่ด้านนอก ถึงแม้จะรู้สึกชอบบรรยากาศดีๆแบบนี้มากก็ตาม


              “น่ารักที่สุด”


              “หุบปากแล้วกินๆไปซะ ไม่งั้นฉันจะเอาเสียมนี่แทงปาก…นาย…?” ซองอุนหันหลังไปหาซองอูพลางทำท่าจะเอาเสียมแทงปากอีกคนจริงๆ แต่แล้วเขาก็ต้องเกิดความงุนงงเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าซองอูกำลังยืนจ้องหน้าใครสักคนอยู่ เขาไม่เห็นแววตาของซองอูเพราะหมอนั่นหันหลังให้ เขาเห็นแค่แววตาของผู้ชายตรงข้ามคนนั้น มันเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงหาและอาทร แต่ยังไม่ทันที่ซองอุนจะได้เอ่ยปากถามอะไร เสียงซองอูก็ดังขัดขึ้นมาก่อน


              “ฉันว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว!!” และร่างของซองอูก็เดินลิ่วออกไป ไม่สนใจเสียงเรียกของซองอุนเลยสักนิด ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะเดินเข้ามาหา


              “นายเป็นเพื่อนร่วมห้องของซองอูใช่ไหม?” ซองอุนพยักหน้าให้สองสามครั้ง ก่อนจะได้รับรอยยิ้มอ่อนจากคนตรงหน้า


              “ฉันชื่ออีแดฮวีนะ เพิ่งย้ายเข้ามาวันนี้”


              “อ่า ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉันฮาซองอุน”


              “จะเรียกว่าเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ก็ไม่ถูก เพราะฉันเข้าเรียนที่นี่ตั้งแต่เกรดเจ็ดแล้ว และเพิ่งกลับจากการไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกามา และตอนแรก…ฉันก็เป็นเพื่อนร่วมห้องของซองอูด้วย” ซองอุนได้แต่พยักหน้าให้คนตรงหน้าอย่างงุนงง เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่ามายืนฟังเรื่องราวพวกนี้ทำไม จะพูดว่าเป็นการสานสัมพันธ์มันก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะคนตรงหน้าดูจะถามถึงแต่เรื่องของซองอู


              “เราสองคนเคยคบกัน


              “อ่า…งั้นหรอ...” ตอนนี้ซองอุนกำลังรู้สึกแปลกๆ มือไม้มันเริ่มเกะกะตัวไปเสียหมด


              “ฉันเลยอยากให้นายช่วย…”










              ตลอดทางเดินในหอพักที่ปูไปด้วยหินอ่อนจนสร้างเสียงรองเท้ากระทบกับพื้นได้อย่างดี แต่มันคงไม่ดังเท่ากับร้อยความคิดในหัวของซองอุนตอนนี้ แดฮวีเคยคบกับซองอูมาก่อน และมาขอร้องให้เขาช่วย แน่นอนว่าซองอุนไม่อยากทำ แค่เรียนเขาก็ปวดหัวอยู่แล้ว ทำไมต้องมายุ่งกับเรื่องพรรค์นี้ด้วย แต่ทว่า…แววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของอีกคนมันทำให้ซองอุนปฏิเสธไม่ลง เขาไม่รู้ว่าทั้งสองทะเลาะอะไรกัน แต่ดูเหมือนซองอูจะโกรธน่าดู ถึงหุนหันออกไปแบบนั้น


              ความจริงแล้วมันไม่ใช่แค่เรื่องเรียนเหตุผลเดียวหรอกที่ทำให้ซองอุนไม่อยากช่วยเหลือ เพราะเรื่องใหญ่สุดคงหนีไม่พ้นความรู้สึกของตัวเอง เขาทำใจไม่ลงที่จะช่วยให้คนที่ตัวเองแอบรักมานานสมหวังกับคนอื่น มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย


              เพราะซองอุนก็แอบรักซองอูเหมือนกัน…


              “อ๊ะ!” ในระหว่างที่กำลังเดินไปยังห้องพัก แขนของเขาก็ถูกมือใครบางคนรั้งไว้ก่อน ดวงตาที่เต็มไปด้วยความลึกลับและอยากรู้อยากเห็นมันทำให้ซองอุนเกิดความรู้สึกหวั่นกลัวขึ้นมาเล็กน้อย สายตาแบบนี้มันเหมือนกับพวกแวมไพร์ที่จ้องจะกินเลือดของมนุษย์แบบในละครที่เขาเคยดูชัดๆ


              “นายคือฮาซองอุนใช่ไหม?”


