เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[JackBam] Angels /GOT7 FanFictionChunari_CJ
Chapter 4 : แบมแบม
  •  

    “กีสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส”

     

          อยู่ดีๆ ก็มีเสียงแหลมเล็กแทงทะลุโสตประสาทแทนที่ความเงียบกริบเมื่อสักครู่ แจ็คสันที่ไม่ทันตั้งตัวสะดุ้งสุดตัวแล้วทรุดลงกับพื้น มือสองข้างของเขายกขึ้นอุดหูแน่นแต่กลับไม่สามารถปิดกั้นเสียงที่รุนแรงนั้นได้ ราวกับว่าเสียงนั้นส่งผ่านเข้าสู่สมองของเขาโดยตรง

     

          “อ๊ากกกกกกกกกกกก  เดี๋ยววว!!! หยุดก่อนนนน!!!  หยุดที!!  ฉันขอโทษ!!! ฉันไม่ได้ตั้งใจ!!! ฉันไม่ได้มาร้ายนะ!!!! หยุดดดดดดดดดด!!”  ชายหนุ่มตะโกนลั่น เสียงแหบพร่าของเขาขาดห้วง ทั้งหูและหัวปวดตุบเหมือนโดนกระหน่ำทุบแต่เสียงนั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะเบาลง

     

         “โอ๊ยยยยยยยย หยุดเถอะ ขอร้องล่ะ”  ไม่นานนักเสียงตะโกนก็เหลือเพียงเสียงกระซิบอย่างอ่อนแรง ร่างอันสั่นเทาเริ่มขดตัวกลมบนพื้นเย็นเชียบ ความอดทนของเขาใกล้ถึงขีดจำกัด แต่ทันใดนั้นเสียงก็เงียบหายไป ร่างที่ขดตัวเกร็งเหมือนพยายามใช้กล้ามเนื้อทุกส่วนของเขาป้องกันเสียงอันร้ายกาจค่อยๆ ผ่อนคลายลง


         เขาหยุดฟังจนแน่ใจว่าไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดมาอีกจึงปล่อยมือออกจากหู แต่ถึงกระนั้นหูเขาก็ยังลั่นเปรี๊ยะพร้อมกับเสียงวิ้ง ที่ยังคงดังก้องอยู่ตลอดเวลา แจ็คสันค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นด้วยอาการมึนงง สายตากวาดไปรอบๆ มองหาต้นเสียง ร่างที่เคยยืนอยู่ใต้แสงจันทร์นั้นหายไปแล้ว เขาจึงหันหลังกลับแล้วออกวิ่งโซซัดโซเซท่ามกลางความมืดมิดที่มีเพียงแสงจันทร์ จนบังเอิญชนเข้ากับใครคนหนึ่งที่กลางอุโมงค์แก้ว


         “อ๊ะ ขอโทษครับ”  แจ็คสันเอ่ยปากขอโทษทั้งๆ ที่ไม่เห็นหน้า ไม่รู้ด้วยว่าเขาชนเข้ากับใคร ความปวดหนึบและความมึนงงที่ยังคงค้างคาทำให้เขาไม่สนใจอะไรนอกจากพาตัวเองกลับบ้านให้เร็วที่สุด ทางเดินที่ร้างผู้คนทำให้เขาสามารถบังคับยูนิไซค์ที่เป๋ไปเป๋มาออกมาจนถึงประตูหน้าได้สำเร็จ

    .

    .

    .

         เป้สะพายหลังใบโปรดถูกเหวี่ยงทิ้งไว้ในห้องอย่างลวกๆ ส่วนตัวเจ้าของนั้นลากสังขารตัวเองไปที่เตียงแล้วทิ้งตัวลงบนที่นอนอุ่นสบาย เขาหมดสภาพเกินกว่าจะลุกขึ้นไปหายาใดๆ มาแก้ไขอาการปวด แจ็คสันปล่อยให้ตัวเองนอนนิ่ง และพยายามผ่อนคลายที่สุดเพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว อาการก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ ท่ามกลางความเจ็บปวดที่ยังรุมเร้า ใจเขากลับยังคงคิดถึงร่างเล็กที่ยืนอยู่ใต้แสงจันทร์ ผมสีเงินยวงกับแววตาอ้างว้างนั้นดึงดูดเขาจนไม่อาจละสายตา และไม่อาจลบภาพนั้นออกไปจากหัวเขาในตอนนี้ด้วยเช่นกัน


         “เด็กเหรอ... ไม่สิ  ไม่ใช่เด็กธรรมดา”  ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆ เสียงนั่นกับอาการปวดของเขาคงไม่ได้เกิดจากเด็กธรรมดาแน่ๆ


          “หรือว่าแองเจิ้ลส์....  แต่ไม่เห็นมีปีกนี่นา แล้วยังจะกรงนั่นอีก”


