เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Chillb’s life is JourneyChillbjourney
New York 1st Time, Wall Street to Cornelia Street
  • Welcome to New York, it's been waitin' for you


    เป็นเวลาเกือบบ่ายสามโมงแล้วหลังจากสี่ชั่วโมงของการนั่งรถบัสจากบอสตันในที่สุดก็มาถึงสักทีจุดหมายปลายทางที่เราตั้งตารอมากที่สุดในการมาเยือนอเมริกาครั้งนี้ นิวยอร์กซิตี้  ช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงพีคของซัมเมอร์ก็ว่าได้ อากาศตอนต้นเดือนสิงหาคมร้อนใช่เล่นบวกกับการแต่งตัวด้วยเสื้อสเวตเตอร์ตัวหนากางเกงยีนส์ขายาวกับรองเท้าหุ้มข้อพร้อมกับเป้ใบใหญ่สะพายหลังและกระเป๋าลากขนาด28นิ้วอีกหนึ่งใบ คำว่าเยินน่าจะบรรยายสภาพของเราตอนนั้นได้ดีที่สุด หลังจากได้สติจากการโดนมนุษย์ป้าชาวฮิสเปนิคเดินชนกระแทกหลังจนเซเราก็บอกตัวเองว่าโอเคเลิกทำตัวเด๋อด๋าเหมือนเพิ่งเคยเข้าเมืองได้ละ (ถึงจะเพิ่งเคยมาครั้งแรกจริงๆก็เถอะ) ต้องเชิ่ดหน้าทำตัวเป็นชาวนิวยอร์กเกอร์ (ปลอมๆ)เข้าไว้ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือซื้อตั๋วซับเวย์แบบ 7 days ultimate เพราะเราตั้งใจจะอยู่ที่เมืองนี้เป็นเวลาเกือบสองอาทิตย์การกดซื้อตั๋วผ่านไปได้ด้วยดีแต่การยกกระเป๋าขึ้นซับเวย์นี่สิทุกลักทุเลไม่น้อยเลยคิดย้อนไปก็เวทนาตัวเองจริงๆ เราต้องขึ้นซับเวย์สายAเพื่อจะไปที่พักที่อยู่ย่าน Queensซึ่งจะเป็นที่ซุกหัวนอนของเราตลอดช่วงเวลาที่อยู่เมืองนี้


    เขาว่ากันว่าอีกหนึ่งสิ่งที่ตราตรึงใจนักท่องเที่ยว (ไม่รู้ในแง่ไหนเหมือนกัน) ที่มาเยือนนิวยอร์กไม่แพ้ตึก Empire State ก็คงจะเป็นประสบการณ์การนั่งซับเวย์นี่แหละ ทุกครั้งที่ขึ้นซับเวย์นักท่องเที่ยวอย่างเราๆสามารถพบเจอเหตุการณ์แปลกประหลาดที่ไม่รู้จะใช้คำไหนบรรยายดีเจอทั้งคนบ้า คนเมา ขอทาน แร็พเปอร์มาแร็พโชว์ สก๊อยฝรั่งยืนด่ากันมี นักร้องโชว์ลูกคอเก้าชั้นก็มา (บางคนร้องเพราะมากจนอยากพาไปออก America's Got Talent) เอาเป็นว่าความประทับใจแรกในนิวยอร์กของคนอื่นอาจจะเป็นอะไรก็ไม่อาจรู้ได้แต่สำหรับเราก็คงเป็นซับเวย์นิวยอร์กละมั้ง 


       Subway สาย J สถานี85st Forest pkwy


  • หลังจากลากสังขารตัวเองมาถึงที่พักได้ตอนเย็นๆเราก็เข้านอนแต่หัววันเพื่อเก็บแรงไว้ไปสำรวจเมืองนิวยอร์กในวันพรุ่งนี้กัน 


