วันนั้นหิมะตก ในช่วงบันทึกความเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศและผลกระทบต่างๆ ซึ่งนิวยอร์กซิตี้มีปัญหาเรื่องหิมะตกช้าไปเรื่อยๆ ทุกปี ปีนั้นเป็นปีที่หิมะตกเร็วกว่าปกติ พยากรณ์อากาศเตือนพายุหิมะตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน แล้วพายุหิมะที่ว่าก็ไม่ลงมือเสียทีหนึ่ง ทำให้แผนวันขอบคุณพระเจ้าของครอบครัวใหญ่ที่มีคนกระจายกันอยู่ทั่วสหรัฐปั่นป่วนกันไปหมด สุดท้ายป้าใหญ่ อากาเธียก็ยื่นคำขาดให้ทุกคนเปลี่ยนมาฉลองวันขอบคุณพระเจ้ากับแกที่แอละแบมาแทน
อีซรายังจำได้อีกด้วยว่านั่นเป็นปีที่กรรมการบริหารมณฑลสักคนให้สัมภาษณ์อย่างจริงใจ ว่าพวกเก้งแม่งทำให้เขาอารมณ์เสียขนาดไหน ดังนั้นคนที่ไม่ชอบเกย์และสายรุ้งพวกนี้ก็ควรมีสิทธิ์จะได้ใช้คำหยาบคายทุกคำที่มีอยู่เพื่อกล่าวถึงพวกผิดเพศทั้งหลายต่อไป โดยไม่ต้องห่วงว่าจะกระทบกับหน้าที่การงาน เขาจึงอยู่โยงที่นิวยอร์ก ตั้งหน้าตั้งตาหาอพาร์ตเมนต์ใหม่
เดิมอีซราไม่มีปัญหาเรื่องอยู่บ้านเดียวกับพ่อแม่ต่อหลังเรียนจบ พวกเขาใช้เวลาร่วมกันเก่ง และแยกย้ายกันไปทำสิ่งที่อยากทำเก่งพอกัน เขาคิดว่าเพื่อนของเพื่อนของสองคนนั้นต่างหากที่มีปัญหาเรื่องลูกชายของพวกเขาย้ายกลับมาอาศัยอยู่ด้วย
ไม่ขอลงลึกรวมถึงไม่ขออธิบายตัวเองว่าเขาตัดสินใจย้ายออกอย่างไว ทั้งที่อยู่สุขสบายในบ้านทาวน์เฮ้าส์ของบุพการีมาเกือบสามปี ทางบุพการีเองไม่เคยเร่งเร้ารึมีแผนให้บุตรชายย้ายออก โดยเฉพาะฝ่ายบิดาที่ดูจะอยากให้อีซราอยู่ด้วยตลอดไป เพื่อมาคอยรับงานซ่อมแซมของในบ้านแทนตัวเอง ไม่ว่าจะเคเบิล คอมพิวเตอร์ วิทยุ ส้วม หลอดไฟ จักรยาน รถยนต์ เตาอบ ท่อน้ำ แม่ใช้เกณฑ์ว่าต้องเรียกช่างซ่อมก็ต่อเมื่อลูกรักของหล่อนซ่อมเองไม่ได้ ชายหนุ่มมิได้บ่นหรือตัดพ้ออะไร เขาจำไม่ลืมว่าพ่อของเขาห่วยแตกเรื่องพวกนี้ขนาดไหน ส่วนแม่ของเขาก็ไม่มีสามัญสำนึกว่าอะไรนับเป็น 'ซ่อมแล้ว'
อนิจจา วินาทีที่ค้นพบว่าพ่อกับแม่ของเขามีกิจการคนทรงแอบดำเนินอยู่ในห้องใต้ดิน ไม่ว่าคนนอกจะเข้าใจว่าเหตุผลของอีซราเป็นการต่อต้านไสยศาสตร์ ไม่ยอมเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ คิดว่าพ่อแม่เพี้ยน หรือเพราะกลัวเรื่องผีสางนางไม้จนนอนข่มตาหลับไม่ลง เสียงไม้แตกตัวในบ้านเพราะความต่างอุณหภูมิและชื้นกลายเป็นเสียงแรงมหาศาลที่ตามองไม่เห็นบีบคาน เมื่อคืนก่อนหลับไม่สนิทรึผีอำ เสียงลากนิ้วครูด ครูด ครูด หรือหูอื้อไปเอง อาการของพังในบ้านเริ่มดูน่าสงสัยว่า เ ป็ น เ พ ร า ะ อ ะ ไ ร กั น แ น่ นะ เขาไม่สนเลยจริงๆ ว่าคนอื่นจะคิดว่าเหตุผลของเขาคืออะไร จะทางไหน ผลก็คืออีซราวางแผนย้ายออกด่วนจี๋
เขาไม่ใช่คนที่ผู้ปกครองจะมาขอให้อธิบายแก่ลูกหลานได้เลย ว่าคนบนอินเตอร์เน็ตนั้นไว้ใจไม่ได้ อีซราได้ห้องที่กลายเป็นที่อยู่ปัจจุบันจากการขอความช่วยเหลือในทวิตเตอร์ เขาพูดได้แค่พอได้ข่าวสารชั้นดีว่าคนรู้จักของ @smn1u8ntrust มีแผนจะย้ายเมือง เขากูเกิ้ลให้แน่ใจก่อนว่าอพาร์ตเมนต์ดังกล่าวมีอยู่จริง และผู้ดูแลมีตัวตนสักนิดสักหน่อยบนอินเตอร์เน็ต
