เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
you, me and our alternate universe.M
The Manhattan Glass House
  • เสียงเพลงชวนเหงาของวงที่ชันค้นพบในยูทูปเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนดังในหูฟังสีขาวเป็นรอบที่สามหลังจากที่เขากดวนลูปเอาไว้ เขาคิดว่าสำเนียงออสซี่ของนักร้องหนุ่มคนนี้เหมาะกับฝนที่โปรยปรายลงมายิ่งกว่าอะไร ชายหนุ่มพิงตัวลงกับผนังอิฐของร้านขายของชำตรงข้ามอพาร์ทเมนท์ตัวเองในเสื้อยืดตัวโปรด และกางเกงยีนส์ขายาว ใบหน้าคมเข้มมองประตูทางเข้าของตึกสูงสิบชั้นที่อยู่ห่างจากเขาไม่ถึงยี่สิบก้าวหากแต่เขาขี้เกียจเกินกว่าที่จะเดินตากฝนที่ตกหนักเพื่อข้ามไป และอีกอย่าง การยืนฟังเพลงเกี่ยวกับพายุไซโคลนท่ามกลางเสียงเปาะแปะของน้ำตาจากหมู่เมฆก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่

    ท้องฟ้าที่เคยอมส้มในช่วงเย็นถูกย้อมเป็นสีมืดครึ้ม สายลมพัดพาใบไม้ที่ร่วงโรยไปตามถนนเวสท์ ฟอร์ธ เปียกชื้นแข่งกับเม็ดฝนที่ร่วงหล่นลงมา ชันมองมันกระทบกับดินที่หล่อเลี้ยงแปลงดอกไม้ของสวนย่อมใกล้ที่พัก แอ่งบนพื้นคอนกรีตที่กลายเป็นกระจกน้ำสะท้อนภาพเบื้องบนและหลังคารถมินิคูปเปอร์สีเหลืองสดที่มีตั๋วปรับเสียบอยู่ข้างกระจก คนส่วนมากมักจะเกลียดฝน หากแต่ชันกลับคิดว่ามันสงบ มันทำให้ทุกอย่างบนโลกดูช้าลงไปชั่วขณะและเขาชอบเวลาที่โลกเป็นแบบนั้น

    มือที่กำลังจะหยิบไอศกรีมจากถุงพลาสติกที่พึ่งชำระเงินมาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อประตูร้านขายของชำถูกผลักออกมา เสียงกรุ๊งกริ๊งทำให้ชายหนุ่มเหลือบมองร่างเล็กในชุดสีดำสนิทที่หอบหนังสือเต็มแขน ใบหน้าของเธอถูกหลบซ่อนใต้ร่มคันสีทึบที่พึ่งกางออกและยืนอยู่ไม่ห่างจากเขาเสียเท่าไหร่ มีร่มก็คงไม่ต้องห่วงว่าหนังสือจะได้รับอันตราย ชันนึกก่อนจะเบนความสนใจจากคนแปลกหน้ากลับมาที่ของหวานรสช็อคโกแลตชิพในมือ ถึงอากาศจะเย็นมากแค่ไหนแต่การกินไอศกรีมก็ไม่เคยเป็นอุปสรรคสำหรับเขา 

    ชันฮัมเพลงเบาๆ ในลำคอหลังจากที่มันเริ่มเล่นใหม่อีกครั้ง นัยน์ตาสีเข้มเหลือบกลับไปมองคนแปลกหน้าในชุดดำอีกรอบ และเขาก็เผลอเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นร่างเล็กทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นหน้าร้านขายของชำข้างเขาเสียดื้อๆ ร่มคันสีทึบที่กางถูกวางไว้พร้อมกับสองมือที่หยิบหนังสือเล่มบนสุดจากกองบนตักขึ้นมาอ่าน ตัวหนังสือ “จะเป็นผู้คอยรับไว้ ไม่ให้ใครร่วงหล่น” เด่นหราอยู่บนปก เขาจำได้ว่ามิสเตอร์สมิธ ครูสอนวรรณกรรมสมัยไฮสคูลเคยบังคับให้ทั้งห้องอ่านเป็นการบ้านแล้วทำเปเปอร์สรุป แต่เขากลับกูเกิ้ลเอาในอินเตอร์เน็ตเป็นทางลัด แหงล่ะ ตอนนั้นเขาเป็นเด็กตั้งใจเรียนที่ไหนกัน 

