ในจำนวนเมืองที่โดนเวนิสปล้น เมืองที่ฉอกช้ำระกำใจที่สุด เรียกว่าหมดบ้านหมดเมืองที่สุดก็คือกรุง Constantinople ในตอนสงครามครูเสดครั้งที่ 4 ซึ่งนอกจากหินอ่อนแล้วก็ยังมีสมบัติล้ำค่าอีกหลายรายการที่ถูกฉกฉวยกลับมาประดับในมหาวิหารแห่งนี้ ตัวอย่างคือ รูปปั้นม้าบรอนซ์ที่โด่งดังทั้ง 4 ตัว ซึ่งหลังจากขโมยมา ชาวเวนิสก็เปลี่ยนชื่อให้เป็น Horses of St. Mark แบบเสร็จสรรพ แต่ที่เราเห็นอยู่ด้านบนจะเป็นรูปปั้นที่ทำเลียนแบบขึ้นมานะครับ ของจริงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ด้านใน
ด้านบนของกองทัพเสาคอล์ลั่มจะเป็นส่วนโค้งซึ่งเป็นลักษณะของสถาปัตยกรรมในยุคโรมัน เหนือขึ้นไปอีกเราจะพบกับโดมรูปทรงคล้ายหัวหอมทั้งห้าอันที่มีกลิ่นอายของมัสยิดในศาสนาอิสลาม ส่วนยอดแหลมที่พุ่งสูงขึ้นไปบนฟ้านั้นเป็นสไตล์โกธิคเยอรมันอันโด่งดังและถือว่าเป็นอะไรที่ฮิปสเตอร์มากในยุคกลาง ปิดท้ายด้วยกระเบื้องโมเสกที่เป็นจุดเด่นของศิลปะแห่งอาณาจักรไบเซนไทน์ เมื่อเงยหน้าขึ้นไปดูโมเสกเหนือกบาลทางด้านขวามือ เราจะพบกับเรื่องราวอันเป็นจุดกำเนิดของมหาวิหารแห่งเซนต์มาร์ก ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องโขมยครับ เพราะศพของเซนต์มาร์ก พี่ท่านก็ไปขโมยมาเช่นกัน!!!
เรื่องมีอยู่ว่า ในปี 828 พ่อค้าชาวเวนิส 2 คนได้เดินทางไปเมืองอเล็กซานเดรีย ในอียิปต์ และตัดสินใจขโมย... เดี๋ยวนะๆๆ ใช้คำว่า
‘ขโมย’ ไม่ได้ เพราะสำหรับพวกเขา ศพของเซนต์มาร์กผู้บันทึกเรื่องราวของพระเยซู และกลายเป็นหนึ่งในคำภีร์ไบเบิลเนี่ยไม่ควรจะตกไปอยู่ในมือของพวกนอกศาสนา (ได้ข่าวว่าอีกฝ่ายเขาก็นับถืออิสลามอยู่นะ) เอาเป็นว่าในสายตาของพ่อค้า 2 คนนั้น สิ่งที่พวกเขาทำไม่ใช่การ ‘ขโมย’ แต่เป็นการ
‘ช่วยเหลือ’ ให้ศพของเซนต์มาร์กได้เดินทางกลับมาสู่ดินแดนแห่งคริสตจักร
มีตำนานกล่าวไว้ว่า ในสมัยที่ St. Mark ยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้เดินทางเผยแพร่ศาสนาไปทั่วยุโรป เมื่อมาถึงเวนิส นางฟ้าก็หมุนตัวควงสว่านจากสวรรค์ปรากฎขึ้นมาพูดกับท่านนักบุญว่า
Pax tibi Marce, evangelista meus. Hic requiescet corpus tuum.