    ลืมบอกว่ามานิวยอร์กครั้งนี้เราโชคดีมากที่ไปเจอบ้านน้าคนไทยที่เปิดเป็นคล้ายๆ Airbnbให้เช่ามีห้องนอนส่วนตัวให้แต่แชร์ห้องน้ำกับห้องครัวกับเพื่อร่วมบ้านคนอื่นๆ บอกเลยว่าประทับใจมาก คุณน้าเจ้าของบ้านดูแลเราดีเหมือนลูกหลานบางทีเราเที่ยวเพลินกลับบ้านดึกๆน้าก็เดินไปรับถึงสถานีซับเวย์ ช่วยวางแผนเที่ยวแนะนำร้านอาหารดีๆในนิวยอร์กให้จนบางทีเราแอบเกรงใจ ส่วนบ้านพักก็น่ารัก สะอาด ของกินมีเพียบ การเดินทางก็สะดวกใกล้ซับเวย์สาย A กับ J ถ้าได้กลับไปนิวยอร์กอีกจะกลับไปพักที่นี่อีกแน่นอน


    เช้าวันแรกนิวยอร์กทักทายเราด้วยแสงแดดอันเจิดจ้าแบบที่ว่าถ้าเดินตากนานๆอาจจะถึงขั้นไหม้เกรียมได้ เราเลยต้องสู้กลับด้วยการใส่เสื้อแขนกุดและทาปากด้วยลิปสติกสีแดงที่สุดเพื่อต้อนรับความร้อนแรงของซัมเมอร์และประกาศศักดาให้แดดนิวยอร์กรู้ว่าถึงเธอจะแรงแค่ไหนก็อย่าหวังว่าจะทำร้ายทรอปิคอลเกิลร์ผู้ที่เกิดและโตมาในประเทศที่ตั้งฉากทำมุม90องศากับดวงอาทิตย์เกือบทั้งปีอย่างไทยแลนด์ได้


    วันนี้เราตั้งใจจะเข้าไปสำรวจแมนฮัตตันซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางด้วยซับเวย์จากที่พักของเราที่อยู่ย่านควีนประมาณ40นาที ก่อนอื่นต้องอธิบายก่อนว่าตัวเมืองนิวยอร์กซิตี้แบ่งออกเป็น5 โบโรฮ์ (Borough) ด้วยกันได้แก่ แมนฮัตตัน บรูคลิน เดอะบร๊อง ควีน และ สแตตันไอส์แลนด์ ซึ่งแมนแฮตตันจะเป็นศูนย์กลางความเจริญของทั้งเมือง พวกตึกสูงๆในนิวยอร์กทั้งหลายที่เราคุ้นตา แหล่งการเงินสำคัญของโลกอย่างวอลล์สตรีท อาคารสำคัญต่างๆ แล้วก็แหล่งท่องเที่ยวส่วนมากก็จะตั้งอยู่ในแมนฮัตตันนี่แหละ แต่สาเหตุที่เราเลือกที่จะพักที่ควีนและยอมเสียเวลา40นาทีในการเดินทางก็เพราะที่พักหรือโรงแรมในแมนฮัตตันราคาค่อนข้างที่จะแพงถึงแพงมากเลยทีเดียวดังนั้นนักท่องเที่ยวหลายๆคนรวมถึงเราเลยเลือกที่จะพักไกลออกจากตัวเมืองมานิดนึงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไป

  •  แมนฮัตตันจากมุมสูงถ่ายจากเฮลิคอปเตอร์ (ใครสนใจHelicopter Tour กดเข้าไปอ่านรีวิวในเพจเฟสบุ๊คได้เลยเด้อ)
                                                                           
    เดินออกมาก็จะเจอกับ จอร์จ วอชิงตันยืนทักทายอยู่

    พอเดินออกจากสถานีBroad Stsเราก็มาโผล่ที่กลางWall Street ถนนเก่าแก่เส้นหนึ่งของนิวยอร์กที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลกเลยก็ว่าได้ ตึกสูงเฉียดฟ้าทั้งหลายที่เราเห็นในแมนฮัตตันก็เป็นผลพวงของเม็ดเงินจากตลาดหุ้นในวอลล์สตรีทนี่แหละ หลายๆก็คนคงจะคุ้นชื่อของถนนนี้จากหนังเรื่อง The Wolf of Wall Street ที่ลีโอนาโด ดิแคพลิโอแสดงนำเพราะเราก็คือหนึ่งในนั้นเหมือนกัน 