          “หรือเป็นพวกไฮบริดจ์...  ไม่น่า... สถาบันไม่น่าทำอะไรแบบนั้นหรอก” พวกไฮบริดจ์ที่ชายหนุ่มพูดถึง หมายถึงการทดลองผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการทดลองระหว่างมนุษย์กับสัตว์ชนิดต่างๆ  ยิ่งวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีก้าวล้ำไปมากเท่าไหร่  สมองมนุษย์ก็ยิ่งคิดอะไรแปลกๆ ไปมากขึ้นเท่านั้น การทดลองไฮบริดจ์จึงเป็นการทดลองที่มักจะเกิดขึ้นเสมอๆ แต่ก็เป็นสิ่งผิดอย่างยิ่งยวดเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะในแง่กฎหมาย หรือในแง่จริยธรรม  เขาไม่คิดว่าคนที่มองแองเจิ้ลส์ด้วยสายตาอบอุ่นอย่าง จินยองที่เป็นหัวหน้าแผนกวิจัยจะยอมให้มีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นได้


          “เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยถามยูคยอมก็แล้วกัน” ความเจ็บปวดผสมกับความเหนื่อยล้าทำให้แจ็คสันผล็อยหลับไปแทบจะในทันที

    .

    .

           ชายสองคนกำลังยืนอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่ เฝ้ารอสัญญาณให้เข้าไปด้านใน ทั้งสองคนยืนอย่างกระสับกระส่ายกับความผิดพลาดที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น เสียงกึ้งเบาๆ ทำให้รู้ว่าประตูไม้ด้านหน้ากำลังเลื่อนเปิดออกอย่างช้าๆ บรรยากาศสลัวๆ ภายในห้องยิ่งชวนให้ขนลุก ห้องกว้างใหญ่บนตึกชั้นที่เกือบสูงที่สุด กำแพงด้านหนึ่งเป็นกระจกใสทั้งหมดมองเห็นวิวภายนอกได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ในห้องจะเปิดไฟไว้เพียงเล็กน้อย แต่ด้านนอกสว่างด้วยแสงจันทร์เต็มดวงกระจ่าง กับภาพวิวแสงไฟจากเขตเมืองที่อยู่ไกลออกไป

     

         ทั้งห้องแทบจะไม่มีอะไรนอกจากโต๊ะทำงานหรูหรา 1 ชุด และชุดรับแขกอีก 1 ชุดใกล้ๆ กัน นอกนั้นเป็นพื้นที่โล่งกว้าง มีงานศิลปะประดับอยู่ตามผนังและประติมากรรมชิ้นย่อยๆ ตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ ชายทั้งสองคนเดินมาหยุดยืนที่หน้าโต๊ะทำงาน เก้าอี้พนักสูงนั้นค่อยๆ หันมาช้าๆ


         “ขอโทษครับนาย ครั้งนี้เราเอามาไม่ได้ ขอเลื่อนไปก่อนได้รึเปล่าครับ” หนึ่งในสองคนเอ่ยขึ้น


         “หมายความว่ายังไง... ที่ว่าเอามาไม่ได้”   


          เสียงทุ้มต่ำแต่เย็นเยียบไร้ซึ่งความรู้สึกพาให้ทุกคนที่ได้ยินเสียวสันหลังวาบ ชายชาวเอเชียวัยกลางคนนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักสูงแบบ CEO เท้าข้อศอกลงกับโต๊ะหรูราคาแพง มือประสานเข้าด้วยกัน สายตาคมกริบจับจ้องชายสองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า ทั้งสองคนกำลังขยับตัวเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว


          “เอ่อ  คือว่า ผะ ผมลืมของไว้ กะ ก็เลยกลับไปเอา พะ พอกลับเข้าไปอีกทีก็มีคนวิ่งสวนออกมาคะ ครับ เรา กะ ก็เลยยกเลิกกะทันหัน พะ เพราะกลัวว่ามันจะไปตามคนอื่นมา”  น้ำเสียงสั่นๆ เล่าลำดับเหตุการณ์อย่างตะกุกตะกัก


         “มันเป็นใคร เข้าไปทำอะไรที่นั่น”


         “ผะ ผมคิดว่าเป็นเด็กใหม่ ทะ ที่มาฝึกงานครับ ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็เลยบังเอิญหลงเข้าไป”


          “นายครับ  ไอ้เด็กนั่นเป็นคนในแผนกของเจบี ผมว่ารอบนี้เราน่าจะหยุดไปก่อน ถ้าเกิดว่ามันไปเล่าให้ไอ้เจบีฟังแล้วมันเกิดสงสัยขึ้นมา มีการตรวจสอบเราจะแย่นะครับ” ชายอีกคนพยายามข่มใจพูดด้วยน้ำเสียงปกติ


          “ไม่ได้! ยังไงของก็ต้องส่งให้ตรงตามกำหนด ตอนนี้ยังพอมีเวลา พวกแกไปหาทางมา ทำยังไงก็ได้ให้ได้มาให้ทันกำหนดส่ง! มีปัญหานักก็ส่งเจบีมันเข้าป่าไปอีกสักรอบ ออกไปได้แล้ว!!” สิ้นเสียงตวาดอย่างหัวเสีย ชายสองคนที่ยืนตัวลีบก็ลนลานออกจากห้องไป  เหลือเพียงชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่า “นาย” ลุกขึ้นไปยืนที่ริมกำแพงกระจก ความสูงจากตึกทำให้เขาต้องก้มหน้า มองลงไปยังโดมหลังเล็ก ดวงตาเรียววาววับด้วยความละโมบ


        “เด็กใหม่งั้นรึ..” 

