เรื่องสั้น “บุญคุณ” ในหนังสือรวมเรื่องสั้นชุด ชำเรา ของ พิราอร กรวีร์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับลูกสาวชื่อ “ปาย” ที่ต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวคนเดียวหลังการจากไปของแม่โดยไม่ได้ทิ้งเหตุผลเบื้องหลังการจากไปให้เธอรู้ แม้ทั้งสองจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แม่ของปายก็ยังส่งข้อความสวัสดีมาให้เธอในไลน์ทุกวันเพื่ออวยพรเธอและบอกว่าแม่ยังสบายดี อยู่มาวันหนึ่ง แทนที่จะมีเสียงข้อความแจ้งเตือนจากแม่ดังขึ้นเหมือนทุกที กลับเป็นเสียงโทรไลน์หาปายแทน ปายได้รู้สาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมแม่ถึงจากเธอไป แท้ที่จริงแล้ว แม่ของปายเสียชีวิตไปตั้งแต่ 1 ปีก่อน ส่วนคนที่ส่งไลน์มาสวัสดีเธอตอนเช้าแทนทุกวันเป็นเวลา 1 ปี ก็คือ “หมี่” ลูกของเพื่อนสนิทของแม่
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าแม่ของปายจะจากปายไป และไม่ยอมรับโทรศัพท์หรือกลับมาหาปายอีก แต่เธอใช้การสื่อสารผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์ เป็นเหมือนพื้นที่ในการส่งต่อความหวังดีให้ปายด้านจิตใจ แม้ว่าตัวของทั้งคู่จะห่างไกลกัน แต่เธอยังสามารถส่งต่อความหวังดีและบอกว่าเธอยังสบายดีผ่านข้อความสวัสดีที่จะส่งหาปายตอนตี 5 เป็นประจำทุกวัน
การวางแผนส่งต่อความหวังดีผ่านข้อความสวัสดีทางไลน์นี้ ยังวางแผนไปถึงยามที่เธอตาย เธอฝากฝังให้เพื่อนสนิทของเธอส่งไลน์สวัสดีต่อให้ปายทุกวันเหมือนเดิม พร้อมกับห้ามไม่ให้เพื่อนบอกเรื่องนี้กับปาย เพราะเธอคิดว่าปายจะเข้าใจเอง เข้าใจว่าสิ่งที่เธอคิดทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดและเป็นความหวังดีที่แม่ทำเพื่อปายทั้งนั้น ส่วนปายเองก็จะได้สบายใจเพราะคิดว่าเธอยังคงมีชีวิตอยู่ ยังคงแข็งแรงสามารถส่งคำสวัสดีตอนเช้าให้ปายได้ทุกวัน
แต่ความหวังดีทั้งหมดที่แม่ทำให้ปายและคิดว่าจะเป็นสิ่งที่ “ดี” ต่อตัวปาย ดีต่อปายจริง ๆ เหรอ?