    มาถึงที่นี่ทั้งทีเราต้องทำตัวให้สมกับเป็นนักท่องเที่ยวด้วยการไปเยี่ยมชมไฮไลท์สำคัญของที่นี่ซึ่งจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากกระทิงวอลล์สตรีท (Wall Street Bull) และสาวน้อย Fearless Girl



    ฟ้าใสมากไม่มีเมฆสักก้อนเลย

    สิ่งนึงที่สังเกตเห็นได้แทบทุกที่ทั่วนิวยอร์กคือนั่งร้านเหล็กเพราะเมืองนี้ไม่เคยหยุดเติบโตมีการก่อสร้างอยู่ตลอดเวลา

                                                                                                  

    Fearless Girl รูปปั้นเด็กผู้หญิงขนาด 4 ฟุต รวบผมหางม้า ยืนเท้าสะเอว เชิดหน้าท่าทางเกรี้ยวกราดแต่กล้าหาญคือสัญลักษณ์ของการเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศในการเป็นผู้นำขององค์กรต่างๆ เพราะโดยปกติแล้วภาพจำของคำว่าผู้นำมักจะมาพร้อมกับความเป็นชาย ทั้งยังรวมไปถึงปัญหาเรื่องglass ceiling และ gender pay gapอีกด้วย สาวน้อยคนนี้จึงเป็นเสมือนสิ่งให้คนฉุกคิดและหันมาสนใจปัญหาgender inequalityในองค์กรต่างๆ ในตอนเริ่มแรกรูปปั้นนี้ถูกตั้งให้หันหน้าเผชิญกับรูปปั้นวัวกระทิงที่เปรียบเป็นตัวแทนของความเป็น Masculineปัจจุบันเธอถูกย้ายไปอยู่บริเวณหน้า New York Stock Exchangeแทน ถึงแม้ตำแหน่งที่ตั้งจะถูกเปลี่ยนไปแต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือfearless eyes ของเธอที่ยังจ้องมองไปข้างหน้าเพื่อเรียกร้องถึงความเท่าเทียมอย่างกล้าหาญและมีพลังเหมือนเดิม

    ซ้าย Fearless girl ขวา Hopeless girl
                                                                                        

    หลังจากขอให้นักท่องเที่ยวแถวนั้นถ่ายรูปให้พอเป็นที่ระลึกเราก็เดินหน้าเพื่อตามหาวัวกระทิงต่อ พอเดินมาถึงก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าเอ๊ะนี่มัน วอลล์สตรีท เยาวราช หรือเมียงดงกันแน่วะเพราะรูปปั้นเจ้าวัวกระทิงตอนนี้ถูกมุงไปด้วยอาม่าอากงทัวร์จีนและเหล่าอาจุมม่าเกาหลีที่แต่งตัวสีสันสดใสรับซัมเมอร์กันสุดๆ หลังจากยืนดูลาดเลาสักพักแล้วเราเลยตัดสินใจว่าขอแค่มาเห็นกับตาก็พอแล้วแหละไม่ไหวจะไปต่อคิวเบียดเสียดกับคนอื่นเขาจริงๆขอไปเก็บแลนด์มาร์คที่อื่นต่อเลยละกัน


      นึกถึงฉากโบกแท็กซี่ของAndrea Sachsจากเรื่องThe Devil Wears Prada


    ระหว่างทางก็เจอแท็กซี่นิวยอร์กสีเหลืองโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ทำให้นึกถึงหนังสือ “Yellow Cabby แท็กซี่นิวยอร์ก” ที่เราเคยอ่านเมื่อหลายปีก่อนเป็นหนังสืออีกเล่มที่สร้างแรงบันดาลใจให้เราอยากมาเห็นนิวยอร์กด้วยตาตัวเอง