              “ชะใช่ นายมีอะไรกับฉันรึเปล่า?”


              “ฉันควอนฮยอนบินนะ ฉันได้ยินเรื่องของนายมาเยอะมาก เลยอยากทำความรู้จักสักหน่อย” ซองอุนพยักหน้าให้อีกคน ก่อนจะเริ่มอึดอัดขึ้นมาเพราะสายตาคนตรงหน้าที่เอาแต่กวาดมองไปทั่วร่างกายของเขา


              “ควอนฮยอนบิน ฉันคิดว่าเวลานี้นายควรทบทวนบทเรียนอยู่ที่หอพักเนบาดาของนายนะ” เสียงขัดจากบุคคลที่สามทำให้ใจซองอุนใจชื้นขึ้นมาทันที ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้าไปหาฮวังมินฮยอนผู้มีศักดิ์เป็นประธานนักเรียนของโรงเรียนแห่งนี้ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไม่ได้มีแค่การเป็นนักเรียนกับประธานแค่นั้น เพราะมินฮยอนคือลูกของคุณอา น้องชายแท้ๆของคุณพ่อเขา ซึ่งก็เท่ากับว่ามินฮยอนเป็นลูกพี่ลูกน้องกับซองอุน


              “ฉันคิดว่าเด็กลูเซโร่ก็ไม่ควรมายืนอยู่ตรงนี้เหมือนกันนะ” ฮยอนบินยิ้มทักทายให้อีกคน ก่อนจะหันไปหาซองอุนที่กำลังยืนงงอยู่


              “ไว้มาทักทายกันใหม่นะซองอุน” พูดจบ ฮยอนบินก็เดินออกไป ส่วนซองอุนก็ยกมือขึ้นมาทาบอกด้วยความโล่งอก เขาพอจะได้ยินข่าวคราวเรื่องการฝักใฝ่กับการเป็นแวมไพร์ของผู้ชายคนนี้มาอยู่บ้าง แต่ไม่คิดเลยว่าการได้เผชิญหน้าใกล้ๆแบบนี้แล้วมันจะรู้สึกตื่นเต้นระคนกลัวขนาดนี้


              “เวลาแบบนี้นายควรจะอยู่ที่ห้องนะ”


              “พอดีฉันเพิ่งถอนหญ้าเสร็จน่ะ แต่ผู้ชายคนเมื่อกี้ดูน่ากลัวจังเลยนะ” มินฮยอนยื่นมือมาตบที่บ่าซองอุนเบาๆ ก่อนจะดันร่างอีกคนให้เดินไปยังห้องพักของเจ้าตัว เมื่อถึงแล้วก็จัดการเปิดประตูส่งถึงที่ให้อย่างเสร็จสรรพ ไม่ลืมที่จะกำชับกับซองอุนอีกด้วยว่า


              “ผู้ชายคนนั้นไม่ได้น่ากลัวหรอก แค่ช่วงนี้นายต้องอยู่ให้ห่างจากเขาเท่านั้น…”









    TBC
    เกร็ดเล็กน้อย สำหรับคนที่อาจจะงงนะคะ
    ถ้าแวมไพร์จูบกับแวมไพร์ธาตุเดียวกัน จะสูญเสียพลังงาน
    ถ้าแวมไพร์จูบกับแวมไพร์ธาตุต่างกัน จะได้รับพลังงานระดับปกติ
    ถ้าแวมไพร์จูบกับมนุษย์ธาตุต่างกัน จะสูญเสียพลังงาน
    ถ้าแวมไพร์จูบกับมนุษย์ธาตุเดียวกัน จะได้รับพลังงานระดับมหาศาล


    เรื่องนี้เราเคยเขียนมาแล้วสองรอบ แต่เป็นคู่อื่น ซึ่งยังไม่จบสักทีค่ะ
    เลยกะว่าคู่องอุนต้องเขียนให้จบให้ได้ ยังไงก็ฝากฟิคองอุนเรื่องนี้ด้วยนะคะ
    สามารถพูดคุยกันได้ที่ #แวมไพร์อง ค่ะ ^^
    ปล.เกิดจากจิตนาการล้วนๆ ตรงไหนขัดๆขออภัยด้วยนะคะ




    @alsumn





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
maryjanejira (@maryjanejira)
กี๊ดดดด พล็อตเรื่องน่าตื่นเต้นชวนติดตามมากกกกกก ชอบมากเลยค่ะ แต่มินฮยอนเป็นญาติซองอุนหรอคะ ว้า เสียดายจัง อุตส่าห์จะเชียร์ให้เป็นพระรอง #นยอนอุน ซะหน่อย 55555555555