    โดยไม่รู้ตัวคนแปลกหน้าที่ห่างจากเขาไม่กี่ช่วงแขนเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือในมือ ดวงตากลมโตใต้กรอบแว่นสบตากับหนุ่มผิวเข้ม คนแปลกหน้าคนนี้ทำให้เขานึกถึงเฮ็ดวิก นกฮูกหิมะของแฮร์รี่ พอตเตอร์ไม่มีผิด ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าเขาตอนนี้คงไม่ต่างอะไรไปจากพวกโรคจิตในหนัง เพราะสาเหตุที่หญิงสาวเงยหน้ามามองแบบนี้ก็เป็นเพราะเขาเผลอจ้องเธอนานเกินหน่อย ให้ตาย เธอจะคิดว่าเขาเป็นโจจากซีรีย์เน็ตฟลิกซ์ที่เขากำลังติดงอมแงมอยู่รึเปล่า เพราะสาบานได้เลยว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น 

    ถึงแม้ในหัวเขาจะตีกันยุ่งเหยิง ชันกลับไม่หลบตา หญิงสาวตาโตก็ยังคงจ้องเขาผ่านกรอบแว่น แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ มันเป็นความคิดที่ผิดมหันต์เพราะไม่ทันไรสงครามเย็นก็ได้เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ชายหนุ่มค่อยๆ อมยิ้มพลางทานไอศครีมช็อคโกแลตชิพโดยที่สายตาก็ยังคงมองไปยังคนตัวเล็กที่กำลังพยายามกลั้นขำ หนังสือที่ตอนแรกคุณนกฮูกหยิบขึ้นมาอ่านถูกวางลงบนตักที่เดิมพร้อมกับสองมือที่ยกขึ้นมาเท้าคางมองชันกลับอย่างไม่ลดละ 

    เขาไม่รู้ว่ามันผ่านไปกี่วินาทีหรืออาจจะเป็นนาทีที่พวกเขาแข่งกันจ้องตาโดยที่ไม่มีใครคิดจะยอมแพ้ แต่ชันมั่นใจว่าเขาจะไม่แพ้กับคนตรงหน้า ใช่ เขามั่นใจ จนกระทั่งริมฝีปากที่เรียบตึงนั่นค่อยๆ ฉีกยิ้มกว้างจนกลายเป็นเป็นรอยยิ้มรูปหัวใจ ชันมองดวงตากลมโตใต้กรอบเลนส์ใสหยีเข้าหากันพร้อมกับเสียงหัวเราะที่หลุดออกมาอย่างไม่มีการเขินอาย ความมั่นใจที่เขามีเมื่อครู่นั้นพังทลายลงในพริบตา ชันสาบานได้ว่าเขาไม่เคยเห็นรอยยิ้มไหนที่สดใสยิ่งกว่าพระอาทิตย์ในฤดูร้อน 

    มือเล็กของคุณนกฮูกชี้ไปที่จมูกของตัวเขาเอง ชันยกมือขึ้นมาจับตามก่อนจะพบไอศกรีมที่เลอะบนปลายจมูก ชายหนุ่มรู้สึกว่าใบหน้าของเขามันร้อนขึ้นมาเสียดื้อๆ ไม่ใช่เพราะว่าเขาเข้าใจถึงสาเหตุที่ว่าทำไมคนแปลกหน้าคนนี้ถึงหัวเราะออกมา แต่เพราะภาพตรงหน้าเขามันไม่ต่างอะไรจากการโดนหมัดฮุคเข้าแรงๆ จนเกือบน็อคเอาท์ซะมากกว่า 

    “สติกกี้ฟิงเกอร์ส์?” ชันรีบดึงหูฟังข้างขวาออกพร้อมกับเบาเพลงลงเมื่อเห็นปากเธอขยับ

    “ถามว่าที่ฟังน่ะ สติกกี้ฟิงเกอร์ส์ใช่มั้ย?” 