    พูดถึงหนังสือแล้วเรารู้สึกว่าชาวนิวยอร์กเกอร์เป็นมนุษย์จำพวกที่มีจิตวิญญาณในการอ่านมากทีเดียวที่นิวยอร์กเราสามารถเห็นคนอ่านหนังสือได้ทุกที่ทุกเวลาในซับเวย์ ร้านกาแฟ สวนสาธารณะ ข้างถนน ในมิวเซียม (อันนี้แอบสงสัยว่าแล้วพี่จะเสียเงินเข้ามิวเซียมเพื่อ ทำไมไม่นั่งอ่านฟรีๆข้างนอกเอ่ย?) ส่วนตัวเรามองว่าปัจจัยที่มีส่วนปลูกฝังให้ชาวนิวยอร์กเป็นนักอ่านก็คงเพราะที่นั่นมีพื้นที่สาธารณะเยอะมากบวกกับอากาศสบายๆเลยเหมาะกับการหาหนังสือดีๆมาอ่านนอกบ้านสักเล่มแหละ อีกอย่างคือคนที่นี่สามารถเข้าถึงหนังสือได้ค่อนข้างง่าย เราสามารถเห็นร้านหนังสือและแผงลอยขายหนังสือได้บ่อยพอๆกับfood truckขายฮอทดอก ไหนจะมีห้องสมุดสาธารณะดีๆอีกเยอะเลยไม่ค่อยจะแปลกใจเท่าไหร่ที่ชาวนิวยอร์กเกอร์ทั้งหลายจะอินกับการอ่านกันขนาดนี้



    จุดหมายต่อไปของเราก็คือเวิลร์เทรดเซนเตอร์ หลังจากลัดเลาะตามแมพมาได้สักสิบห้านาทีก็เริ่มเห็นยอดตึก One World Trade Center อยู่ไกลๆแสดงว่าเรามาถูกทางแล้วใช่มั้ย


    เดินมาถึงก็จะเจอกับหลุมใหญ่ๆสองหลุมซึ่งในอดีตเคยเป็นตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์1และ2ที่ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ทุนนิยมของโลกตะวันตกก่อนจะถล่มไปในเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมของกลุ่มอัลกออิดะห์หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อเหตุการณ์9/11


    รอบๆหลุมมีการสลักรายชื่อผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์พร้อมกับมีดอกกุหลาบขาวปักอยู่ประปรายเพื่อเป็นการไว้อาลัย ส่วนตรงข้างๆก็มีพิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เข้าชมด้วยแต่ส่วนตัวเราไม่ได้เข้าไปเพราะเคยดูสารคดีเรื่องนี้มาบ้างและพอจะรู้ว่าข้างในมีอะไรที่หดหู่มากพอสมควร  เรารู้ตัวเองว่าถ้าเข้าไปเราคงดาวน์ไปทั้งวันแน่สำหรับวันแรกของทริปนี้เลยขอหลีกเลี่ยงอะไรแบบนี้ดีกว่า 


    ปล.ถ้าใครสนใจข้อมูลเชิงลึกของเรื่องนี้เพิ่มเติมแนะนำให้ดูสารคดีเรื่องTurning Point: 9/11 and the War on Terror ในnetflixเลยค่ะ


    เราใช้เวลาอยู่เวิลด์เทรดไม่นานด้วยอากาศที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆบวกกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่แออัดมากขึ้นไม่แพ้กันเราเลยคิดว่าไปหาคาเฟ่นั่งพักจิบอะไรเย็นๆก่อนจะออกมาลัดเลาะต่อในช่วงบ่ายดีกว่า ตอนแรกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรไปแถวไหนดีแต่อยู่ดีๆก็นึกถึงหนังสือเล่มนึงที่เคยอ่านตอนเรียนวิชาวรรณกรรมขึ้นมาได้ซึ่งsettingของเรื่องนี้อยู่ในย่านGreenwich (อ่านว่ากรี-นิช ตัวwเป็นsilent letter) ในนิวยอร์กนี่แหละประกอบกับเปิดแมพดูแล้วใช้เวลานั่งซับเวย์แค่ประมาณสิบห้านาทีเราเลยตัดสินใจว่าจะไปเดินเล่นแล้วหาร้านนั่งชิวแถวนั้นละกัน