    .

    .

          แจ็คสันแตะคีย์การ์ดสีดำของเขาที่ประตูแผนก โชคดีที่อาการปวดทั้งหูและหัวจากเหตุการณ์เมื่อคืนหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อเขาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า(ที่ค่อนข้างสาย) สายตากวาดหาคนที่เขาต้องการมากที่สุด แต่กลับไม่เห็นร่างสูงยาวของเด็กแสบ ในห้องมีเพียงเขากับเจ้าของรองเท้าคอมแบ็ทคู่เบ้อเร่อที่วางพาดอยู่ที่โต๊ะเหล็กตัวใหญ่ ถัดไปจากโต๊ะของบ๊อบบี้ที่เต็มไปด้วยหนังสือหน้าตาโบราณ


          “เฮ้! ไรอัน หวัดดี” แจ็คสันส่งเสียงทักทายชายหนุ่มอเมริกันแอฟริกัน ร่างสูงใหญ่แต่งตัวด้วยกางเกงลายพรางตัวโคร่งแบบทหารยุคเก่ากับเสื้อยืดสีดำที่กลืนไปกับสีผิว รองเท้าคอมแบ็ทกับหมวกคาวบอยที่ไม่เข้ากันอย่างที่สุด ไรอันโบกมือให้เขาแล้วยิ้มจนเห็นฟันขาวเรียงเป็นตับ


          “ซับแมนนน”


          “เห็นยูคยอมรึเปล่า”


          “ไปซื้อน้ำ แล้วก็คงไปหายองแจล่ะมั้ง”  ร่างสูงลุกขึ้นบิดขี้เกียจ  “ฉันว่าจะลงไปซ้อมยิง นายไปด้วยกันป่าว”


           “โทษทีนะ ฉันยังเป็นเบ๊อยู่เลย อย่าลืมสิ” แจ็คสันยิ้มแหยๆ ไรอันเป็นนักแม่นปืนของทีมที่ชวนเขาซ้อมยิงปืนตั้งแต่เจอกันครั้งแรก เขาเลยมีโอกาสได้โชว์ทักษะที่ฝึกมาเป็นพิเศษ ไรอันจึงยอมรับเขาแทบจะทันที


          “รีบๆ เข้าทีมซะทีสิ”  ไรอันหัวเราะให้เขาแล้วโบกมือให้ก่อนเดินออกไปจากห้อง


          “ไปบอกเจบีดีกว่ามั้ง” แจ็คสันพึมพำตอบเบาๆ  สายตาไล่ดูรีเควสที่เขาต้องทำในวันนี้ โชคดีที่มีไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ถึงจะไม่ค่อยมีกะจิตกะใจแต่งานก็คืองาน และคนอย่างหวังแจ็คสันรับผิดชอบทุกอย่างที่เขาต้องทำอย่างเต็มที่เสมอ เขาจึงพับความสงสัยใคร่รู้กับแรงดึงดูดที่พยายามจะพาขาของเขาให้ก้าวไปยังทิศเดียวกับเมื่อคืนเก็บเอาไว้ในใจแล้วออกไปเริ่มงานเบ๊อีกวัน

     

           ดวงตาเรียวสวยของหัวหน้าแผนกวิจัยปิดลงอย่างอ่อนล้า จินยองเอนหลังลงพิงพนักเก้าอี้กะจะพักสายตาที่ใช้มาทั้งคืนจนถึงเช้า บนจอยังฉายภาพข้อมูลต่างๆ ของเพิร์ลที่ได้จากการตรวจร่างกาย ข้อมูลที่บ่งบอกว่าแองเจิ้ลส์ของเขากำลังวิตก เนื่องจากการตั้งท้องครั้งนี้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต่างจากในธรรมชาติ ถึงแม้ในโดมจะเป็นสภาวะจำลองที่แทบไม่ต่างจากของจริงแต่ก็ยังปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่าแองเจิ้ลส์ที่นี่อยู่ในสภาพที่ปราศจากอิสระที่แท้จริง เสียงวางแก้วลงบนโต๊ะเบาๆ ทำให้เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ร่างในแจ็กเก็ตมีฮู้ดสีดำนั่งลงที่ขอบโต๊ะทำงานของเขา


          “กลับมาแล้วเหรอ..”