เวลาเราพูดถึงการหยิบยื่นความหวังดีให้แก่ผู้อื่น เราปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่บ่งชี้ว่าความหวังดีนั้นเป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ หรือไม่ คือความหวังดีนั้นเกี่ยวข้องไปถึงคำว่า “ผู้ให้” และ “ผู้รับ” ด้วย ถ้าสิ่งที่เราในฐานะผู้ให้หยิบยื่นสิ่งที่คิดว่าเป็นความหวังดีสำหรับตัวเราให้ผู้อื่นซึ่งอยู่ในสถานะผู้รับ แล้วผู้รับเกิดไม่ชอบใจหรือทุกข์ใจจากความหวังดีนั้นที่เราหยิบยื่นให้ แบบนี้เรายังสามารถเรียกความหวังดีที่เราให้ผู้อื่นโดยพลการนี้ว่าเป็น “ความหวังดี” ได้อยู่หรือไม่
เช่นเดียวกับกรณีของแม่กับปาย ความหวังดีที่แม่คิดว่าจะเป็นสิ่งที่ดีต่อตัวปายนั้น ทั้งเรื่องการจากปายไป การส่งสวัสดีผ่านไลน์แต่ไม่พูดคุยถามไถ่กันถึงเรื่องอื่น ๆ การวานให้ผู้อื่นส่งข้อความสวัสดีต่อแม้ในวันที่ตนเองได้เสียชีวิตลงแล้ว รวมไปถึงไม่อธิบายให้ปายรับรู้ความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เธอทำและโรคที่เธอเป็น สิ่งเหล่านี้แท้จริงแล้วก็เป็นความหวังดีที่เกิดจากการคิดแทนของแม่ในฐานะ “ผู้ให้” เธอใช้อำนาจในการตัดสินใจที่เธอมี คิดแทนและคิดเผื่อปายจนท้ายที่สุดเป็นการบังคับให้ปายในฐานะ “ผู้รับ” ต้องใช้ชีวิตในแบบที่เธออยากให้เป็นตามความคิดของเธอ
จากตัวอย่างคำพูดของปายที่ยกมา แสดงให้เห็นว่าปายต้องทำตาม “ความหวังดี” ซึ่งเป็นการบังคับกลาย ๆ ของแม่ให้ปายต้องเข้มแข็ง ต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง แม้แม่ของเธอจะจากเธอไปโดยไม่บอกกล่าวเหตุผลอะไรกับเธอเลย และแม้ในยามที่เธอคิดถึง อยากพูดคุยกับแม่ เธอไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะทำสิ่งเหล่านั้นได้ ไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีการผ่อนปรน เพราะมันคือข้อบังคับของแม่ เป็นข้อบังคับที่แม่มองว่าการติดต่อและพูดคุยกันให้น้อยที่สุดน่าจะเป็นสิ่งที่ดีต่อตัวเธอทั้งคู่ และปายไม่อาจละเมิดข้อบังคับนี้ได้ เพราะละเมิดไปก็ได้รับเพียงการเมินเฉยจากผู้เป็นแม่ และแม่คงไม่มีวันยอมใจอ่อนเพราะนี่คือสิ่งที่แม่ของปายยึดถือเป็นกฎเหล็กแห่งความหวังดีที่มีต่อตนเองและต่อตัวปาย
นอกจากนี้ เรายังได้เห็นอีกว่า แม้ปายจะบอกว่าตัวเองเข้มแข็งมากแค่ไหน แต่ภายในใจของเธอนั้นกลับไม่ได้มีความสุขกับความหวังดีที่แม่มอบให้เธอเลย อย่างเช่นตัวอย่างที่เธอพิมพ์สวัสดีตอบกลับแม่ไปว่า
จากสองตัวอย่างที่ยกมา เราจะเห็นได้ว่าความสุขที่ปายต้องการอย่างแท้จริงและเป็นสิ่งที่ดีต่อเธอคือ การได้อยู่กับแม่ ได้โอบกอด ได้หนุนตัก ได้บอกรักแม่ของเธอ เธอจึงหวังว่าแม่จะมองเห็นถึงสิ่งที่เป็นความหวังดีต่อเธออย่างแท้จริง และเปลี่ยนใจกลับมาอยู่กับเธอ