(May Peace be with you, Mark, my evangelist. Here your body will rest)
โอ้โห~~~ พอมีตำนานนี้ขึ้นมา ชีวิตดูง่ายเลย
เหตุผลสนับสนุนมาเต็มขนาดนี้แล้ว พ่อค้าเวนิสทั้งคู่ก็ปฎิบัติการ ‘ช่วยเหลือ’ เซนต์มาร์ก ด้วยการขโมยศพของท่านแล้วเอาไปซ่อนไว้ในลังสินค้าปูทับด้วยใบไม้แล้วกลบอีกชั้นด้วย ‘เนื้อหมู’ พอเรือกำลังเดินทางจะมุ่งหน้ากลับเวนิส ยามท่าเรือของอเล็กซานเดรียซึ่งเป็นชาวอิสลามก็เข้ามาตรวจเช็คความปลอดภัยตามระเบียบ พอเปิดลังปุ๊บ เจอเนื้อหมู ก็เบือนหน้าหนี เอามือปิดจมูกเหมือนดังในภาพโมเสก และปล่อยเรือผ่านออกไปอย่างง่ายดาย เพราะชาวอิสลามไม่ถูกโรคกับเนื้อหมูซึ่งถือว่าเป็นสิ่งไม่บริสุทธิ์
เมื่อเรือเดินทางมาถึงเวนิส เจ้าผู้ครองนคร (Doge) ก็สั่งให้สร้างโบสถ์ขึ้นมาใหม่บนร่างของเซนต์มาร์ก รวมทั้งแต่งตั้งให้เซนต์มาร์กเป็นนักบุญประจำเมือง สัญลักษณ์ประจำตัวของเซนต์มาร์กที่เป็นสิงโตมีปีกจึงโบกสะบัดอยู่บนธงทั้งในตัวเมือง และในคาราวานกองทัพเรือของเวนิส
หากหันหลังกลับไปทาง Grand Canal เราจะเห็นคอลัมภ์สูง 2 อัน ฝั่งตะวันออกประดับด้วยรูปปั้นสิงโตมีปีกแห่งเซนต์มาร์ก ส่วนฝั่งตะวันตกเป็นรูปนักรบถือหอกยืนอยู่บนจระเข้ ซึ่งก็คือเซนต์ธีโอดอร์ ผู้ซึ่งเป็นอดีตนักบุญประจำเมืองเวนิส ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเซนต์มาร์ก โดย Doge หวังจะใช้เซนต์มาร์กยกระดับความสำคัญและอำนาจทางศาสนาของเวนิสให้ทัดเทียมกับโรมและอาณาจักรไบเซนไทน์
หลังจากชื่นชมความงามและฟังผมเม้าส์มอยเรื่องราวของมหาวิหารแห่งนี้เสร็จเรียบร้อย ในที่สุดเราสองคนก็ได้มายืนประจันหน้ากับคุณพี่หน่วยรักษาความปลอดภัยก่อนจะได้เข้าไปชมบ้านในกันแล้วครับ
“เอ่อ คุณนักท่องเที่ยวต้องไปฝากกระเป๋าก่อน”
... ห๊ะ!! ผมเหลียวหลังกลับไปดูแถวที่ตอนนี้ยาวเฟื้อยเป็นงูเลื้อยทบกันไปมา ผิดกับเมื่อสิบนาทีก่อนที่แถวยังสั้นนิดเดียว พวกเราจำใจเดินคอตกออกมาจากในแถว แต่คุณพี่เดินมากระซิบบอกว่าหลังจากฝากกระเป๋า ให้ผมเดินลัดคิวมาที่เขาได้เลย ไม่ต้องไปต่อคิวใหม่ ...เฮ้อ ค่อยยังชั่ว ไม่งั้นเสียเวลาต่อคิวอีกเกือบชั่วโมงแน่นอน เนื่องจากด้านในโบสถ์ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป ผมเลยเอากล้องยัดเข้ากระเป๋าแล้วเดินตัวปลิวผ่านประตูเข้าสู่ด้านในของ Basilica San Marco โดยไม่ต้องเสียเงิน...ใช่แล้วครับ โบสถ์แห่งนี้เข้าชมฟรี! โอ้ มายก๊อด เวนิสยังไม่สิ้นคนดี
โบสถ์แห่งนี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก ยิ่งเมื่อเอาไปเทียบกับ Duomo Milano ที่ติดหนึ่งในสิบโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้วแล้วยิ่งรู้สึกว่าเล็กเข้าไปอีก แต่การตกแต่งนั้นเรียกได้ว่า ‘จัดเต็ม’ ทุกตารางนิ้ว
//*** รูปจาก internet//
