เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Falling #MinNoicypumpkin
02 : First Snow
  • Title: First Snow
    Pairing: MinNo [NaJaemin x LeeJeno]
    Genre: AU, Slice of Life, Yaoi
    Sub Chapter: Falling
    Author: icypumpkin
    Special Thanks: nomatterblue for your kind suggestion and encourage me to write it down. 
    P.S. It's one shot with continuous stories to show some parts of their life.
    ---------------------------------------------------------------------------




    I.


    ถ้าถามว่าการย้ายจากห้อง D มาห้อง A แตกต่างกันมากไหม



    นาแจมินต้องบอกว่า มันไม่ได้ต่างอะไรมากมายนักในความรู้สึกของเขา




    เรื่องแรก เด็กห้อง A ก็คุยเมาท์กันไม่ต่างจากเด็กห้อง D ขี้เหยียดกว่านิดหน่อย แต่ต้องยอมรับว่าเวลาเรียนแค่ใครถอนหายใจยังได้ยิน ทุกคนตั้งใจมาก เรื่องการสอบไม่ต้องพูดถึง แม้จะเป็นแค่ควิซเก็บคะแนนก็ต้องอ่านหนังสือล่วงหน้าทุกคาบ นั่นทำให้การแข่งขันดูสูงเกินไปสักนิด



    เรื่องที่สอง พ่อกับแม่เขาดีใจแบบสุดๆ จากเกรดปีที่แล้วพุ่งสูงขึ้นจนได้มาอยู่ห้อง A และแน่นอนแม้เขากลับบ้านช้าเหมือนเดิม แต่เหตุผลไม่ใช่เพราะนั่งเฉยๆ มองนกมองไม้เหมือนอย่างเคย



    เรื่องที่สาม อันนี้สำคัญสุด ปัจจัยหลักที่ทำให้เขากระโดดจากห้องบ๊วยสู่ห้องคิง ทำให้เขาย้ายจากการนั่งเตร็ดเตร่ปล่อยเวลาทิ้งสู่ห้องสมุด





    "วันนี้ขี้เกียจอ่านหนังสือ จริงๆ" นาแจมินโอดครวญ แม้อีกฝ่ายจะเป็นคนขยัน แต่เขาไม่ใช่



    "ไปนั่งเป็นเพื่อนเฉยๆ ก็ได้" ยื่นข้อเสนอใหม่



    "ห้องสมุดมันอุดอู้อะ" แน่นอนว่าเป็นข้ออ้าง



    "งั้นไปนั่งดาดฟ้าแล้วอ่านหนังสือด้วยกัน" ยังคงไม่ยอมแพ้



    "แสงไม่พอเดี๋ยวตาเสียนะ" เขาเองก็เช่นกัน




    "ย๊า นาแจมิน!!" เพียงเท่านั้นคนฟังก็หัวเราะเสียงดัง




    "โอเคครับ ไปห้องสมุดกัน" อยู่ด้วยกันมาจะปี เขายังคงสนุกกับการทำให้อีกฝ่ายหัวเสียเล็กน้อย มึนงงหรือตื่นตกใจเหมือนเคย



    "นั่งฟังเฉยๆ ก็ได้ เดี๋ยวอ่านให้ฟัง"



    "ใจดีจัง" แจมินเอ่ย ยกแขนขึ้นโอบรอบไหล่คนตัวเท่ากันพลางโถมน้ำหนักจนคนข้างกายบ่นกระปอดกระแปด





    ถึงเขาจะไม่อ่านหนังสือแต่แค่ไปนั่งฟังหรือนั่งด้วยเผื่อความรู้จะซึมเข้าหัวบ้าง แม้บางทีบทสนทนาจะเปลี่ยนจากการอ่านหนังสือเป็นนั่งคุยนั่งเล่นกันเฉยๆ ก็ตาม





    คนที่ทำให้วันเวลาว่างเปล่าดูมีความหมายมากกว่าที่เคย


    คนที่ทำให้เขาอดทนรอคอยเพื่อกลับบ้านพร้อมกัน


    คนที่ทำให้เขายอมกินขนมหวานอย่างเยลลี่ทั้งที่ไม่ค่อยชอบกิน


    คนที่ทำให้เขาอยากจะเป็นคนที่ดียิ่งกว่าเดิม




    อีเจโน่คนนั้น







    II.