          “ได้นอนบ้างรึยัง เดี๋ยวริ้วก็เพิ่มขึ้นอีกหรอก” เสียงทุ้มต่ำถามขึ้นอย่างนุ่มนวลปนแซวขำๆ


          “ไม่ใช่ตีนกาแล้วกันน่า อยากให้นอนแต่เอากาแฟมาให้เนี่ยนะ” 


            “ก็นายไม่ชอบนม ไม่งั้นจะรีบให้กินนมแล้วกล่อมนอนซะเลย” มุมปากของคนพูดยกยิ้มขึ้นข้างเดียวอย่างเจ้าเล่ห์ มือหนาดึงฮู้ดสีดำให้พ้นศีรษะ เผยให้เห็นใบหน้าแบบเอเชียแท้แต่กลับดูคมคาย ไฝสองเม็ดเหนือดวงตาเรียวเล็กเป็นเอกลักษณ์ที่ดูแปลกตา ใบหูเรียงรายไปด้วยจิวแปลกๆ กับห่วงอีกสองสามอัน จินยองยกกาแฟอุ่นขึ้นจิบช้าๆ อย่างน้อยก็ช่วยให้ผ่อนคลายได้ดี


          “หมอนั่นเป็นไงมั่ง”


           “แจ็คสันเหรอ??  ฉันว่านายน่าจะรู้ดีกว่าฉันอีกนะ” จินยองเอ่ยขึ้นอย่างรู้นิสัยเพื่อนดี คนตรงหน้าคงมีคนรายงานความประพฤติของเด็กฝึกคนใหม่จนหมดแล้ว


          “ฉันอยากได้ความเห็นนาย”  เสียงทุ้มต่ำยังคงยืนยัน สายตาที่ทำให้หัวใจเขาสั่นไหวเสมอ มองมาอย่างตรงไปตรงมา


          “ก็ดีนะ ทักษะร่างกายดีถึงขนาดกดโฮเซ่เอาไว้ได้ มีไหวพริบ มนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับคนได้ง่าย มีความมุ่งมั่นแล้วก็ตลกดีด้วย ที่สำคัญหลงใหลแองเจิ้ลส์เอามากๆ เด็กนั่นไม่มีทางทำร้ายหรือคิดร้ายกับแองเจิ้ลส์ได้แน่นอน นายเลือกคนไม่ผิดหรอก” คนที่นั่งอยู่ตรงขอบโต๊ะกอดอกพลางพยักหน้า


          “ส่วนวันแรกที่เป็นแบบนั้นก็คงเพราะตื่นเต้นเกินไปเท่านั้นล่ะ นี่ก็ดูจะปรับตัวได้แล้วนะ เมื่อวานเห็นโฮเซ่อาละวาดขนาดนั้นยังไม่มีท่าทีขยาดเลย”  ระหว่างที่ฟังจินยองบรรยายสรรพคุณ เสียงปี๊บๆ ก็ดังขึ้นเบาๆ ที่ข้อมือของเจบี ชายหนุ่มเหลือบมองอย่างเหนื่อยหน่าย


          “ตายยากจริงแฮะ ไปก่อนนะ นายก็ไปนอนได้แล้ว”


           “ประตูมีทางเดียว แล้วนายจะหนีไปไหนได้” จินยองถามขำๆ กับอาการสาละวนหลบหน้าเด็กฝึกของเพื่อนรัก เจบีไม่ตอบแต่พยักเพยิดไปทางโดมใหญ่ ชายหนุ่มโบกมือให้เขาแล้วเดินออกจากห้องไป เพียงแค่สองสามนาทีต่อมาชายอีกคนที่เพื่อนเขากำลังหลบหน้าก็เดินเข้ามาในห้อง ใบหน้าที่ดูขี้เล่นแฝงแววอิดโรย ผมสีน้ำตาลเข้มที่สวมทับด้วยสแนปแบ็คใบโปรดแบบกลับหลัง แจ็คสันก้มหัวให้เขาน้อยๆ


           “ผมมารับงานของวันนี้ครับ”


           “ไปทำอะไรมา ไม่ได้นอนรึไง โชคดีนะที่ไม่ได้มาสาย” คำถามเสียงเข้ม แต่กลับแสดงออกถึงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน


           “ฮยองต่างหากละครับ ที่ดูเหมือนยังไม่ได้นอน” ชายหนุ่มยิ้มเผล่ให้เขาอย่างรู้ทัน


          “ก็นะ งานมันติดพัน เดี๋ยวฉันจะไปนอนแล้ว ส่วนงานของนายเช้านี้ไปช่วยแม็ทล้างอุปกรณ์ที่ห้องแล็บ”  จินยองรู้ตัวดีว่าเขาควรพักผ่อน เตียงที่หอพักของเขาดูจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดตอนนี้ เจ้าตัวจึงพาตัวเองลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วสแกนนิ้วโป้งลงบนแพดข้างคีย์บอร์ด จอข้อมูลที่ฉายอยู่ดับวูบลง


          “ฮยองครับ  เอ่อ.... ” เสียงเรียกเขาอย่างลังเลเหมือนต้องการถามอะไรบางอย่าง


          “มีอะไร”


          “ไม่มี  ไม่มีครับ พักผ่อนให้สบายเลยครับฮยอง” แจ็คสันทั้งส่ายหน้าทั้งโบกมือรัวๆ อาการที่เขารู้อยู่ว่าขัดกับคำตอบ แต่ก็ล้าเกินกว่าจะใส่ใจ เอาไว้ค่อยคุยก็แล้วกัน เขาจึงพยักหน้าน้อยๆ เป็นคำตอบ แล้วเดินจากมา

    .