    Christopher St. Station

    นั่งซับเวย์ได้สักพักสักพักเราก็มาโผล่ที่สถานี Christopher St. สิ่งแรกที่สะดุดตามากหลังจากเดินออกมาจากสถานีคือธงสีรุ้ง LGBTQ ที่ปักเด่นอยู่เกาะกลางถนน สภาพตึกรามบ้านช่องโดยรอบที่มีกลิ่นอายของศิลปะที่เหมือนจะแทรกซึมจะอยู่ในชุมชนแห่งนี้มาแสนนาน เราสัมผัสได้ถึงบรยากาศสบายๆที่ไม่เร่งรีบบวกความร่มรื่นของต้นไม้โดยรอบ Greenwich สำหรับเราเหมือนกับ love at first sight เลยก็ว่าได้บอกเลยว่าเป็นการสุ่มเที่ยวแบบมั่วๆที่ได้ผลลัพธ์ดีเกินความคาดหมาย เราตัดสินใจเดินสำรวจ Greenwichแบบปล่อยตัวปล่อยใจโดยไม่เปิดแมพแต่ใช้ความรู้สึกในการนำทางแทน ยิ่งเดินเราก็ยิ่งหลงไม่ใช่หลงทางนะแต่หลงเสน่ห์ของ Greenwichมากขึ้นเรื่อยๆ ตึกที่เหมือนอยู่ในฉากหนังเรื่อง Sex and the City ร้านอาหารบรรยากาศดี คาเฟ่น่ารักๆ ร้านขายของที่ระลึกแฮนด์เมด ร้านขายงานศิลปะของ  local artistsทุกอย่างตั้งเรียงรายกันอย่างลงตัวอยู่ในตรอกซอกซอย บรรยากาศมันถูกจริตเรามากซะจนอดจินตนาการไปไม่ได้ว่าถ้าเราได้ตื่นมาใช้ชีวิตทุกวันที่นี่มันจะดีแค่ไหนกันนะ 

     

    บนถนนGreenwich มองเห็นตึกEmpire State อยู่ไกลลิบๆ (แต่ในรูปนี้ไม่เห็นนะ)
                                                                      
    หลังจากใช้เวลาเดินลัดเลาะที่ย่านนี้ไปเกือบสองชั่วโมงเราก็ตัดสินใจแวะเข้าคาเฟ่ร้านนึงแบบสุ่มๆทุกวันนี้ก็จำชื่อร้านไม่ได้เหมือนกันแต่ตอนนั้นที่เลือกเข้าร้านนี้เพราะเห็นว่าบรรยากาศร้านน่ารักดีเราเลือกสั่งมาการูนมะพร้าว เลมอนทาร์ต กับอาโนพลามเมอร์ซึ่งเอาเป็นว่าสำหรับทั้งสามเมนูนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องรสชาติดีกว่าถือซะว่าได้มานั่งพักกับชาร์ตแบตโทรศัพท์ละกัน
    แอบเศร้าที่Macaroonไม่อร่อยเหมือนที่เคยกินที่Maine

    นั่งไปได้สักพักเราก็เริ่มสังเกตบรรยากาศโดยรอบและเห็นว่าแถวนี้ร้านคาเฟ่เยอะและวัยรุ่นเยอะมากเหมือนกันดูทรงแล้วน่าจะเป็นนักศึกษาเพราะมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก(NYU) ก็ตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ หลังจากค้นข้อมูลเกี่ยวกับย่านนี้ในกูเกิ้ลดูนิดหน่อยเลยได้รู้ว่า Greenwich Village เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมสไตล์โบฮีเมียนของอเมริกาเห็นได้จากบรรยากาศของตึกและร้านรวงที่ยังคงซ่อนกลิ่นอายแห่งศิลปะและประวัติศาสตร์เอาไว้ นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวด้านสิทธิของกลุ่มคนรักร่วมเพศนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมสิ่งแรกที่เราเห็นในย่านนี้หลักจากเดินออกมาจากซับเวย์คือธงสีรุ้งของกลุ่ม LGBTQ ที่ปักเด่นอยู่เพื่อสื่อถึงการเรียกร้องสิทธิและตอกย้ำความเป็นเสรีชนในจิตวิญญาณของชาวนิวยอร์กเหมือนกับท่อนนึงในเนื้อเพลง Welcome To New York ที่บอกไว้ว่า 


    “Everybody here was someone else before

     And you can want who you want

     Boys and boys and girls and girls”