    อีกหนึ่งข้อที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยของการย้ายมาสู่ห้อง A



    เขามีอีเจโน่นั่งข้างกาย และได้เพื่อนใหม่ที่ชื่นชอบเสียงเพลงไม่ต่างกันคืออีดงฮยอกที่นั่งอยู่ด้านหน้าเจโน่ และฮวังเหรินจวิ้น เพื่อนชาวจีนที่นั่งแถวหน้าข้างกัน ความจริงแล้วสามคนนี้สนิทกันอยู่แล้ว มีเพียงเขาเท่านั้นที่เพิ่มเข้ามา แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันคือ




    นาแจมินกับอีเจโน่สนิทกันอย่างรวดเร็วแถมตัวติดกันยิ่งกว่าฝาแฝด




    "ลองฟอร์มวงกันไหม" ดงฮยอกเปิดประเด็นระหว่างรอเปลี่ยนคาบเรียน



    "ถามจริง!" เจโน่ตาโตพูดเสียงสูง



    "ฉันขอบาย" เหรินจวิ้นบอกปัดพลางโบกมือลาประกอบคำพูด



    "จะฟอร์มวงยังไง คนเล่นเครื่องดนตรียังไม่ครบชิ้นเลย"แจมินเอ่ยถาม



    "ก็แจมินเล่นกีตาร์ ฉันเล่นเบสกับซับโวคอล เจโน่ร้องนำ แล้วให้มาร์คมาตีกลองให้"มาร์ค อีที่ดงฮยอกพูดถึงคือเพื่อนชาวเกาหลีสัญชาติแคนาดา เนื่องจากอีกฝ่ายเกิดและเติบโตที่นู่น หากแต่มีเหตุจำเป็นจึงต้องกลับมาใช้ชีวิตที่ประเทศเกาหลีอีกครั้ง ความจริงเจ้าตัวนั่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากดงฮยอกมากนัก แต่ไม่รู้ตอนนี้หายไปไหนเสียแล้ว



    "ถามมาร์คหรือยัง"เป็นเจโน่ตั้งข้อสงสัยบ้าง



    "คุยแล้วดิ ไม่ต้องห่วง ถ้าทุกคนโอเคก็ลองซ้อมละขึ้นงานคริสต์มาสปีนี้เป็นไง"แจมินหันมองหน้าเจโน่แทนคำตอบ… 




    ใช่ เขาให้เจโน่เป็นคนตัดสินใจ ถ้าอีกฝ่ายบอกจะทำ เขาก็เอาด้วย




    "เหรินจวิ้นต้องขึ้นด้วยกันนะ" 



    "ห๊ะ เกี่ยวไรอะ"คนถูกพาดพิงตาโตรีบชี้ที่ตัวเอง



    "ก็อยากร้องเพลงด้วยกัน"ความจริงเหรินจวิ้นเองก็เสียงดีไม่แพ้ใคร แต่ติดที่ความรักสงบและไม่ค่อยชอบการเป็นจุดสนใจเสียเท่าไหร่ 



    "……"



    "นะ… แค่เพลงเดียวก็ได้"พอเห็นเพื่อนสนิทพยักหน้าดงฮยอกก็รีบเสริมขึ้น



    "งั้นแปลว่าตกลงแล้วนะ จะได้ไปบอกพวกรุ่นพี่เกรด11 ที่เป็นคนจัดงาน"




    "เดี๋ยว มีอีกข้อ" 




    "โห 'ไมเยอะจังอะเจโน่"ดงฮยอกโอดโอย ก้มหน้าลงแนบกับโต๊ะ



    "ไม่ยากหรอกน่า เราไม่รู้ว่าจะร้องกี่เพลง แต่ดงฮยอกต้องช่วยร้อง"



    "อันนั้นแน่นอนอยู่แล้ว"อีดงฮยอกยินดีจะเป็นคอรัสให้เพื่อนเสมอ





    "เราหมายถึงร้องเองเต็มเพลงนะ"





    "เฮ้อ… ก็ได้ๆ ดีนะไม่ขอให้มาร์คร้องด้วย ไม่งั้นคงเหนื่อยตาย ไม่ต้องขึ้นเล่นมันแล้วเวที"คู่สนทนาค่อนขอด



    "ความจริงก็อยากขอให้มาร์คแร็พฟรีสไตล์แต่เกรงใจ ไว้ถ้ามีโอกาสขึ้นเวทีครั้งหน้า ให้ฝึกตีกลองไปด้วยร้องเพลงไปด้วย" 





    แจมินที่นั่งฟังเงียบๆ ยกยิ้มให้กับคำพูดนั้น เพราะคำขอทั้งหมดของเจโน่ ก็หวังให้เพื่อนตนเองเฉิดฉายบนเวทีทั้งนั้นเลยนี่น่า ปกติทุกคนมักจะให้ความสำคัญกับนักร้องนำบนเวทีมากที่สุด แต่ถ้าคนเล่นดนตรีได้สามารถร้องเพลงได้ด้วย ทุกคนก็จะเริ่มสนใจในคนเหล่านั้นมากขึ้น แม้กระทั่งการบังคับเหรินจวิ้นขึ้นโชว์ความสามารถของตนเองต่อหน้าคนอื่นเผื่ออาจจะมีใครให้ความสนใจดึงตัวไปทำกิจกรรมอื่นอีกในอนาคต




    "ไม่บังคับแจมินด้วยหรอ"เหรินจวิ้นถาม เขาถึงกับหันไปมองแรงจนอีกฝ่ายหลุดหัวเราะเสียงดัง



    "ไม่เอาอะ ไม่ยอมทำหรอก แค่ขึ้นเวทีด้วยก็พอ"คนถูกกล่าวถึงหันไปมองคนหาเรื่องก่อนจะยักคิ้วให้ ยกมือขึ้นยีผมคนข้างตัวแรงๆ ข้อหามันเขี้ยวจนโดนฟาดกลับมา เพราะอีเจโน่ยังคงจำคำพูดเขาได้เสมอ






    'จะร้องเพลงให้ฟังก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่ต้องร้องเท่านั้นแหละ'







    III.