    “อะ อ่าใช่ กำลังฟัง---”

    “ไซโคลน เพลงโปรดเลย” เธอมีสำเนียงอเมริกันจ๋า แหงล่ะ หมวกแก็ปที่เธอใส่มีโลโก้ของทีมเบสบอลแยงกี้ตัวเบอเร้อ ชายหนุ่มไม่ได้ชื่นชอบกีฬาใดเป็นพิเศษ แต่คุณลุงจอห์นนี่ของเขาเชียร์เรดซ็อกส์ในชนิดที่เรียกว่าลัทธิก็ว่าได้ 

    “เทสดีนี่” 

    “แหงอยู่แล้ว” เธอยักคิ้วกวนๆ เธอมีตาชั้นเดียว จมูกเล็กเหมือนกระดุมบนเสวตเตอร์ที่พวกคุณยายชอบถักให้เป็นของขวัญในช่วงคริสมาสต์ ผมหยักศกที่ยาวประบ่าและแก้มขาวที่แดงก่ำเหมือนมะเขือเทศสุกเพราะอากาศเย็น

    “ฉันก็เรียนเอนวายยู นายเรียนคณะอะไร” ชายหนุ่มกำลังจะอ้าปากถามว่าเธอรู้ได้อย่างไร แต่คุณนกฮูกกลับชี้นิ้วที่เสื้อยืดของเขาเสียก่อน อ่า ใช่ เสื้อยืดมหาลัยฯ ตัวเก่งที่เขาซื้อมาตั้งแต่สมัยเฟรชแมนที่เขาใส่บ่อยยิ่งกว่าอะไร 

    “กฎหมายน่ะ”

    “โอ้ว้าว เซ็กซี่นะ” ชันหลุดหัวเราะก่อนจะกินไอศครีมคำสุดท้าย

    “ช่วยบอกทีว่าจำนวนหนังสือที่ผมต้องท่องจำจนแทบอ้วกมันเซ็กซี่ตรงไหนกัน”

    “ก่อนอื่นเลยนะ reading is sexy อีกอย่างเป็นทนายความ ช่วยเหลือชีวิตคน สู้คดีต่างๆ เซ็กซี่เทียบเท่ากับเจมส์ บอนด์เลยล่ะ” เธออธิบาย มือขาวดันแว่นตาบนปลายจมูกกลับขึ้นไป 

    “แบบแดเนียล เครกเนี่ยนะ”

    “หรือณอน คอนเนอรี่ก็ได้ ตามตรง ฉันคิดว่าเขาโคตรฮ็อต” 

    “ส่วนเธอก็ภาษาและวรรณกรรม​?”

    “ทำไม เพราะฉันหอบหนังสือเหมือนคนบ้าน่ะเหรอ” เธอหรี่ตามองอย่างคาดโทษ

    “เปล่าสักหน่อย​ ผมก็แค่วิเคราะห์จากสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า ไม่ได้ตั้งใจจะ---”

    “ฉันแซวเล่นน่า ตื่นตระหนกไปได้” เธอหัวเราะเมื่อชายหนุ่มพูดไม่หยุด “ภาพยนตร์และโทรทัศน์ต่างหาก ส่วนหนังสือพวกนี้ฉันชอบอ่านอยู่แล้ว ได้เรียนรู้มุมมองใหม่ๆ น่ะ” หญิงสาวอธิบายก่อนจะหยิบนมเปรี้ยวยาคูล์ทขึ้นมาเจาะ ในบล็อกนี้มีแต่ร้านขายของชำของมิสแชงเท่านั้นแหละที่มีเครื่องดื่มและของกินจากแถบเอเชีย 