และวันนั้นหิมะตกตอนบ่าย อากาศเย็นลมแรงประสานิวยอร์ก คนเดินขวักไขว่ ประสานิวยอร์ก หนูตัวเบ้อเริ่มลากพิซซ่าบางสองแผ่นไปตามพื้น ซาลามี่ติดแน่นบนหน้าแป้ง ประสานิวยอร์ก อีซราเกิดและโตที่นี่ แต่เขาก็ยังไม่เห็นอะไรที่ไม่ใช่ประสานิวยอร์กให้พิสูจน์สักทีว่าของแปลกแยกของที่ไหนสักแห่งคืออะไรกันแน่ ทั้งที่ของพวกนี้ก็หาได้ในถนนหนทางเมืองอื่นเหมือนๆ กัน (โอเค อาจจะยกเว้นโครนัท แต่คนที่อื่นก็ไม่ได้อยากหาโครนัทได้ตามท้องถนนแถวบ้านพวกเขานี่ พวกเขาเหล่านั้นมีควัฟเฟิล ถังหูลู่ ชาเย็นอีก) อีซราจินตนาการถึงห้องพักที่ปรารถนา ซึ่งหน้าตาก็ค่อนข้างคล้ายห้องในอพาร์ตเมนต์เก่าที่เคยพักอาศัยอยู่จนเกรดสิบเอ็ด แต่เล็กกว่า เพราะเขาทราบดีว่าคงไม่มีทางหาห้องได้ใหญ่เท่านั้นในสมัยนี้
อิงการ์ดนั่งดื่มช็อกโกแลตร้อน เล่นกับแมวอยู่หน้าอพาร์ตเมนต์ของตัวเอง นั่นก็ประสานิวยอร์กเกอร์ (ทั้งที่จริงหมอนี่เป็นฟลอริดาแมน ผู้ทำตัวเหมือนมาจากยุโรปอีกทีหนึ่ง) อีซราถามยืนยันเรื่องชื่อตึกกับคนแปลกหน้า ณ ตอนนั้น แปลกหน้าทว่าคุ้นตาชอบกล แต่อีซราคิดว่าชายหน้าตาดีอายุมากกว่าก็คงจะเคยโผล่ในแฟนตาซีไม่สมจริงของเขามาแล้วทั้งนั้น โดยเฉพาะคนที่มีตาสีฟ้าสวยแบบนั้น
วันที่เขาย้ายเข้า หิมะหยุดตกไปตั้งแต่ช่วงราวๆ เที่ยงคืน สิบโมงเช้าวันนั้นท้องฟ้าส่วนใหญ่ออกขาวเทา แต่ตรงขอบยังเหลือเฉดแสงเขียวของตอนตีห้าไว้ในดวงตา
ส่วนจังหวะที่เขาหยิบหนังสือยัดใส่ตู้ แล้วเห็นใบหน้าเดียวกับคนที่กำลังโบกมือ จะเดินเข้ามาขันอาสาช่วยย้ายลังต่างๆ พิมพ์อยู่บนปีกปกแข็งหนังสือนิยาย ความรู้สึกระบมของหนังสือหนาแปดร้อยสิบสองหน้าหล่นทับหัวแม่เท้าย้อมทุกอย่างเป็นสีแสดไปชั่วขณะ
เขารับความบังเอิญที่ทำให้เจ็บไปทั้งนิ้วหัวแม่โป้งได้ อีซราไม่เป็นอะไร
เฮอร์ชีย์ลับไปจากกระทั่งในกระจกมองหลังแล้ว
"แต่นั่นแหละ ถ้าไม่ใช่บังเอิญแล้วจะเป็นอะไรไปได้เล่า" อีซราขัดทั้งอิงการ์ดและตัวเอง ไม่เห็นความสมเหตุสมผลในการจะบอกว่าเรื่องนี้มีที่มาที่ไปตรงไหน ความบังเอิญเป็นเรื่องสยองขวัญที่ดั้งเดิมที่สุดในอารยธรรมมนุษย์
"เรื่องบังเอิญไม่ต่อเนื่องขนาดนี้หรอก"
"นั่นไม่จริงไม่ใช่เหรอ เพราะต่อเนื่องต่างหากถึงได้เป็นเรื่องบังเอิญ"
พวกเขาให้ด้านข้างของตนรับรู้ถึงอีกฝ่ายกันไปกันมา และปล่อยถ้อยคำกระเด็นกระดอนใส่กันอยู่ในรถคันเดิมที่กำลังมุ่งหน้ากลับนิวยอร์ก หนทางข้างหน้าเป็นสีเทาโดยมิต้องเปรียบเปรย อากาศช่วงใกล้เที่ยงวันขมุกขมัวยิ่งกว่าตอนเย็นย่ำเมื่อวาน
"บทสนทนานี้จะเริ่มตั้งแต่ตรงนั้นเชียว"
"เพราะพวกเราคงไม่คุยเรื่องงานของพวกเราตอนนี้หรอก"
"อีซรา คนดีของฉัน" อิงการ์ดลากเสียงยาน กระทบกระเทียบ "มีศพที่บังเอิญชื่อเดียวกับศพใต้น้ำในพล็อตของนาย ร่องรอยทั้งหมดย้อนกลับไปบ้านของคุณป้าที่นายเคยไปสมัยยังเด็ก ศพที่ว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่ หน้าตาคล้ายนาย แต่รู้ไหมอะไรรบกวนจิตใจฉันที่สุด"
"เรื่องที่ป้าฉันเคยโดนตั้งข้อหาน่ะนะ?"