    เรามาอ่านเจอข้อมูลทีหลังว่าอีกหนึ่งสิ่งที่มีชื่อเสียงและดึงดูดนักท่องเที่ยวมาที่ Greenwich Villageก็คือ The House of Death บ้านอาถรรพ์ที่มีผีสิงอยู่ตั้งยี่สิบสองตัว (สงสัยเหมือนกันว่าใครเป็นคนไปนับ) ตัวบ้านหลังนี้ข้างนอกก็สวยงามโอ่อ่าและมีชนชั้นสูงของนิวยอร์กหลายคนที่เคยอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้แต่สุดท้ายทุกคนที่เคยอยู่บ้านหลังนี้ก็ต้องพบเจอกับเหตุการณ์แปลกๆและจบชีวิตลงไม่ดีสักคน แต่ที่ทำให้บ้านหลังนี้โด่งดังและเป็นที่รู้จักมากที่สุดก็เพราะครั้งหนึ่ง Mark Twain นักเขียนชื่อดังชาวอเมริกันที่หลายคนรู้จักก็เคยอยู่บ้านหลังนี้เหมือนกัน ตลอดเวลาเกือบหนึ่งปีที่เขาอาศัยอยู่ที่นั่นเรียกได้ว่าเกือบจะเป็นช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตการเป็นนักเขียนของเขาเลยก็ว่าได้ Twain ต้องต่อสู้กับภาวะซึมเศร้าอีกทั้งปัญหาหนี้สินและการล้มละลายทุกวันนี้ก็ยังมีคนบอกว่าเห็นวิญญาณของTwainยังคงวนเวียนอยู่แถวๆบันไดชั้นหนึ่งอยู่เลย เอาเป็นว่าสำหรับเรื่องนี้ก็คงใช้วิจารณญาณกันไป ส่วนตัวเราเสียดายเหมือนกันที่พลาดที่นี่ไปแต่ถ้าใครมีโอกาสได้ไปเยือนที่บ้านหลังนี้ก็ฝากนับด้วยทีนะว่ามันมีผีถึงยี่สิบสองตัวเหมือนที่เขาว่าจริงเปล่า
    บรรยากาศบ้านแถวนั้น

    นั่งอ้อยอิ่งที่คาเฟ่อยู่เกือบชั่วโมงก็ถึงเวลาที่เราต้องเดินหน้าต่อ เป้าหมายต่อไปของเราคือ Washington Square Park เพราะเมื่อไม่นานมานี้เราได้ดูหนังเรื่อง To All the Boys: Always and Forever แล้วมีฉากที่นางเอกกับเพื่อนไปที่นี่ด้วย ไหนๆก็มาถึงนี่ทั้งทีก็เลยต้องขอตามรอยลาร่าจีนสักหน่อย


      Summer at Washington Square Park

    เดินตามแมพมาไม่ถึงสิบนาทีเราก็มายืนอยู่หน้าน้ำพุใจกลางสวนสาธารณะแห่งนี้ แสงแดดซัมเมอร์ที่นี่มันร้อนแรงแยงตาซะจนต้องหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาใส่ ถึงอากาศจะร้อนสักแค่ไหนแต่ก็ยังมีลมอุ่นๆของฤดูร้อนพัดพามากระทบหน้าเบาๆพอให้ชื่นใจ สายลมที่มาพร้อมกับกลิ่นหวานๆ แต่… กลิ่นหวานไหม้ๆแบบนี้มันคุ้นๆเหมือนที่เคยได้กลิ่นที่บอสตัน ใช่แล้วจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากกลิ่นกัญชานั่นเอง


    การสูบกัญชาที่นี่ถูกกฏหมายเราสามารถเห็นคนสูบได้ทั่วไปแทบจะทุกที่ทั่วเมืองเอาเป็นว่าตลอดเวลาสองอาทิตย์ที่อยู่ที่นั่นไม่มีวันไหนเลยที่เราจะไม่ได้กลิ่นกัญชา ทุกวันนี้ถ้าพูดถึงนิวยอร์กสิ่งแรกที่เข้ามาในหัวเราไม่ใช่ภาพของEmpire State หรือ Time Square นะแต่เป็นกลิ่นกัญชานี่แหละ 