    “นายเคยอ่านมั้ย เจ. ดี. ซาลินเจอร์” 

    “ไม่เคย ตั้งแต่เข้ามหาลัยมาผมก็ไม่ได้อ่านหนังสือเล่นๆ เสียเท่าไหร่” ชายหนุ่มตอบเมื่อเธอหยิบหนังสือบนตักที่กำลังอ่านเมื่อสักครู่ขึ้นมา

    “ถ้าว่างก็ลองดู ฉันคิดว่ามันเจ๋งมาก ฉันชอบชื่อเรื่องเป็นบ้า มันทำให้นึกถึงพวกศิลปินระทมที่มีอุดมคติแนวสุขนาฏกรรม”

    “แบบแวนโก๊ะน่ะนะ”

    “ถูกต้อง แต่ก็แค่ชื่อน่ะ ตัวเนื้อเรื่องมันไม่ได้เป็นแนวนั้นหรอกนะ เอาเป็นว่านายต้องลอง”

    “โอเค พอพูดถึงแวนโก๊ะแล้ว ตั้งแต่ย้ายมาเรียน ผมยังไม่เคยไปที่โมม่าเลยสักครั้ง” เธอเบิกตาที่โตอยู่แล้วโตยิ่งกว่าเดิม มือบางยกทาบอกประหนึ่งว่าสิ่งที่ชันพึ่งพูดไปเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย 

    “ให้ตาย อย่าไปพูดที่ไหนเชียวว่านายเป็นนิวเยอร์กเกอร์”

    “ผมย้ายมาจากแอลเอน่ะ”

    “มิน่าล่ะ” เธอย่นจมูกใส่ชายหนุ่มอย่างกับเขาเป็นเบอร์ริโต้ที่ถูกลืมไว้บนโต๊ะกินข้าวจนบูด แต่ชันไม่ได้ติดใจอะไร เขารู้ว่าเธอล้อเล่น เขาพอจะสัมผัสได้ว่าเธอเป็นพวกเล่นมุุกหน้าตายเหมือนแชนด์เลอร์ในเฟรนด์ส์

    “เอางี้ เสาร์นี้ฉันว่างพอดี นายกับฉัน โมม่า ฉันจะพานายเที่ยวแมนฮัตตันในฉบับของฉันเอง” 

    “นี่เธอกำลังชวนผมออกเดทโดยไม่รู้จักชื่อผมเนี่ยนะ” 

    “มันจะเป็นเดทก็ต่อเมื่อตกเย็นแล้วพอนายไปส่งฉันที่บ้านแล้วเราจูบกันแบบพวกรอมคอมที่วู้ดดี้ เอเลนกำกับ แต่ในกรณี้นี้มันพิเศษยิ่งกว่านั้นมาก ฉัน ผู้อยู่บนเกาะนี้มาทั้งชีวิต จะพานาย คนแปลกหน้าจากอีสท์โคสท์ไปสำรวจเมือง นายจะได้ไม่อับอายเมื่อเพื่อนนายบินมาหาแล้วถามว่า เฮ้ ภาพวาดสตาร์รี่ไนท์ของแวนโก๊ะสุดยอดไปเลยใช่มั้ย แล้วนายทำหน้าเด๋อด๋าตอบกลับไปว่า โอ้ ผมยังไม่เคยไป นี่ฉันกำลังยินยอมเป็นทัวร์ไกด์ให้นายฟรีๆ โดยที่นายอาจจะต้องเลี้ยงเบเกิลฉันแค่นั้น โอเค ไม่ฟรีก็ได้ แต่ก็แค่เบเกิล” เธออธิบายซะยาวเหยียด ในขณะที่ผมนั่งประมวลทุกอย่างที่เธอพึ่งพูดออกมา 