"นั่นก็ทำให้ตาโตไม่น้อย แต่ไม่ใช่ที่สุดอยู่ดี เรื่องที่รบกวนจิตใจฉันที่สุดคือ ทำไมศพเพิ่งถูกย้ายออกจากที่ซ่อนตั้งนานเกือบปีเอาตอนพวกเราไปที่นั่นพอดี นั่น! นั่นความบังเอิญที่รบกวนจิตใจฉันที่สุด รวมกับเรื่องเจมส์ คอลลิมอร์หน้าตาคล้ายนายด้วยแล้ว ฉันไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ ไม่สิ ฉันคิดว่าความบังเอิญอยู่ที่อื่น ไม่ใช่ตรงนี้ ต้องมีความบังเอิญเหลืออยู่บ้างแหละนะ"
"แต่พวกเราไปที่นั่นด้วยกันแบบไม่บอกใครเลยนะ คิดดูสิ สมมติฉันไม่ลงไปข้างล่างพอดี นายก็คงไม่ได้ขับรถไปเพนซิลเวเนียแต่แรก ไหนจะไปถึงแม่น้ำตรงนั้นพอดีอีก"
"ใช่ ดังน้ั้นพวกเราจะตัดตรงนั้นออก"
"ตัดออกไปไหนได้ก่อน" เขายกศอกขึ้นวางเกยเนื้อนูนตรงใต้ขอบหน้าต่างรถ กระดิกนิ้วเขี่ยปอยผมไม่ได้หวีไปมาบนหน้าผากอย่างไร้จุดหมาย ในรถอุ่น กระจกเย็นจากข้างนอกมาถึงข้างใน อุณหภูมิอุ่นไม่มีที่ไปข้างนอก เขาท่องเรื่องนี้ไปมาจนเห็นภาพปนไปกับภาพจินตนาการของโครงกระดูกที่ยังเกาะติดกัน ต้านกระแสน้ำไหล
"จากความเป็นไปได้ว่ามีใครสักคน วิศวกรรมให้เราไปร่วมเป็นสักขีพยานการกู้ศพของคุณคอลลิมอร์ขึ้นมา" อิงการ์ดลดความเร็วลงตามที่เห็นไฟท้ายรถคันหน้า "และในเมื่อเรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ ก็แปลว่า เรื่องที่เจมส์ คอลลิมอร์หน้าตาคล้ายนาย ตายแล้วถูกซ่อนอยู่ในตู้เย็นเก่าในบ้านหลังเก่าของญาติของนาย ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ"
อีซราเปิดปากจะแย้ง แต่ก็เปลี่ยนใจ เอนตัวหาความสบายในเบาะนั่งเบาะเดียวกับเมื่อวาน "ฉันคงพลาดไปว่าเขาตายยังไง หรือตำรวจไม่ได้บอกพวกเรา"
"ตำรวจไม่ได้บอกพวกเรา พวกเขาบอกซีโมน"
"นายรู้ได้ไง"
"ฉันแอบฟัง ตอนนั้นนายกำลังคุยกับไมโล" อิงการ์ดยอมรับหน้าตาเฉย "พวกเขาคุยกันเรื่องเจมส์ตายเพราะถูกทุบอย่างแรงที่หัว ใช้ของแข็งฟาดอย่างแรง...หลายครั้ง หลายแห่ง"
"เวลาแบบนี้ ตัวละครพวกนั้นจะพูดว่าอะไรนะ"
"ระเบิดโทสะ"
จินตนาการแรกตามคำนั้นมาเป็นเสียงไม่ใช่ภาพ
เสียงดังกึกก้องที่ทำให้ผู้ใหญ่สะดุ้งได้ไม่ต่างกับเด็กตัวน้อย
"ชื่อเจมส์นั่น นายคิดว่าบังเอิญหรือเปล่า"
รถเคลื่อนไปข้างหน้าเล็กน้อยแล้วก็หยุด เขาได้ยินเสียงนิ้วของอิงการ์ดพรมเคาะพวงมาลัย กับเสียงเขาเปลี่ยนเกียร์ตามรถคันหน้าเช่นเคย รถคันหลังก็คงด้วย
"ลองค่อยๆ ไล่ดูสิ อย่างเช่น ทำไมถึงเป็นเจมส์แต่แรก"
"ไม่" เรื่องนี้อีซราตอบได้ทันที "ตอนแรกไม่ใช่เจมส์ ไม่ใช่ เกือบจะเป็นปีเตอร์ด้วยซ้ำ" เขาย้ำลงไปกับช่องว่างของชื่อที่ยังจำได้ดี แรงบันดาลใจตอนนั้นแวบมาเป็นภาพ ไม่มีตัวอักษร ไม่มีชื่อเรียก แต่ถัดจากไอเดียสำหรับนิยาย เจสันยกเขาขึ้นแล้วทุ่มเขากลับลงไปในน้ำ "ไม่สิ นั่นก็ไม่จริง ทันทีที่พูดชื่อปีเตอร์ออกไป พวกเรารู้กันเลยว่าต้องไม่ใช่ชื่อนั้น" เขาเม้มปากให้หายแห้ง "เจสัน ฉันแค่อยากให้สะกดขึ้นต้นคล้ายชื่อหมอนั่นเฉยๆ เพราะพวกเราชอบยั่วโมโหกันไปกันมาอยู่แล้ว"
"อะดอนีสที่ชอบมาหานายใช่ไหม"
น่านับถืออิงการ์ดที่ถามออกมาได้โดยไม่มีน้ำเสียงเสียดสีเลย หรือไม่คงเพราะเทมส์เด่นเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก จนใครก็อดไม่ได้จะโยงหมอนั่นเข้ากับภาพของความงดงามแรกที่ผุดขึ้นมาในกระบวนการร่างประโยค
"สายตากับความต่างระหว่างอยู่เหนือน้ำแล้วหายใจได้ตามปกติ กับตอนดำลงไปใต้น้ำ แล้วเห็นหน้าซึ่งทำให้คิดขึ้นมาอย่างไม่สนรอบด้านว่า 'อา เขาสวยจัง' ก่อนจะพุ่งตัวกลับขึ้นมา ฉันแค่อยากเขียนถึงความรู้สึกนั้น แต่ฉันไม่อยากเขียนอะไรที่ได้แรงบันดาลใจจากหมอนั่นว่าเป็นสิ่งมีชีวิตแสนงดงามเหนือจริงเด็ดขาดเลย ไม่เอารูปปั้นที่สวยที่สุด หรือฝันเปียกของนักวิจารณ์ศิลปะสักคน เพราะ..." อีซราผ่อนลมหายใจออก ขบขัน "เพราะความสัมพันธ์พวกเราเป็นแบบนั้น ดังนั้นคำแรกจากปากฉันว่าอะไรจะโผล่ในงานของฉันเหรอ ศพน่ะสิ"