    เอาเถอะข้ามเรื่องกลิ่นไปแล้วมาพูดถึง Washington Square Park กันสักหน่อยดีกว่า ที่นี่เป็นสวนสาธารณะที่มีชื่อเสียงอีกแห่งของนิวยอร์ก ประตูชัยสีขาวเป็นเอกลักษณ์ของที่นี้พร้อมกับลานน้ำพุที่เป็นจุดรวมตัวของเหล่านักศึกษา NYU (ใครอยากส่องเด็กมหาลัยห้ามพลาดที่นี่) รวมถึงชาวนิวยอร์กและนักท่องเที่ยวอย่างเราให้ออกมาทำกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะช่วงซัมเมอร์อย่างนี้บรรยากาศคือคึกคักสุดๆ มีทั้งคนออกมาปิคนิค นั่งอ่านหนังสือ เล่นสเกต มีพ่อค้าแม่ค้ามาออกร้านขายของ ศิลปินก็กางผ้าใบวาดรูป นักดนตรีเปิดหมวก คนนั่งเล่นหมากรุก ไปจนถึงโชวกายกรรมก็ยังมี ส่วนตัวเราแค่นั่งมองดูคนเฉยๆก็เพลินมากละ 


    นั่งไปได้สักพักก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาเลยเพิ่งมานึกได้ว่าตั้งแต่เช้าเรายังไม่ได้กินอะไรจริงๆจังๆสักมื้อเลย มองไปเห็นควันลอยโขมงมาจากรถfood truck ที่ตั้งเรียงรายอยู่เลยคิดว่าเอาละถึงฤกษ์งามยามดีในการประเดิมstreet foodนิวยอร์กละ จากการเดินสำรวจดูเหมือนทุกร้านจะขายเหมือนกันหมดคือมีฮอทดอก น้ำอัดลม เคบับและข้าวหมกอะไรไม่รู้เยอะแยะ ส่วนวิธีการเลือกร้านของเราก็ง่ายๆเลยคือดูว่าร้านไหนคนต่อแถวเยอะก็ขออุปทานไว้ก่อนว่าคงจะอร่อยแหละ แต่พอได้ฮอทดอกมากัดไปคำแรก อืมมมมมม แป้งและแป้งทั้งนั้น เอาซะถือว่าลองให้ได้รู้อย่าไปคิดไรมาก

    โดนไปห้าเหรียญกับฮอทดอกแป้ง

    ดูนาฬิกาตอนนี้เพิ่งจะเป็นเวลาบ่ายสองกว่าๆเอง วันนี้เวลาผ่านไปช้ามากทั้งๆที่เรารู้สึกว่าได้ทำอะไรไปตั้งหลายอย่างแล้ว หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะหลายอย่างที่เราทำมาทั้งวันเราทำมันคนเดียว ความสุขที่ได้รับก็รับมาคนเดียวไม่มีใครให้แชร์ประสบการณ์ดีๆไปด้วยกัน ให้สรุปง่ายๆก็คงจะเป็นอาการเหงานั่นแหละมั้ง…


    ระหว่างที่นั่งอยู่อย่างไร้จุดหมายพร้อมด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยวกว่าเมื่อเช้านี้เล็กน้อย เสียงเพลงจากหูฟังที่ใส่อยู่ก็เล่นมาถึงเนื้อเพลงท่อนนึง


     “I hope I never lose you, hope it never ends, I'd never walk Cornelia Street again”


    ตอนนี้เราได้จุดหมายใหม่สำหรับบ่ายนี้แล้ว สวิฟตี้อย่างเราต้องได้ไปเยือนCornelia Street เอาจริงๆตอนนั้นก็ยังไม่รู้หรอกว่าถนนเส้นนี้มันอยู่ส่วนไหนของนิวยอร์กกันแน่แต่พอเปิดแมพก็เหมือนกับฟ้าเป็นใจมากเพราะถนนนี้มันอยู่ในGreenwich Village ห่างจากสวนที่เรานั่งอยู่แค่ห้านาทีเอง พอรู้อย่างงั้นเราก็ลุกขึ้นเดินหน้าด้วยจิตใจที่เบิกบานเพิ่มขึ้นอีก37% ไปตามหาCornelia Street กันเถอะ