    .

          แจ็คสันไม่กล้าถามเรื่องเด็กคนนั้นกับจินยอง เขารู้สึกเหมือนกำลังไปแตะต้องอะไรบางอย่างที่เป็นของต้องห้ามเข้า มานึกๆ ดู ตั้งแต่วันแรกที่เขามาทำงานจนถึงวันนี้ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวเอ่ยถึงโดมหลังเล็กนั่น ทั้งยูคยอมที่เป็นคนแนะนำสถานที่ต่างๆ ในสถาบันให้เขาได้รู้จัก หรือแม้แต่ตอนที่จินยองแนะนำแองเจิ้ลส์ของสถาบันก็ไม่ได้พูดถึง เขาหยุดยูนิไซค์ที่ขี่มาด้วยอาการใจลอยและพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ตรงหน้าทางเล็กๆ ริมกำแพงที่เดียวกันกับเมื่อคืน


         ชายหนุ่มยืนชั่งใจอยู่สักพักแล้วจึงก้าวเดินไปตามทางที่เขารู้ว่าจะพาไปเจออุโมงค์แก้ว แต่ตอนนี้ประตูอัตโนมัติสีเทาที่ปากอุโมงค์นั้นปิดสนิท แจ็คสันล้วงหาคีย์การ์ดของเขาแล้วแตะลงที่แผงสีดำใกล้ๆ แทนที่ไฟสีแดงจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวเหมือนปกติ กลับเป็นไฟสีแดงที่กระพริบถี่ๆ แสดงว่าเขาไม่มีสิทธิที่จะผ่านประตูนั้นเข้าไป แจ็คสันแตะคีย์การ์ดลงไปอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ ผลก็ยังเป็นเช่นเดิม


           “แล้วเมื่อคืนล่ะ..”  เมื่อคืนเขาไม่ได้เป็นคนเปิดประตูนี่นะ  แสดงว่า.. เขาบังเอิญเข้าไปในสถานที่ที่เขาไม่ควรเข้าไป และได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควรจะเห็น หรือว่า..  เขาจะไม่มีวันได้เห็นเด็กคนนั้นอีกแล้ว.. ความผิดหวังโจมตีหัวใจเขาอยู่ลึกๆ

    .

    .

           “เจอแล้ว! อยู่นี่เอง! เฮียมายืนทำอะไรตรงนี้อ่ะ” เสียงสูงที่คุ้นเคยดังแว่วมาพร้อมกับร่างสูงยาวของยูคยอมที่ก้าวยาวๆ มาหาเขา แจ็คสันพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปรกติที่สุด


          “พอดีเห็นทางที่ไม่เคยเข้ามา ก็เลยว่าจะมาสำรวจดูซะหน่อยน่ะ โทษทีนะ ฉันไม่รู้ว่าตรงนี้ห้ามเข้า”


           “อ๋อ คีย์ของเฮียเข้าไม่ได้สินะ ก็น่าอยู่หรอก เพราะแบมแบมน่ะ อันตรายสำหรับคนแปลกหน้านี่นา”


            “แบมแบม??” แววตาเขาคงเต็มไปด้วยความสงสัยจนเห็นได้ชัด ยูคยอมถึงได้อึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วเกาหัวเบาๆ อย่างลังเล

     

          “ยังไงก็ต้องรู้จักกันอยู่แล้ว ไหนๆ ก็ไหนๆ เข้าไปตอนนี้ก็คงไม่เป็นไรละมั้ง เจบีฮยองคงไม่ว่าอะไร”


          ยูคยอมหยิบเอียร์ปลั๊กของตัวเองออกมาใส่ แล้วส่งสัญญาณให้เขาทำแบบเดียวกันก่อนจะดึงการ์ดของตนเองมาแตะเพื่อเปิดประตู แจ็คสันเดินตามยูคยอมไปพลางใส่เอียร์ปลั๊กไปพลางเพื่อกลบเกลื่อนความตื่นเต้นที่จะได้เข้าไปข้างในอีกครั้ง ชายหนุ่มหันมาเช็คว่าเขาใส่เอียร์ปลั๊กเรียบร้อยแล้วจึงค่อยเปิดประตูโดม  อาการระแวดระวังของยูคยอมทำให้เขาพลอยรู้สึกเครียดตามไปด้วย เด็กตัวเล็กๆ แค่นั้นทำไมถึงต้องระวังกันขนาดนี้ด้วยนะ


           ภายในโดมไม่ได้ดูวังเวงน่ากลัวเหมือนเมื่อคืน เขาจำได้ว่ากรงนั่นอยู่ไม่ไกลจากทางเข้าเท่าไหร่นัก ยูคยอมยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากเป็นสัญลักษณ์ให้เขาเงียบที่สุด ทั้งสองเดินเลียบริมทางเดินที่ขนานไปกับกรงสีดำลึกเข้าไปมากกว่าที่เขาเคยเดินเข้ามา


          “นั่นไงฮะแบมแบม” ยูคยอมกระซิบแล้วชี้ให้เขาดู ด้านข้างของเด็กน้อยในชุดสีขาวที่กำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ร่างเล็กนั้นนั่งกอดเข่าเหม่อมองออกไปนอกโดม บรรยากาศอ้างว้างยังคงโอบล้อมร่างนั้นราวกับเป็นสิ่งเดียวกัน สายลมเอื่อยพัดผ่านพาใบไม้ปลิวร่วงจากต้นผ่านเส้นผมที่ปลิวไสว เพียงแต่..