"พวกนายสองคนเก๊กใส่กันไปกันมามากๆ เลยใช่ไหม"
"แม่น" รถคันด้านข้างพวกเขากำลังเปิดคอนเสิร์ตขนาดย่อมฆ่าเวลา "พวกนักเขียนนี่ไม่ค่อยโตกันเลยนะ"
"ผู้ใหญ่ทุกคนก็เป็นเด็กตัวโตทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะพวกนักการเมืองกับนักการเงิน ไม่มีใครจริงจังจะชนะเกมซ่อนแอบเท่าพวกนั้นอีกแล้ว" นักเขียนตัวจริงโน้มตัวไปเกยแขนเอาตัวพาดทับพวงมาลัย "ฉันคิดว่าตัวเองตอนเขียนงานชิ้นแรกเป็นผู้ใหญ่กว่าตอนนี้เสียด้วยซ้ำ ยิ่งโตยิ่งเด็กลง ทั้งฉัน ทั้งเครน สมัยอายุน้อย พวกเราไม่มีอิสระจะเป็นเด็กเท่าตอนโตเลยสักนิด คนอีกมาก กระทั่งโตแล้ว แก่แล้ว ก็ยังไม่ได้รับอิสระนั้นคืนมา น่าเศร้านะ"
ดวงตาสีฟ้าเหลือบชำเลืองมาหาเขา "นายล่ะ"
อีซรามองตอบแผล็บหนึ่ง แล้วหันกลับไปดูคอนเสิร์ตด้านข้างๆ "ฉันโอเค"
"งั้นนายอาจจะสบายใจที่มีคนไว้ให้ทำอย่างนั้นก็ได้" อิงการ์ดผละจากพวงมาลัยกลับไปนั่งพิงพนักด้านหลัง "เก๊กน่ะ"
อีซราไม่แน่ใจเรื่องนั้น ความเงียบของเขาค่อนข้างดังจนอีกฝ่ายหันมาหาเต็มๆ "ผิดถนัดเลยเหรอ"
"ไม่เชิง แค่บางที ฉันไม่รู้จะทำยังไงกับเทมส์ แล้วเทมส์ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับฉัน พวกเราไม่ได้อยากคบกัน ไม่ได้อยากนั่งจับเข่าคุย ฉันยังไม่รู้เลยต้องเล่าเรื่องนี้ให้หมอนั่นฟังไหม เพราะฉันรู้สึกถ้าฉันเล่าให้หมอนั่นฟัง ฉันต้องเล่าให้ทุกคนในคอร์สฟังด้วยพอถึงวันพฤหัสครั้งถัดไป แล้วฉันยังตกลงกับตัวเองไม่ได้ว่าจะเล่าเรื่องนี้ยังไง ไม่ให้ฟังดูเหมือนฉันกำลังหวาดระแวงว่ามีฆาตกรต่อเนื่องหมายหัวฉัน"
อิงการ์ดถอนหายใจออกมาเสียงดัง "ค่อยยังชั่วที่ฉันไม่ได้คิดงั้นอยู่คนเดียว"
"หา??? นายเหรอที่ควรจะกังวลว่านายอาจจะคิดงั้นอยู่คนเดียว????!!!!??"
คนอายุมากกว่าหลังพวงมาลัยหันขวับแทบจะทั้งท่อนบนมาหาเขา "หมายความว่าไง? ฉันก็ต้องคิดอย่างนั้นสิ!??!!? ถ้านี่เป็นคริมอลมายด์ส์ พวกเราคงตายห่าในป่าเพนซิลเวเนียไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อนแล้ว เพื่อนนักเขียนที่รักของข้ากระผมเจ้าขา!" คราวนี้เขาได้รับน้ำเสียงแดกดันเต็มคำเต็มหน้า เสียงขยับฮึดฮัดดังบนทั้งสองเบาะ ประหนึ่งว่าเข็มขัดนิรภัยเป็นสิ่งเดียวที่หยุดมิให้ทั้งสองกระโจนเข้าใส่กันในพื้นที่หกคูณสิบหกฟุต
โชคดีหรือโชคร้าย รถทั้งถนนขยับเสียทีหนึ่งเอาจังหวะนั้น ทำให้พวกเขาต้องผ่อนอารมณ์ลงยาวๆ
"เอาละ มาเริ่มกันใหม่เถอะ"
"เริ่มใหม่ที่ว่านี่ ต้องกลับไปตรงไหน"
"ตรงที่พวกเราเป็นนักเขียน กลับไปตรงนั้นก่อนเสมอ" อิงการ์ดต้องเป็นคนพูดประโยคนี้ เพราะอีซรากระดากใจเกิน พวกที่ประสบความสำเร็จแล้ว ถ้าไม่เป็นยามเฝ้าประตู คอยกะเกณฑ์ว่าใครผ่านบรรทัดฐาน ก็ใจกว้างโอบรับทุกคนไปหมด บ้างมองว่าเป็นน้ำใจ บ้างมองว่าเพราะคนพวกนี้ก็ขาดความมั่นใจในตัวเอง "นั่นหมายความว่าพวกเราไม่ใช่ตำรวจ ไม่ใช่นักสืบ พวกเราไม่มีหน้าที่หรือพันธะต้องไปตามหาคนร้าย ความรับผิดชอบของพวกเราอยู่ตรงไม่ไปขัดขวางเรื่องนั้น หน้าที่ของพวกเรามีแค่อย่างเดียว"
"ไม่ใช้ชื่อเจมส์" อีซราตอบ
"เปลี่ยนเป็นชื่ออื่นไปเลย"
อีซราดีใจที่พวกเขาเห็นตรงกัน "ฉันจะไปตั้งใจคิดชื่อใหม่"
"กับคอยโทรถามซีโมนว่าไม่มีร่องรอยฆาตกรโรคจิตไปเพ่นพ่านแถวบ้านของแก"
"ป้าฉันจะรู้ไปได้ไงอะไรคือร่องรอยของฆาตกรโรคจิต"
พนันด้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะกำลังขับรถอยู่ อิงการ์ดคงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นวิธีสังเกตว่ามีฆาตกรต่อเนื่องอยู่ใกล้บ้าน
จากนั้นอีซราก็เล่าที่มาที่ไปของการถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมของซีโมน โกลด์สก็อต มันยาวเสียจนเมื่อเขาตั้งใจมองข้างหน้ารถอีกที ยอดตึกระฟ้ามากมายในหมอกหนาวปลายเดือนธันวาคมก็อยู่ไม่ไกล หิมะโปรยปรอยบางตา สีขาวเทาย้อมทุกเส้นโครงด้านล่างชั้นเมฆออกอมฟ้าอ่อนมัวหมอง ตึกสี่เหลี่ยมมากมายกับไฟติดไปทุกหนทุกแห่ง นิวยอร์กช่วงสิ้นปีเหมือนกองกล่องของขวัญสุมเบียดกันเหนือน้ำขาวโพลนเสมอ ทริปฉุกลุกของพวกเขาจบลงโดยสวัสดิภาพ