    “ฉันชื่อลิลลี่และฉันไม่ใช่สโตล์กเกอร์โรคจิตที่นายควรกลัว สาบานได้ด้วยเกียรติของเนตรนารีขายคุกกี้” คุณนกฮูกหรือลิลลี่บอกแล้วยกมือขึ้นทำท่าสาบาน สีหน้าจริงจังเสียจนชันหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ชายหนุ่มคิดภาพหญิงสาวเอเชียนตาโตในไซส์มินิที่อยู่ในชุดยูนิฟอร์มของเนตรนารีลากกระบะติดล้อที่เต็มไปด้วยกล่องคุกกี้หลากสี น่าเอ็นดูเป็นบ้า

    “โอเค ตกลง” ชายหนุ่มตอบไป ลิลลี่ปรบมือสามครั้งช้าๆ พร้อมรอยยิ้มมุมปากด้วยความพอใจเหมือนพึ่งดูโอเปร่าจบ ชันคิดว่ายังไงมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรอยู่แล้ว เธอน่าสนใจ โผงผาง แล้วก็น่ารักอย่างปฎิเสธไม่ได้

    “ผมชื่อชัน”

    “แค่ชัน?”

    “อัญชัน คุณแม่ผมเป็นคนไทย มันเป็นดอกไม้ชนิดนึงที่นั่น”

    “โอ้ งั้นคุณแม่เราคงเข้ากันได้ดี แม่ฉันมีสวนขนาดมหึมา มันลามเข้าไปกินเนื้อที่ของห้องต่างๆ ในบ้านซะหมด คุณพ่อปวดหัวจะแย่” เธอบ่นงึมงัม แต่ก่อนที่ชายหนุ่มผิวแทนจะได้เอ่ยอะไรออกไป ร่างเล็กหุบร่วมที่กางไว้ใส่กระเป๋าก่อนจะรวบรวมหนังสือบนตักขึ้นมากอดแล้วลุกขึ้น

    ชันหันกลับไปมองท้องฟ้าที่บัดนี้กลับมาเป็นสีส้มอ่อนๆ เหมือนไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา หยาดน้ำจากฝนหยดลงมาจากหลังคาสีอิฐของร้านขายของชำเป็นการยืนยันของสภาพอากาศที่กลับมาสู่ปกติ 

    “นายมีปากกามั้ย” ลิลลี่ถามระหว่างคว้านหามันในกระเป๋าผ้าที่มีลาย “ฉันรักพาสต้า และฉันก็รักโลกด้วยเหมือนกัน” พร้อมรูปการ์ตูนของถ้วยสปาเก็ตตี้และโลกกลมจับมือกันเป็นพันธมิตร

    “ไม่เป็นไร ฉันเจอแล้ว ยื่นมือนายมา” หญิงสาวแบมือและถลึงตาใส่เมื่อชันทำหน้างุนงง แต่ชายหนุ่มก็ทำตามอย่างว่าง่าย

    “เอาล่ะ นี่คือไอจีของฉัน ฟอลโล่มาด้วยล่ะ” ปากกาเมจิกในมือขาวของเธอขยุกขยิกอยู่บนมือของชายหนุ่มไปมา ชันสังเกตุเห็นว่ามือของลิลลี่และมือของเขามีสีที่ตัดกันเหมือนนมจืดกับคาราเมล

    “ผมไม่ค่อยเล่นไอจีเท่าไหร่”

    “หยุดทำตัวเป็นคุณปู่อายุแปดสิบที่แอนตี้โลกโซเชี่ยลหน่าอัญชัน ไม่งั้นฉันจะบอกทุกคนเลยว่านายเป็นนิวยอร์กเกอร์ปลอม” หญิงสาวกลอกตาใส่พร้อมกับกอดหนังสือของเธอแนบอก 