           “ผมสีขาวงั้นเหรอ?...”  แจ็คสันพึมพำ พยายามจ้องร่างนั้นให้ถนัดตา เส้นผมของเด็กคนนั้นในตอนนี้เป็นสีขาวบริสุทธิ์ไม่ใช่สีเงินยวงเหมือนที่เขาเห็นเมื่อคืน หรือว่าเขาจะตาฝาด หรือว่า.. ยังมีเด็กอีกคน..


          “แปลกใช่มั้ยล่ะ” ยูคยอมกระซิบตอบเพราะคิดว่าแจ็คสันกำลังถามตนเอง


          “ไม่เคยมีใครเห็นแองเจิ้ลส์เป็นสีขาวมาก่อนเลย มีแบมแบมคนเดียวเนี่ยแหละ เพราะอย่างนี้แบมแบมก็เลยต้องอยู่ที่นี่”


         “เขาเป็นแองเจิ้ลส์เหรอ แต่ไม่เห็นมีปีกนี่” แจ็คสันถามในสิ่งที่ข้องใจ


         “แบมแบมน่ะ ไม่เคยกางปีกให้ใครเห็นหรอกฮะ”


         “ทำไมล่ะ”


          “เราออกไปคุยกันข้างนอกเถอะเฮีย อยู่ตรงนี้นานๆ เดี๋ยวแบมแบมจะรู้ตัว”  ยูคยอมบุ้ยใบ้ไปที่ทางออก แต่แจ็คสันยังไม่อยากละสายตาจากภาพตรงหน้า เขาอยากจะตะโกนเรียก อยากได้รับการตอบสนอง อยากจะไล่บรรยากาศอ้างว้างที่อยู่รอบตัวเด็กคนนั้นให้หายไป คนอย่างเขาสร้างเสียงหัวเราะให้ใครมานักต่อนัก ตอนนี้เขาปรารถนาอยากจะเห็นแค่รอยยิ้มเท่านั้น


           “เด็กตัวนิดเดียว ทำไมนายต้องกลัวด้วยล่ะ เมื่อวานยังเห็นปราบโฮเซ่ตัวโตกว่านี้ตั้งเยอะ” แจ็คสันถามคำถามเพื่อถ่วงเวลา เขารู้ว่าจะต้องออกไป แค่ขอเวลาอีกนิดเท่านั้น


           “มันไม่เหมือนกันนี่นา แบมแบมน่ะน่าสงสารออก ผมไม่อยากสู้ด้วยหรอก”


           แจ็คสันอยากฟังเรื่องเด็กคนนั้นให้มากกว่านี้ แต่ถ้ายังอยู่ในนี้ยูคยอมคงไม่ยอมเล่าแน่ๆ เขาจึงต้องตัดใจยอมถอย ร่างสูงยาวเดินผ่านเขากลับไปยังประตูโดมด้วยฝีเท้าเงียบกริบ แจ็คสันละสายตาจากแบมแบมแล้วเดินตาม แต่เพราะเขาไม่ทันระวัง


            “เปรี๊ยะ!!”  เสียงกิ่งไม้แห้งบนพื้นหักคาเท้าของเขา แจ็คสันตัวแข็งทื่อแต่ยังหันหัวกลับไปมองยังทิศที่จากมา ร่างเล็กนั่นลุกขึ้นยืนและกำลังจ้องมองตรงมาที่เขา เขาแน่ใจว่ากำลังสบตาแม้เพียงชั่วระยะเวลาแวบหนึ่ง ก่อนที่ยูคยอมจะวิ่งเข้ามาเอาตัวบังเขาเอาไว้ แขนข้างหนึ่งกันเขาไว้ด้านหลังส่วนมืออีกข้างเลื่อนลงไปที่เข็มขัดในท่าเตรียมพร้อม แจ็คสันเผลอยกมือขึ้นอุดหูโดยที่ไม่รู้ตัว เขารู้สึกเหมือนลำไส้กำลังบิดเป็นเกลียว เส้นประสาททั้งร่างขมวดเกร็งรอรับความเจ็บปวด


           แต่เด็กคนนั้นยังคงยืนเฉย แจ็คสันมองข้ามไหล่ยูคยอมไปเห็นร่างสีขาวนั้นยืนนิ่งอยู่สักพัก แล้วจึงหันหลังกระโดดหายขึ้นไปต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ


           “เอ๋... แปลกจัง ทำไมล่ะ” เด็กโย่งหลุดจากท่าเตรียม ยืนเกาหัวอย่างงุนงงแล้วหันกลับมามองหน้าเขา  “หรือว่าจะไม่สบายนะ สงสัยต้องบอกให้เจบีฮยองมาดูสักหน่อย เรารีบไปกันเถอะเฮีย ก่อนที่แบมแบมจะเปลี่ยนใจ” แจ็คสันไม่ต้องรอให้พูดซ้ำทั้งสองคนออกวิ่งเหยาะๆ ไปทันที

     

            “เฮ้อออ เกร็งแทบแย่แน่ะ”  ร่างสองร่างทิ้งตัวลงบนโซฟานุ่มๆ พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ยูคยอมสะบัดหัวแล้วเสยหน้าม้าหนาเตอะขึ้นไป เป็นครั้งแรกที่แจ็คสันได้เห็นหน้าเด็กหนุ่มแบบชัดๆ เด็กนี่หน้าตาดีใช่ย่อยเลยนะเนี่ย


            “ยูคยอมมม เล่าเรื่องแบมแบมให้ฟังหน่อยสิ นะ เดี๋ยวเฮียเลี้ยงหนม” แจ็คสันยกนิ้วก้อยขึ้นเป็นสัญลักษณ์ว่าจะไม่คืนคำ


           “อืมมมม ทำไมเฮียถึงดูสนใจแบมแบมจัง ระวังเจบีฮยองจะยิ่งโกรธไปกันใหญ่นะฮะ”


          “ทำไมเจบีฮยองจะต้องโกรธด้วยล่ะ เฮียไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” แจ็คสันย่นคิ้ว


           “ก็เจบีฮยองน่ะ รักแบมแบมม๊ากกกกกมากน่ะสิฮะ ใครๆ เค้าก็รู้กันทั้งนั้นแหละ” ยูคยอมชี้ไปที่ผนังฝั่งที่มีของตกแต่ง รูปโพลารอยด์ใบเล็กๆ หลายใบติดอยู่บนผนัง แจ็คสันต้องลุกขึ้นไปดูใกล้ๆ เพราะสายตาสั้นๆ ทำให้เขาเห็นไม่ค่อยถนัดนัก ท่ามกลางรูปมากมายของทีมลาดตระเวน รูปของเจบีที่กำลังยิ้มอย่างอบอุ่น มือใหญ่ที่วางอยู่บนหัวเล็กๆ สีขาวเหมือนกำลังลูบผมอย่างอ่อนโยน กับใบหน้าของเด็กคนนั้นที่กำลังยิ้มน้อยๆ ลอยเด่นชัดขึ้นมาในสายตาเขา ถึงแม้รูปจะค่อนข้างเบลอและซีดจางไปบ้างก็ตามแจ็คสันผละจากผนังเดินกลับมานั่งลงข้างๆ ยูคยอม เก็บอาการอิจฉารูปนั้นไว้อยู่ลึกๆ  


          “เจบีฮยองเป็นคนเก็บแบมแบมมา เมื่อ 5 ปีก่อน ตอนที่ออกไปลาดตระเวน แบมแบมตกลงมาจากยอดไม้บาดเจ็บ คงเพราะโดนแองเจิ้ลส์คนอื่นๆ แกล้งเอา แองเจิ้ลส์นะฮะ การที่จะตกต้นไม้จนบาดเจ็บน่ะ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ถึงจะไม่ได้กางปีกก็เถอะ แต่แองเจิ้ลส์ส่วนใหญ่ก็ยังมีพละกำลังกับตัวที่เบาจนโผไปมาหรือกระโดดระหว่างต้นไม้ได้สบายๆ แต่ที่แบมแบมยอมปล่อยให้ตัวเองบาดเจ็บขนาดนั้น จินยองฮยองบอกว่าน่าจะมีปัญหาจากจิตใจ”


           “เจบีฮยองเฝ้ารอให้พ่อแม่แบมแบมออกมารับ เพราะปกติแองเจิ้ลส์ที่ยังเด็กจะอยู่ร่วมกับพ่อแม่ แต่ก็ไม่มีใครมาเจบีฮยองก็เลยพากลับมาที่สถาบัน”  ยูคยอมหยุดเล่าเหมือนกำลังนึกถึงอะไรบางอย่าง


           “จินยองฮยองบอกว่าปัญหาของแบมแบมเดาได้ไม่ยาก ผมของแบมแบมเป็นสีขาว เพราะฉะนั้นปีกของแบมแบมก็น่าจะเป็นสีขาวเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นแบมแบมก็เลยไม่ยอมกางปีก สีสันของผมกับปีกน่ะ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของแองเจิ้ลส์เลยก็ว่าได้ มันบอกได้ทั้งจิตใจ คู่ชีวิต แล้วก็ลำดับสถานภาพทางสังคมของแองเจิ้ลส์ในฝูง แบมแบมคงจะโดนแองเจิ้ลส์คนอื่นๆ ในฝูงรังเกียจเอา เพราะแองเจิ้ลส์ที่สถาบันก็ทำกับแบมแบมอย่างเดียวกัน”