สิ่งแรกที่ทำให้เราอ้าปากค้างคือส่วนของหลังคาและโดมทั้งหมดของโบสถ์นั้นถูกปูด้วยโมเสกที่ทำจากทองคำ เมื่อสายตาของเราปรับเข้ากับความมืดของด้านในโบสถ์ เราจะเห็นโมเสกสีทองเรืองร่องขึ้น มีหน้าต่างรอบๆ ฐานของโดมทำหน้าที่เป็นช่องเปิดให้แสงสว่างส่องลอดเข้ามา
Basilica San Marco สร้างขึ้นโดยใช้แผนผังไม้กางเขนในแบบกรีก ซึ่งขาแต่ละด้านจะเท่ากันเหมือนกับเครื่องหมายบวกต่างจากไม้กางเขนที่เราคุ้นตาโดยทั่วไป เมื่อเราแหงนหน้าขึ้นไปที่โดมเราจะพบกับโมเสกบอกเล่าเรื่องราวของพระเยซูซึ่งประทับอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว พระหัตถ์ขวายกขึ้นเหมือนพระองค์กำลังให้พร โมเสกบางรูปจะมีนางฟ้าบินอยู่ในภาพด้วย ถัดลงมาจะเป็นพระแม่มารี และอัครสาวกทั้ง 12
//*** รูปจาก internet//
ในศิลปะของไบเซนไทน์ หน้าต่างที่ฐานโดมจะเป็นตัวแบ่งสวรรค์ที่เต็มไปด้วยแสงสว่าง ส่วนที่ต่ำและมืดกว่าของโบสถ์เป็นตัวแทนแห่งโลกมนุษย์ ถัดลงมาที่มุมทั้งสี่ของโดมเราจะพบกับ Matthew, Mark, Luke และ John ผู้เขียนคำภีร์ไบเบิลทั้งสี่ ความรู้ที่มนุษยชาติได้รับนั้นเปรียบเสมือนแม่น้ำที่ไหลริน ผ่านแขนทั้งสี่ของไม้กางเขนมุ่งสู่โลก
ลักษณะการตกแต่งโดมแบบนี้เป็นลักษณะเด่นของศิลปะแบบไบเซนไทน์ครับ ทางฝั่งโรมันเขาจะมองว่าพระเยซูนั้นเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เจ็บได้ ตายได้ พวกเขามักจะโฟกัสที่การสิ้นพระชนม์ของพระเยซู เพราะถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของการเสียสละเพื่อไถ่บาปของมนุษย์ ภาพของพระเยซูที่ถูกตรึงบนไม้กางเขนในโบสถ์ทางฝั่งโรมจึงพบได้บ่อยกว่า แต่ศิลปะจากฝั่งไบเซนไทน์ที่ต่อมาพัฒนาเป็น Orthodox นั้นจะมองว่าการสิ้นพระชนม์นั้นเป็นเพียงฉากหนึ่งของทั้งหมดตั้งแต่การประสูติไปจนถึงเรื่องราวของการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ และมีมุมมองต่อพระเยซูในลักษณะ “Pantokrator” ซึ่งเป็นภาษากรีก หมายถึงว่าพระเยซูนั้นมีอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่งในจักรวาล เป็นศูนย์กลางแห่งสรวงสวรรค์ และเป็นผู้ปกครองของทุกสิ่ง ไม่ได้มองว่าพระเยซูนั้นเป็นมนุษย์ธรรมดาอีกต่อไป การวางแผนผังโบสถ์ก็แตกต่างกัน ฝั่งโรมนั้นนิยมผังรูปไม้กางเขนแบบที่เราคุ้นตา ซึ่งแสดงถึงความไม่สมมาตร เป็นตัวแทนแห่งบาปของมนุษย์ แต่ศิลปะไบเซนไทน์จะนิยมไม้กางเขนกรีกที่ขาแต่ละด้านเท่ากัน แสดงถึงความสมบูรณ์แบบและความบริสุทธิ์แห่งพระเจ้า
“โอ้ย” เอกสะกิด
“ไรวะ”
“คอเคล็ด” ฮ่าๆๆๆๆ ....สงสัยแหงนหน้าฟังผมโม้นานไปหน่อย
โอเค หลังจากใช้งานกล้ามเนื้อต้นคอจนเกินพอดี เราลองเปลี่ยนมาใช้กล้ามเนื้อสมองส่วนจินตนาการย้อนยุคกลับไป เราเป็นบุตรชายของพ่อค้าซึ่งเดินทางมาที่เวนิสเป็นครั้งแรก ชื่อเสียงและความสวยงามของ Basilica San Marco นั้นถูกบอกเล่ากันจากปากต่อปากไปไกลถึงเมืองท่าเล็กๆ ที่ต้องใช้เวลาเดินเรือนับเดือนกว่าจะมาถึงเวนิส หลังจากตื่นเต้นกับ Grand Canal และเสร็จธุระที่สะพาน Rialto แล้ว เราก็มายืนอ้าปากค้างอยู่ในโบสถ์ที่เต็มไปด้วยโมเสกสีทอง