ไม่เพียงปายไม่มีความสุขจากความหวังดีนี้ แต่เธอยังต้องทนทุกข์กับมันยิ่งกว่าเดิมหลังจากวันที่เธอได้รู้ความจริงว่าแม่ของเธอจากไปด้วยโรคมะเร็งเป็นเวลาถึง 1 ปีแล้ว และเหตุที่เธอต้องทุกข์ทนไม่ใช่เพราะเธอไม่เข้าใจในความหวังดีของผู้เป็นแม่ แต่เพราะเธอเข้าใจแม่และความหวังดีนั้นมากเกินไปต่างหาก ในวันที่เธอรู้ความจริงเรื่องสาเหตุที่แม่จากเธอไป วันนั้นกลับกลายเป็นวันที่เธอได้เข้าใกล้แม่มากขึ้นไปอีกขั้น เข้าใกล้แม่ทางด้านจิตวิญญาณ เข้าใกล้ความรู้สึกนึกคิดของแม่และเข้าใกล้เหตุผลในการมีอยู่ของคำว่า “หวังดี” จากแม่มากที่สุด ในขณะเดียวกันก็เป็นวันที่เธอเหมือนไกลห่างจากแม่ที่สุด ไกลทั้งในมิติเวลาที่ไม่อาจซ้อนทับกันได้อีก ไกลทั้งความรู้สึกและร่างกายที่ไม่อาจเดินวนมาเจอกันได้ และแม่ยังได้ทิ้งอีกสิ่งที่ทำให้ปายต้องก้าวถอยออกมาจากความหวังดีของแม่ นั่นคือหนามแหลมจากความหวังดีที่แม่มอบให้เธอเสมอมา เพราะเธอเจ็บปวดที่ไม่มีโอกาสได้ดูแลแม่ตอนที่แม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่และต่อจากนี้คงไม่อาจมีโอกาสแม้แต่จะเจอแม่หรือได้รับข้อความสวัสดีจากแม่ไปตลอดกาล
หนามแหลมจากความหวังดีที่แม่ของปายทิ้งไว้นี้ ยังชอนไชเข้าไปกลายเป็นปมในใจที่ปายไม่อาจตัดขาดจากมันได้ นั่นคือปมที่ปายอยากดูแลใครสักคน เพราะตอนที่แม่ของเธอยังอยู่เธอไม่มีโอกาสได้ทำสิ่งเหล่านั้นเลย
แน่นอนว่า หนามแหลมจากความหวังดี นั้น ยังทิ้งแผลในใจไว้กับปาย เป็นเหมือนของต่างหน้าที่แม่ทิ้งไว้ให้เธอแทนร่างกายของแม่
คงไม่อาจกล่าวได้ว่า ความหวังดีจากแม่ถึงปายเป็นความหวังดีต่อตัวผู้รับได้อย่างแท้จริง เพราะสิ่งที่ปายได้กลับมาเมื่อรู้สาเหตุการจากไปที่แท้จริงและข่าวการเสียชีวิตของแม่กลับเป็นผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามกับผลลัพธ์ที่แม่ของเธอคิดว่าควรจะเป็นโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ แทนที่ปายจะไม่คร่ำครวญ ไม่ห่วงหาอาวรณ์และไม่เจ็บปวดกับการจากไปตามที่แม่ของเธอคาดหวังให้เป็น ปายกลับทุกข์ทรมานกับมันมากกว่าเดิม ซ้ำร้ายมันยังกลายเป็นเหมือนโศกนาฏกรรมฉากหนึ่งในชีวิตของเธอที่ทิ้งปมและบาดแผลไว้ในใจของเธอไปชั่วชีวิต
บรรณานุกรม
พิราอร กรวีร์. (ม.ป.ป). ชำเรา. นครปฐม : สำนักพิมพ์ เม่นวรรณกรรม.
ที่มาภาพปก https://pixabay.com/illustrations/prisoner-brain-captivity-thinking-6253261/
© สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ. 2558
บทวิจารณ์โดย...ภัทราพร ชัยบุตร
นิสิตชั้นปีที่ 4 ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
บทวิจารณ์นี้เป็นผลงานจากรายวิชา 2201482 นวนิยายและเรื่องสั้น ปีการศึกษา 2564
เผยแพร่เพื่อประโยชน์ทางวิชาการเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ทำซ้ำหรือดัดแปลง
บรรณาธิการ: หัตถกาญจน์ อารีศิลป
กองบรรณาธิการ: อัลวานี นาดามัน และศราวุธ วังหลวง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in