          “ทำไมกัน สีขาวน่ะสวยออกจะตาย ไม่เห็นจะแย่ตรงไหนเลย” แจ็คสันแย้ง หัวใจเขาปวดหนึบเมื่อนึกถึงสิ่งที่เด็กคนนั้นต้องเผชิญ ความอ้างว้างที่ลอยอยู่รอบๆ ตัวเด็กคนนั้นคงเพราะด้วยเหตุนี้


           “ก็นั่นมันในสายตามนุษย์นี่เฮีย แต่ในสายตาแองเจิ้ลส์มันคนละเรื่องกันเลย แล้วอีกอย่างนะการที่แบมแบมไม่ยอมกางปีกมันยิ่งทำให้แย่เข้าไปใหญ่”


           “ทำไมล่ะ”


           “ก็แองเจิ้ลส์น่ะ จะเก็บปีกเฉพาะเวลาจำเป็นจริงๆ เท่านั้น กับอีกเวลานึงก็.... ”


           “ก็อะไรเล่า” แจ็คสันลุ้นปนขัดใจ


           “ก็เฮียคิดว่ามีเวลาแบบไหนบ้างล่ะ ที่ปีกใหญ่ๆ มันเกะกะน่ะห๊าาา”  ยูคยอมย้อนเบาๆ แก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงจางๆ จนถึงใบหู


           “เอ่อ... ก็.... อ๋อออออออ” แจ็คสันหน้าแดงจัดเมื่อเข้าใจถึงเวลาที่ยูคยอมว่า


            “การที่แบมแบมอยู่แบบนั้นในฝูงแองเจิ้ลส์น่ะ ก็เหมือนเดินแก้ผ้าตัวเปล่าเปลือยอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ แต่แบมแบมก็ยังยอมทนอยู่แบบนั้นมากกว่าจะกางปีก เด็กคนนั้นคงจะอายปีกของตัวเองเอามากๆ เลยล่ะ น่าสงสารใช่มั้ยล่ะ ผมถึงไม่อยากสู้กับเด็กคนนั้นไง”


            “แล้วทำไมต้องมีกรงด้วยล่ะ”


           “ก็แบมแบมมีประวัติอาละวาด ทำร้ายเจ้าหน้าที่สถาบันกับคนแปลกหน้าที่เข้าไป ก็เลยต้องสร้างกรงกันเอาไว้ มีแค่เจบีฮยอง กับจินยองฮยองเท่านั้นแหละที่เข้าใกล้แบมแบมได้ ถ้ามีคนอื่นเข้าไปนะ ไม่โดนกรี๊ดใส่จนหัวระเบิด ก็โดนทึ้งจนเจ็บหนักนั่นแหละ ไม่งั้นผมคงไม่ต้องให้เฮียใส่เอียร์ปลั๊กหรอก”


            “เอียร์ปลั๊กนี่ช่วยอะไรอ่ะ ว่าจะถามหลายทีละ ถึงจะใส่ไว้ก็ยังได้ยินเสียงชัดอยู่ดีนี่นา”


             “เอียร์ปลั๊กน่ะช่วยกรองคลื่นเสียงของแองเจิ้ลส์ในระดับความถี่ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์น่ะฮะ ไม่งั้นเจอกรี๊ดใส่ล่ะก็ หัวระเบิดบึ้มเป็นโกโก้ครั้นช์ได้เลย”  แจ็คสันนึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่เขาไม่ได้ใส่เอียร์ปลั๊กตอนเข้าไปแล้วก็หวาดเสียว โชคยังดีที่แบมแบมไม่เล่นเขาจนหัวระเบิด


               “ด้วยเหตุผลทั้งหมดนั่น แบมแบมก็เลยต้องถูกแยกมาอยู่คนเดียวที่โดมเล็ก ไม่อยู่ในรายชื่อแองเจิ้ลส์ของสถาบัน เพราะแบมแบมไม่อยู่ในโปรแกรมทดลองไหนๆ เลย แล้วเจ้าหน้าที่กับพนักงานทุกคนก็รู้กันดี ก็เลยไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไป มีแค่เจบีฮยองกับจินยองฮยองเท่านั้นแหละฮะที่เข้าไปได้”


             “ขอถามอีกข้อนะยูคยอม เป็นข้อสุดท้าย” ยูคยอมพยักหน้ารับ


            “เฮียต้องทำยังไง ถึงจะใช้การ์ดเฮียเปิดประตูนั้นได้ล่ะ” ยูคยอมหันขวับมาหาเขาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ถ้าเขามองผ่านม่านผมสีดำนั้นไปได้คงเห็นตายูคยอมแทบถลนออกนอกเบ้า


           “เอาจริงเหรอเฮีย!!! ครั้งนี้เฮียรอดก็ไม่ใช่ว่าครั้งต่อไปจะรอดนะ แล้วยิ่งเข้าไปคนเดียวด้วยแล้วเนี่ย”


            “อื้มม  แล้วเฮียจะระวังตัว” แจ็คสันตอบด้วยรอยยิ้ม ไม่ว่ายิ้มนั้น จะเป็นยิ้มที่ให้กับอะไรก็ตาม.. 

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in