"ไง"
เทมส์ยกมือทักเมื่ออีซราเดินพ้นบันไดมาเห็นตัวตรงหน้าประตูห้องตนเอง "มีอะไร"
"คนที่ติดต่อไม่ได้ทั้งวันมากกว่ามั้ง ที่มีอะไร จนฉันต้องถามไซมอนต์เลยนะ นึกว่านายเครียดเรื่องต้นฉบับจนเข้าพวกโหมดตัดทิ้งการสื่อสารกับโลกภายนอกแล้วนะเนี่ย"
"แล้วไซมอนต์บอกว่าไง"
"ไซมอนต์แค่บอกว่านายไปกับเพื่อนของเขา แล้วดูจากสภาพตอนไป คงจะลืมมือถือไว้ที่ไหนสักแห่ง"
เล่า
ไม่เล่า
เขาไม่ได้ล็อกกุญแจด้วยซ้ำ แต่เทมส์ยังเลือกมายืนรอหน้าห้องแทน นั่่นทำให้อีซราเปิดประตูเชิญอีกคนตามเข้ามา แล้วเริ่มเล่าเรื่องบังเอิญแล้วบังเอิญเล่าในเวลาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ผ่านมา เทมส์ลากเก้าอี้สักตัวมานั่งคร่อมฟังข้างเตียง ปล่อยเจ้าของห้องแผ่หลาท่อนบนไปบนเตียงนอน ตรงช่วงเข่าพาดปลายเตียง เขาเตะรองเท้าของไมโลออกโดยไม่มอง ปากเล่าไม่หยุด "...แล้วตำรวจก็มาที่บ้านป้าฉัน" เทมส์สบถไม่อยากเชื่อ จากนั้นก็โยกตัวตื่นเต้นราวกับคาดหวังว่าต้องมีใครสักคนลั่นไกบ้าง ก่อนพวกอีซราจะได้กลับออกมา "ขออภัยที่คงทำให้ผิดหวังนะ" เขาแหวเสียงแผ่ว ทั้งเหนื่อย หิว ไม่อยากอาหาร และง่วงนอนเหลือเกิน
"แล้วไง"
"แล้วไงอะไรอีก หมดแล้ว"
"ถามจริง"
"ก็ใช่น่ะสิ" อีซรายันตัวขึ้นนั่ง เพ่งมองหาว่าเทมส์ต้องการอะไร "มีอะไร"
"ทริปสองต่อสองกะทันหัน คดีฆาตกรรม บรรยากาศสยองนิดๆ ฮอลมาร์คหน่อยๆ แต่นายก็ยังไม่ได้นอนกับเขาอีกเหรอ"
ทุกความรู้สึกนึกอยากหาอะไรเหมาะมือฟาดอิงการ์ดตั้งแต่นั่งรถไปแล้วกลับมา แต่ไม่ได้ทำ อีซราคว้าหมอนหนุนมาเหวี่ยงฟาดหน้าเทมส์ให้หายอยากในทีเดียว ยิ่งสำหรับคนที่เคยพูดใกล้เคียงคำชมมากที่สุดว่าแขนของเขาน่ากัดขนาดไหน ชายหนุ่มอัดแรงจนของนุ่มกลายเป็นอาวุธประมาณหนึ่ง อุทิศมอบให้ เทมส์ตัวเบี่ยงเกือบตกเก้าอี้ แต่หมอนั่นจับพนักไว้ดีพอ หัวเราะท้องคดท้องแข็ง
"ให้ตาย นี่ พวกเราไม่ได้คบกันใช่ไหม นายคงไม่ได้ไม่นอนกับคนที่นายเคยฝันเปียกถึงทั้งที่มีโอกาสเพราะฉันหรอกนะ ไม่อย่างนั้นฉันคงรู้สึกผิดน่าดู"
"ขอเถอะ ระหว่างอยู่ที่นั่น ไม่มีเรื่องเซ็กส์โผล่มาในหัวสักเสี้ยววิ มีแต่เรื่องสลด อย่าพยายามทำให้มันเกี่ยวกับนายเลย ไม่สำเร็จหรอก" เขาเปลี่ยนใจจากนอนเป็นลงจากเตียง ปัดมือผลักหัวเทมส์ด้วยความหมั่นไส้ตอนเดินผ่านไปหาเสื้อผ้าตัวใหม่ไว้เปลี่ยนหลังอาบน้ำ น้ำร้อนจัดอยู่เพียงเอื้อม อีกฝั่งประตูห้องน้ำนั่น
"แล้วนายจะเอายังไงต่อ"
"หมายถึงอะไร"
"นิยายของพวกนายไง"
"ก็เขียนต่อน่ะสิ ถามแปลกๆ มาจนขนาดนี้ ถ้าฉันบอก อืม ขอไม่เขียนดีกว่า มีหวังไซมอนต์เตะฉันออกจากโครงการทามาก็อตจินักเขียนของคุณเธอพอดี"
เมื่อหันไปดูอีกครั้ง เทมส์แย่งที่นอนบนเตียงแทนแล้ว หมอนั่นแผ่ตัวนอนคว่ำ มือล้วงใต้เตียงรื้อพวกตั้งหนังสือที่อีซราซุกไว้มาพลิกเปิดตามใจชอบ "ก็น้ำเสียงนายเหมือนไม่อยากเขียนเรื่องนี้แล้ว นายเล่าก็จริง แต่ที่ฉันได้ยินคือโอดครวญน่ะนะว่า 'เรื่องบ้าบออะไรวะเนี่ย แม่งเอ๊ย'"
"อา นั่นสินะ กระทั่งคนเขียนที่หาข้อมูลก่อนเขียนน้อยที่สุดในโลกก็คงจะเชี่ยวชาญเรื่องนี้กับเขาบ้าง" เขาฉวยหนังสือมาอย่างหวงแหนไม่เข้าท่า "ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย แค่ต้องเปลี่ยนชื่อเท่านั้นเอง เพราะใครจะไปใช้ชื่อเจมส์ต่อลง ต่อให้ไม่เกี่ยวกันสักนิด แต่ฉันไม่มีรสนิยมเสียมารยาทกับคนตายแบบนายน่ะนะ"
"เอ่อ ช้าก่อน ฉันไปเสียมารยาทกับคนตายตอนไหน" แขกบนเตียงเด้งตัวพรวด ท้วงถามมูลเหตุการเสียชื่อของตัวเอง
"อ้าว ไม่เคยเหรอ เจสัน 'เพลงไชคอฟสกี้ดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับว่าเขาจะเอาผมไหมครับ' เทมส์''
"หยุดจำเรื่องที่ฉันพูดตอนพวกเราเมาไม่เท่ากันสักที! แล้วรายนั้นตายไปตั้งร้อยกว่าปีแล้ว ไม่นับสิ!"