    “ฉันต้องไปแล้ว นัดเพื่อนไว้ตอนเย็นน่ะ สรุปเสาร์นี้เราเจอกันหน้าโมม่าตอนสิบโมงตรง ห้ามเลทล่ะ” ลิลลี่หันมาบอกระหว่างเดินข้ามถนนไปอีกฟาก เพลงที่เขาฟังวนลูปเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ยังคงเล่นอยู่ใบหน้าหวานเอี้ยวกลับมามองชายหนุ่มเล็กน้อยพร้อมส่งยิ้มรูปหัวใจมาให้อีกครั้งก่อนเธอจะเดินลับหายไปตรงหัวมุม บอกตามตรง รอยยิ้มนั่นไม่ต่างอะไรจากอัพเพอร์คัทเข้าที่คางสำหรับแมทช์ยกนี้ 

    ลิลลี่ 1 - อัญชัน 0

    ชันรู้สึกเหมือนตัวเองกลับอยู่สมัยเกรดหก ตอนที่เขาแอบปิ๊งมอลลี่ มัวร์ที่เรียนคาบวิทยาศาสตร์ด้วยกันตลอดทั้งปี เขาพบว่าตัวเองกินข้าวไม่ลงนอนไม่หลับเพราะตกหลุมรักเข้าอย่างจัง แถมเขายังโดนพี่สาวล้อเกือบเดือนเมื่อเธอเผลอเจอสมุดวาดรูปของเขาที่เต็มไปด้วยหัวใจ ตัวอักษร A + M และบทกลอนรักที่เชคสเปียร์คงทำหน้าเหยเกหากเขาได้อ่าน น่าอายชะมัด

    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ชันมองชื่อพีที่เป็นรูมเมทของเขาก่อนรับสาย

    “เฮ้ ว่าไง ฉันว่าจะสั่งพิซซ่าจากออลลี่ นายเอาอะไรมั้ย” คำถามของพีทำเอาชันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตั้งแต่เพื่อนหนุ่มเชื้อสายไทยเหมือนกับเขาค้นพบร้านพิซซ่าใกล้ที่พัก เขาก็สั่งมากินแทบจะทุกมื้อจนเกือบอาทิตย์ 

    “ไม่ล่ะ เดี๋ยวฉันว่าจะไปบาร์นแอนด์โนเบิล แล้วเดี๋ยวหาอะไรกินแถวนั้นเอา”

    “ฮะ จะไปทำอะไรที่ร้านหนังสืออ่ะ ต้องเขียนเปเปอร์เหรอ ไปห้องสมุดก็ได้มั้ง”

    “ก็แค่หาหนังสืออ่านเล่น ไม่ต้องรอ วางละนะ”

    “เย็นชาว่ะ โอเคๆ ก่อนกลับซื้อนมถั่วเหลืองจากมิสแชงมาให้ด้วยนะ บ๊าย” 

    ชันวางสายระหว่างเดินข้ามถนนสวนกับผู้คนที่เริ่มออกมาข้างนอกหลังจากฝนหยุดตก เสาร์นี้น่ะเหรอ ชายหนุ่มคิดในใจ อีกแค่สามวัน จนถึงตอนนั้นเขาคงต้องไปหาซื้อ “จะเป็นผู้คอยรับไว้ ไม่ให้ใครร่วงหล่น” มาอ่านบ้างแล้วล่ะ ชันดึงมือขวาออกจากกระเป๋ากางเกง เขามองตัวหนังสือสีดำที่คุณนกฮูกเขียนทิ้งไว้พร้อมกับรอยยิ้ม


    'stalk me @lillysoo 

    nice to meet you flower boy :-)'


    TBC.




    ไม่ได้เขียนซะนานมากเลย 

    หวังว่ายังพอไหว 

    m.

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in