เหล่าบาทหลวงในชุดคลุมอันสวยงาม เดินตรงเข้าไปในส่วนแท่นพิธีที่ถูกกั้นด้วยฉากไม้ขนาดใหญ่ มีรูปสลักของนักบุญทั้ง 14 คนอยู่ด้านบน ด้านล่างของแท่นพิธีมีตัวอักษรเขียนเอาไว้ ‘Corpus Divi Marci Evagelistae’ (Body of the Evangelist Mark) หลุมศพแห่งเซนต์มาร์ก เสียงของบทสวดดังขึ้นเคล้ากลิ่นของกำยาน รวมทั้งแสงเทียนที่เพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ให้กับบรรยากาศโดยรอบ มองไปทางขวามือเราจะเห็นเจ้าผู้ครองนครในชุดหรูหราสวมหมวกอันเป็นเอกลักษณ์อยู่บนแท่นอ่านพระคำภีร์
เราเริ่มเคลื่อนตัวตามแถวของเหล่าพ่อค้าไปเรื่อยๆ
“โน่วๆๆๆ”
อ้าว... ทำไมพ่อค้ามันหันมาโบกไม้โบกมือเหมือนจะห้ามอะไรเราเลยวะ
ช่างเถอะ เราไม่ต้องสนใจเรายังคงต่อแถวไปเรื่อยๆ
“โน่วๆๆๆ” คราวนี้ผมทำหน้างงใส่ คุณพ่อค้าทำปากกระซิบกลับมาว่า
’T i c k e t’
คราวนี้หยุดมโน กลับสู่โลกแห่งปัจจุบันเลยครับ
สรุปที่ผมเข้าใจว่าโบสถ์แห่งนี้เข้าชมฟรีนั้น...เป็นการเข้าใจผิด ก็สงสัยอยู่ว่าทำไมคุณพ่อค้าชาวเวนิสถึงใจกว้างผิดวิสัย ที่เข้าฟรีนั้นเป็นบางส่วนของโบสถ์เท่านั้น แต่อีกหลายห้องในโบสถ์ต้องเสียเงินเพิ่ม ตอนแรกฟังดูก็เหมือนจะไม่แพง แต่พี่ท่านเล่นซอยย่อยเก็บตังมันทุกห้อง St. Mark’s Museum 5 ยูโร ห้องเก็บสมบัติอีก 3 ยูโร Pala d’Oro หรือแท่นพิธีซึ่งทำจากทองคำ ปิดท้ายที่ 2 ยูโร รวมๆ แล้วเกือบ 400 บาท พวกเราดูเวลาแล้วก็ตัดสินใจไม่เข้าครับ (ฮ่าๆๆ งกไหม)
“ชิ ไปปล้นเขามาตั้งหลายอย่าง ยังจะมาเก็บตังกูอีกกกก” ผมบ่นกับเอก ระหว่างเดินออกมาจากโบสถ์
จตุรัส San Marco ในตอนนี้บรรยากาศคนละเรื่องกับตอนเช้า นักท่องเที่ยวทะลักทะลายเข้ามาเต็มพื้นที่ของจตุรัส ความวุ่นวายเพิ่มขึ้นจนเลยจุดที่ผมชอบ เราเลยวางแผนจะออกไปเที่ยวที่อื่นต่อ ติดอยู่ที่เราปวดฉี่กันนิดหน่อย
“เดินวนหาห้องน้ำเอารอบๆ จตุรัสนี่แหละ” เอกเสนอไอเดีย ซึ่งผมก็เห็นด้วย
ปรากฎว่าเดินวนกันไปจนครบรอบจตุรัสก็ยังไม่เจอห้องน้ำ สุดท้ายต้องถามแม่ค้าที่ขายหน้ากากคาร์นิวัลอยู่แถวนั้น กว่าจะหาเจอ เคยได้ยินมาว่าที่ยุโรปนั้นหาห้องน้ำสาธารณะยาก แต่ไม่คิดว่ามันจะยากและแพงขนาดนี้ ค่าเข้าห้องน้ำที่เวนิสนั้นอยู่ที่ 1.5 ยูโรต่อครั้ง ...
ฉี่ทีละหกสิบบาท!“หรือจะทนดีวะ” เอกหันมาถาม
“เอาน่าคนละ 60 บาท แลกกันความสุนทรีย์ในการท่องเที่ยว”
ที่ตลกคือผมตั้งใจฉี่โคตรๆ แบบว่าเอาให้คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ ให้มันชัวร์กันไปเลยว่าหมดกระเพาะแล้วแน่ๆ ระหว่างฉี่ไปก็ขอพรไปด้วย ท่านเซนต์มาร์กช่วยลูกช้างด้วย จนกว่าจะถึงเวลาอาหารเที่ยงอย่าให้ลูกช้างปวดฉี่อีกเลย ลูกช้างไม่มีเงินเข้าห้องน้ำ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in