เทมส์ทำให้เขาเซบ้าง ไม่ใช่ด้วยหมอนแต่ด้วยแรงดึง รั้งให้เจ้าของห้องล้มกลับลงมาบนเตียงไปกับหนังสือและเสื้อตัวใหม่ในมือ อีซราเหวี่ยงแขนรัดคอตอบทันที กึ่งกอดกึ่งมวยปล้ำข่มกัน ตั้งรับและเอาคืน ไม่น่าแปลกเลยที่ชายตัวโตสองคนจะตกจากเตียงภายในเวลาไม่นาน เขาประหลาดใจกับเทมส์ที่ยินดีปล่อยตัวเองร่วงตามลงมาทั้งที่เขาควรจะลื่นตกไปคนเดียวมากกว่า มือบีบจมูกอีซรา เขาแทรกนิ้วสอดเข้าไปขยุ้มผมสีอ่อนกว่าของตัวเอง ปากฉีกยิงฟัน สับสนทั้งคู่ว่ากำลังยิ้มหรือกัดฟันแฮ่ขู่อีกฝ่ายไปมา กระทั่งตอนที่เทมส์โน้มหน้าลงแนบปากเข้าหากัน อีซราก็ไม่คิดว่ามีคนใดคนหนึ่งระหว่างพวกเขาสองคนหาคำตอบเจอ
มือและแขนของเทมส์เลื้อยมาสอดข้างใต้แผ่นหลังและหลังหัวของอีซรา รัดแน่น
อีซราผลักร่างข้างบนออกด้วยความต้องการจะสำลัก ไม่ว่าจะเพราะถูกรัดหรือเพราะจูบก็ตาม เขาหายใจไม่ออก ขาในกางเกงวอร์มของลูกพี่ลูกน้องยกเข่าขึ้น ตามด้วยสะโพกดัน อีซราเทเทมส์ลงไปแล้วพลิกขึ้นทับแทน ฝ่ามือฟาดลงตบเข้าใส่พื้นด้านข้างศีรษะ "ฉันยังไม่รู้สึกขำกับรอยกัดที่นายทิ้งไว้นะ พวก เห็นแล้วสะดุ้งเลย ไม่ใช่ฮาโลวีนนะ"
"คนมันขี้อิจฉา ทำไงได้" เทมส์ยกสองมือขึ้นกุมหน้าตัวเอง ตามด้วยเสียงหัวเราะ
"โม้เหม็นชะมัด นายเพิ่งหวังว่าจะได้ยินเรื่องบนเตียงของฉันกับอิงการ์ดอยู่ตะกี้" อีซรานวดขมับ ปวดประสาท "เป็นอะไร เหงากายรึไง ทางนี้ไม่มีอารมณ์หรอกนะ --"
"ฉันบอกว่าอิจฉา ไม่ใช่หึงหวง" มือค่อยๆ เลื่อนออกจากสายตาที่บังไว้ อีซราปล่อยให้เทมส์ได้ลุกขึ้น ปล่อยให้หมอนั่นดึงตัวเองเข้าไปหา ขาเขาขยับตาม ในตอนแรกเขาตั้งใจจะลุก ทว่าเทมส์ดึงเขาไว้โดยยังนั่งอยู่กับพื้น แรงดึงให้อีซรายังคุกเข่าคร่อมตักเอาไว้
มือคู่เดิมวางบนบ่า ก่อนจะเลื้อยโอบ เทมส์โอบกอดเหนือบ่าอีซราคล้ายกำลังลองสิ่งที่ต้องการแต่ไม่แน่ใจ ความลังเลนั้นพาแขนของอีซราข้างหนึ่งให้ยกโอบตอบอย่างอดมิได้ เขานิ่วหน้า งุนงง และเริ่มกังวล จนกระทั่งเทมส์เปิดปาก
"พวกเรามาเขียนนิยายด้วยกันแทนไหม"
กอดคลายรวดเดียว ยิ่งกว่าปมเชือกหลวมๆ ถูกดึง ณ ตรงนั้น อีซราผละออกแม้จะยังไม่ลุก "หา?"
เทมส์ยันแขนไปกับพื้นด้านหลังแทน ทำเสมองด้านข้าง ยังไม่พูดอะไรเพิ่ม ส่วนอีซราสับสนระหว่างหัวเสียกับหัวเราะ "ไม่ไหวหรอก"
"ทำไมมั่นใจนัก"
อีซราหันไปอีกทางเช่นกัน กลอกตามองขึ้นฝ้าเพดาน คิดว่าเทมส์ค่อนข้างหน้าไม่อายเกินเหตุ ที่มาแกล้งโง่ถามกันแบบนี้ เพราะมันทั้งน่าขายขี้หน้า ไร้ประโยชน์ ซึ่งยังให้คำถามนี้ขัดกับธรรมชาติความสัมพันธ์พวกเขาสิ้นดี ทั้งสองคนเป็นตัวตลกของกันและกัน และเป็นของตัวเองเวลานึกถึงตัวเองยามอยู่กับอีกคน
"ก็นะ ถ้าฉันต้องนึกถึงตัวอย่างเหตุผลแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว..."