    ใครที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ก็อยากจะขอบคุณมากๆที่อ่านกันมาได้ขนาดนี้ เราแค่อยากจะบอกว่าถ้าตอนนี้คุณมีหูฟังอยู่ใกล้ๆตัวก็อยากให้คุณใส่หูฟังพร้อมกับเปิดเพลง Cornelia Street คลอไปด้วยเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านย่อหน้าสุดท้ายนี้


    เรากลับเข้ามาในGreenwichอีกครั้งพร้อมกับบรรยากาศยามบ่ายที่มีแดดอ่อนๆกับอากาศที่เย็นขึ้นเล็กน้อยบวกกับความร่มรื่นจากเงาของต้นไม้ที่แทรกอยู่ประปรายตามท้องถนนทำให้บ่ายวันนี้เป็นหน้าร้อนที่สุดแสนจะเพอร์เฟ็คเหมาะกับการเดินทอดน่องชิวๆเสียจริง เว้นแต่ว่า… เราหลง ครั้งนี้ไม่ใช่หลงเสน่ห์ของกรีนิชแล้วแต่หลงที่แปลว่าหลงทางจริงๆ จากแมพที่บอกว่าเราควรจะใช้เวลาแค่ห้านาทีในการเดินไป Cornelia Street แต่พอเอาเข้าจริงไม่รู้ว่าเราไปเดินท่าไหนกว่าจะหาทางไปถึงจุดหมายจริงๆได้คือเดินอยู่เกือบสามสิบนาทีทำเอาเหงื่อตกไปเยอะเหมือนกัน 

      
    บรรยากาศยามบ่ายฤดูร้อนในGreenwich village
                                                                        

    Sacred new beginnings, that became my religion, listen... 

    ถึงสักที Cornelia Street

    เพลงCornelia Street เป็นเพลงในอัลบั้ม LOVER ของTaylor Swift ซึ่งเป็นอัลบั้มโปรดของเราเลยก็ว่าได้ หลายๆเพลงในอัลบั้มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับนิวยอร์กเพราะตอนที่แต่งอัลบั้มนี้ขึ้นมาเป็นช่วงที่เทย์พักอยู่ในอพาตเมนต์ที่นิวยอร์กบนถนน Corneliaนี่แหละ สำหรับเราเพลงนี้เป็นเหมือนกับmemory box ส่วนตัวเพราะทุกครั้งที่เพลงนี้ดังขึ้นมามันจะมาพร้อมกับความทรงจำหน้าร้อนปี2021ที่จะอยู่ในใจเราเสมอและตลอดไป


    MISSION COMPLETED 

    ยืนอยู่นานสองนานถ่ายรูปเก็บบรรยากาศโดยรอบไว้ครบทุกมุมละจะเหลือก็แต่รูปคู่กับป้ายนี่สิที่ไม่รู้จะถ่ายยังไงเพราะมาคนเดียวแต่เหมือนฟ้าจะเห็นใจหรือเวทนาเราก็ไม่รู้ สักพักมีเด็กวัยรุ่นฝรั่งเดินมากลุ่มนึงเราเห็นน้องพากันผลัดกันถ่ายรูปคู่กับป้ายถนนอย่างดี๊ด๊า เข้าทางเราพอดีเลยมาทรงนี้เป็นสวิฟตี้เหมือนกันแน่นอน เราเลยเดินเข้าไปเซย์ไฮพร้อมกำลังจะเอ่ยปากรบกวนให้น้องถ่ายรูปให้แต่ด้วยความที่ด้อม swiftieของเรานั้นมีแต่คนหน้าตาดีและจิตใจประเสริฐ น้องเหมือนอ่านใจเราได้พร้อมรับกล้องไปถ่ายรูปให้เราก่อนที่เราจะเอ่ยปากซะอีก 


    Hope it never ends cuz I'd love to walk Cornelia Street again

    หวังว่าจะได้กลับไปอีกเร็วๆนี้นะ

    จริงๆตั้งใจจะเขียนทริปนิวยอร์กให้จบในบทเดียวเลยแต่ดูแล้วน่าจะยาวเกินไป ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านจนถึงตรงนี้ไว้เจอกันต่อที่สะพานBrooklynในบทหน้าจ้า

    Cher...


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in