ทั้งสองนอนด้วยกันเป็นครั้งคราว ในแง่ว่าพวกเขาทำกิจบนเตียงอย่างจูบ กอด สัมผัสด้วยมือกับปากไปตามส่วนต่างๆ และเล้าโลมให้อีกฝ่ายถึงจุดสุดยอด ทั้งหลายทั้งแหล่ แต่ไม่เคยทำถึงขั้นสอดใส่กัน ระหว่างพวกเขา ไม่เคยมีใครออกปากขอทำถึงขั้นนั้นหรือเอ่ยถึง อีซราไม่ทราบว่าเทมส์คิดอะไรอยู่บ้าง เพียงแค่โล่งใจที่ไม่ว่าอะไรจะหมุนวนอยู่ในกะโหลกงามๆ นั่น มันให้ผลลัพธ์เดียวกัน เขาไม่ต้องทนบทสนทนาน่ากระอักกระอ่วนอันเริ่มมาจาก เมื่อได้กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันไปหนในบ้านพักตากอากาศของคนอื่นมาหน อีซรานึกถึงสิ่งที่เคยเรียนรู้มาว่าต้องทำเพื่อเตรียมตัวก่อนมีเซ็กส์ทางทวารหนัก เสียงบ่นระงมของเพื่อนชายร่วมรุ่นที่เป็นเกย์กับแพนเซ็กชวลเปิดเผย (ห้าคนถ้วน) ในคาบสุขศึกษายังทับถมความตื่นกลัวก่อนมีโอกาสทำจริงล่วงหน้ายังดังก้องในหู (แต่ก็ต้องยอมรับว่าโชคดีเหลือเกิน ที่เขาได้เข้าเรียนโรงเรียนที่เปิดกว้าง เทียบกับโรงเรียนที่สอนสุขศึกษาว่า พระเจ้ากำลังมองอยู่) อีซราเคยมีเซ็กส์ทางทวารกับคนอื่นเมื่อนานมาแล้ว ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ไม่เลวร้าย ไม่นึกขยาดแขยงอะไรถ้าจะได้มีประสบการณ์นั้นอีก ไม่ใช่เฉพาะตอนมีเซ็กส์ แต่รวมถึงเรื่องสวนล้างทวารตัวเอง หรือพวกเรื่องล้าง
แต่ต้องไม่ใช่กับเทมส์
เรื่องของเรื่องคือ แม้อีซราจะพึงใจกับหลายอย่างของเซ็กส์ จนป่านนี้ วัยที่แก่กว่าครามีเซ็กส์ครั้งแรกเกือบสิบปีเต็ม เขาก็ยังนึกกังวลเรื่องหยุมหยิมอย่างจะเป็นอย่างไรถ้าเตรียมตัวไม่ดีพอ พวกเขาใช้ถุงยางแม้แต่ตอนใช้ปากหรือมือเล้าโลมกัน เขาไม่ได้ห่วงเรื่องความสะอาด เทมส์ก็ค่อนข้างอนามัยจัดทีเดียวพอเป็นเรื่องสารคัดหลั่งจากร่างกายมนุษย์ แต่กังวลกับปฏิกิริยาของตัวเองต่อเทมส์ ถ้าทุกอย่างไม่ราบรื่น บางอย่างระหว่างเขากับหมอนี่ทำให้อีซราไม่อยากแม้แต่จะเอ่ยปากถามให้แน่ใจว่า ที่พวกเขาไม่เคยมีเซ็กส์แบบสอดใส่ เพราะเทมส์ไม่ชอบอยู่แล้ว หรือเพราะไม่อยากคุยเรื่องนี้กับอีซราเช่นกัน
เขากับเทมส์จัดลำดับไม่ได้ว่าเป็นเพื่อนก่อน หรือเป็นคนนอนด้วยกันเป็นครั้งคราวก่อน เพราะเทมส์ไม่ตรงนิยามคำว่าเพื่อนของเขา เรื่องนั้น ทุกคนที่เป็นพนักงานของผับ หรือสมาชิกคนอื่นใสคอร์สของไซมอนต์เฮ้าส์ยังใกล้เคียงกว่าเสียอีก และไม่ใช่เรื่องเพราะเขาไม่เคยช่วยตัวเองกับคนพวกนั้นในห้องเดียวกัน บนเตียงเดียวกัน แต่ถ้าเขาจะนอนกับใครที่เคยเป็นเพื่อนเขา ก็ต้องเป็นคนที่เขากล้าปรึกษาได้ว่า 'เฮ้ พวกเราจะทำอะไรกันบ้าง และ ฉันโอเคกับเซ็กส์ที่มีเรื่องให้ขำนะ แต่ฉันไม่อยากโดนหัวเราะเยาะ' จึงจะรู้ว่าก่อนเป็นคู่นอน คนนั้นคือเพื่อนของเขา
"พวกนายสองคนเก๊กใส่กัน" อิงการ์ดเข้าใจถูกเผง พวกเขาเก๊กใส่กันจนอีซราไม่เห็นภาพว่าตัวเองจะเปิดปากชวนเทมส์คุยเรื่องยิบย่อยเหล่านี้ได้ลงเอาป่านนี้ ส่วนการเป็นคู่นอนก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์สำคัญสำหรับอีซราถึงขั้นที่เขาจะอยากใกล้ชิดคนที่เป็นคู่นอนด้วยอย่างที่เขาใกล้ชิดกับเทมส์ ถ้าเทมส์เป็นแค่คู่นอน เขาคงเลิกเจอหน้ากับอีกฝ่ายไปนานแล้ว อีซราไม่มีฟังก์ชั่นจะดำเนินความสัมพันธ์ที่มีเซ็กส์เป็นสารัตถะ แล้วแยกเก็บไว้มุมหนึ่งของชีวิต เขาเคยนึกอิจฉาคนที่ทำได้ และนึกสงสัยว่าคนพวกนั้นอิจฉาความบ้าบอคอแตกนี้ของเขาบ้างไหม มันให้อะไรเขาได้บ้างนอกจากความกลัดกลุ้มที่พุ่งขึ้นมาตอนบ่ายสามโมง บนตักของคนรู้จักหนึ่งคน
และในเมื่อเขาไม่อยากคุยทั้งหมดนั่นกับเทมส์ ยิ่งไม่มีวันที่เขาจะยินยอมคุยว่าเขากำลังคิดอะไรไม่เฉียบคมเกี่ยวกับนิยาย อีซราให้กระบวนการเบื้องหลังงานเขียนของตนส่วนตัวยิ่งกว่าเซ็กส์ เพราะถ้าเงินดีพอ เขาก็คงยอมให้เซ็กส์ของตัวเองไปอยู่ที่สาธารณะแหละ แต่ไม่มีใครมีปัญญาจ่ายเงินให้เขายอมถ่ายทอดสดหน้าต่างคอมพิวเตอร์ระหว่างที่เขาเขียนอะไรสักประโยคแน่นอน
"อะไร"
ฝ่ายถูกคาดคั้นเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง หลับตาปลดปลงกับความเป็นจริงว่า ตนไม่มีทางเรียบเรียง 'ฉันไม่สะดวกใจแม้แต่จะให้นายรู้ว่าฉันตรวจตัวสะกดคำว่าอะไรบ้างกับกูเกิ้ล ฉันไม่อยากคุยกับนายกระทั่งว่าฉันชอบมีเซ็กส์ทางประตูหลัง แต่ไม่ใช่กับนาย อย่างน้อยก็ไม่จนกว่านายจะบอกว่านายชอบเหมือนกัน แต่แค่ระแวงฉัน หรือนายไม่ชอบอยู่แล้ว ซึ่งนายต้ อ ง พู ด ก่ อ น' ให้ไม่ออกมาฟังดูเป็น 'ฉันไม่ไว้ใจจะปรึกษาเรื่องกินคลีนล่วงหน้าเพื่อเซ็กส์กับนายด้วยซ้ำ ประสาอะไรจะให้เราเขียนนิยายด้วยกัน' อันดับแรก มันเปิดเผยลำดับความสำคัญในหัวเขาเกินไป อันดับสอง นั่นฟังดูเหมือนเขาคุยเรื่องเซ็กส์กับอิงการ์ด ไม่ว่าจะเชิงโลกีย์หรือปัญหากายภาพก็ตาม
ต่อให้เขาคิดภาพตัวเองคุยเรื่องพวกนี้กับอิงการ์ด หรือคนอย่างอิงการ์ดออกนั่นก็ไม่ใช่ประเด็นที่ควรจะมาถกระหว่างเขากับเทมส์"แรงบันดาลใจก็ควรเป็นแค่แรงบันดาลใจ"อีซรากลืนน้ำลายเอื๊อกหลังบ่ายเบี่ยงออกมาได้หนึ่งประโยค "ถ้าเขียนกับนาย ฉันว่าฉันเขียนคนเดียวดีกว่า"
"งั้นก็เขียนคนเดียวสิ" เทมส์ตื๊อ
อีซราลุก ชักจะเมื่อยต้นขา "ไม่ได้ ฉันตกลงกับอิงการ์ดไปแล้ว"
"ยังไม่เป็นชิ้นเป็นอันสักหน่อย ชวนหมอนั่นเขียนอย่างอื่นก็ได้นี่"
"ฉันไม่ได้มีงานค้างเหลือใช้แบบคนอื่นในกลุ่มนะ" เขาชักกลับมาหัวเสีย "เป็นอะไรของนาย"
"ก็บอกไปแล้ว ฉันแค่รู้สึกว่ามันมีอะไรไม่ใช่ ฉันเป็นแรงบันดาลใจของงานนี้ใช่ไหม แต่นายเอาไปเขียนกับคนอื่นทั้งที่ตอนนั้น เวลาที่พวกเราใช้ด้วยกันที่นั่น ค่อนข้างส่วนตัวนะ ว่าไหม"
"ส่วนตัวบ้าอะไร ฉันไม่ได้เอาเรื่องของพวกเราไปเขียนด้วยซ้ำ นายไม่รู้สักหน่อยฉันคิดอะไรกันแน่ก่อนมันจะออกมาเป็นเจมส์"
"แล้วนายเห็นอะไรล่ะ"
เทมส์ลบระยะห่างระหว่างพวกเขาอีกครั้ง ตามเข้ามาประชิด
ในห้องอพาร์ตเมนต์ซึ่งมองผ่านหน้าต่างไปจะพบตัวเองอยู่ในป่าของหน้าต่างนับไม่ถ้วน มือของเทมส์กำคว้าท่อนแขนของอีซรา
"ก็เห็นฉันไม่ใช่เหรอ"
เขาพบตัวเองกลับไปใต้ผิวน้ำวันนั้น ชั่วพริบตาก่อนฟองอากาศหนาขาวจะวิ่งหายขึ้นด้านบน น้ำใสกระจ่างที่กำลังทะลักเข้าดวงตา
"ไม่จำเป็น"
ชื่อเจมส์ จากเจสัน
หมอนั่นรู้ทันเป็นอย่างดี
"กระทั่งชื่อ ฉันก็จะเปลี่ยนแล้ว อีกอย่าง งานฉันไม่ได้ต้องการเกร็ดเบื้องหลังสี่ร้อยหน้าหรอกนะ นายนั่นแหละ เริ่มเขียนเนื้อหานิยายสักหน้าก่อนเถอะ ไม่ใช่เอาแต่เขียนเกร็ดเจ็ดพันปีก่อนเริ่มเรื่อง"
เทมส์พ่นลมเยาะ "ตามใจนาย" ถอนหายใจ "ตามใจนายเลย"
ชั่วเวลาของการกรีดเปิดหนังสือหน้าแรกไปถึงหน้าสี่ร้อยในคราวเดียวผ่านไป อีซราถึงค่อยเข้าใจว่าเทมส์หยิบโทรศัพท์มือถือที่แบตหมดไปแล้วฟาดใส่หน้าเขา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in