    "งานปาร์ตี้วันเกิด!!"สองเสียงที่ประสานกันอย่างไม่ได้นัดหมายทำเอาคนฟุบอยู่กับโต๊ะเงยหน้าขึ้นมอง เจโน่แลบลิ้นใส่ก่อนจะยกมือขึ้นดึงแก้มคนขี้เซาที่เผลอหลับระหว่างคาบเรียนไม่เบานัก




    "เออ เสียงดังทำไมกัน"เหรินจวิ้นตอบรับ




    "มันน่าตกใจเพราะเป็นนายชวนนี่แหละ นึกคึกอะไรจัดปาร์ตี้วันเกิดวะ แล้ววันเกิดนายอีกตั้งนานนี่"ดงฮยอกกล่าวในขณะยกมือขึ้นเท้าคาง พอถึงจุดนี้ แจมินยอมแพ้ที่จะนอนต่อ เขาจึงวางแขนสองข้างประสานขนาบกับโต๊ะและนำคางวางเกยเพื่อรับฟังบทสนทนาตรงหน้า



    "ไม่ใช่ปาร์ตี้วันเกิดฉัน มีคนเขาฝากมาชวน"เพื่อนชาวจีนส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายให้กับคนขี้ตื่นตูมทั้งสอง



    "เอ้า ก็ไม่รีบพูดเนอะดงฮยอกเนอะ"ก่อนอีกคนจะตอบรับอย่างเข้าขากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย




    "แล้ววันเกิดใคร"แจมินถามขึ้นบ้างเมื่อเห็นบทสนทนาดูจะออกนอกประเด็นไปเสียแล้ว





    "วันเกิดพี่แจฮยอน" 





    คราวนี้ทั้งโต๊ะปกคลุมด้วยความเงียบ แจมินมองหน้าเหรินจวิ้นที่ทำหน้าไม่ถูก ดงฮยอกที่ยังคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไร และสุดท้ายคือคนข้างกายที่รอยยิ้มบนใบหน้ากลายเป็นยิ้มค้างไปเสียแล้ว




    เพราะทุกคนต่างรู้กันดีอยู่แก่ใจว่าจองแจฮยอนคนนั้นมีความสำคัญกับอีเจโน่มากขนาดไหน




    "แล้วทำไมจัดเร็วจัง พี่แจฮยอนเกิดเดือนกุมภาไม่ใช่หรอ"ดงฮยอกเป็นคนแรกที่เปิดประเด็นขึ้นอีกครั้ง



    "เดือนมกรานี้พี่เขาจะบินไปเรียนต่อที่อเมริกา ความจริงปาร์ตี้เลี้ยงส่งซะมากกว่า แต่พี่เขาอยากเรียกเป็นฉลองวันเกิดล่วงหน้า"เหรินจวิ้นอธิบาย หันมองเพื่อนสนิทที่นิ่งไปตั้งแต่ชื่อจองแจฮยอนหลุดออกจากปากไป




    "ฉันยังไงก็ได้นะ ถ้าเจโน่ไปก็ไป ถ้าเจโน่ไม่ไปก็ไม่ไป"แจมินเอ่ยตอบอย่างง่ายดายจนเพื่อนอีกสองคนหันมองหน้า เขาทำเพียงไหวไหล่แทนคำตอบ 





    เพราะไม่ใช่แค่ทุกคนรู้ว่าจองแจฮยอนคนนั้นสำคัญกับอีเจโน่ขนาดไหน


    หากแต่ยังรู้ด้วยว่าอีเจโน่คนนี้สำคัญกับนาแจมินมากแค่ไหน





    ใช่ นาแจมินชอบอีเจโน่



    ชอบตั้งแต่วันแรกที่อีกฝ่ายเดินมาทักทายบอกให้ดับบุหรี่ลง


    ชอบยิ่งกว่าเดิมเมื่อเราได้เริ่มคุยกันบนดาดฟ้าวันนั้น


    ชอบถึงขนาดบอกตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อจะดูเหมาะสมกับอีกฝ่ายไม่ว่าด้านไหนก็ตาม



    ชอบ แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าอีเจโน่รักรุ่นพี่จองแจฮยอนมากจนไม่เหลือพื้นที่ให้ใครอีก




    เหรินจวิ้นและดงฮยอกเองก็รับรู้ถึงความรู้สึกของเขา คงมีเพียงคนเดียวเท่านั้นแหละที่ยังไม่รู้ตัว






    "ยังไม่ต้องให้คำตอบตอนนี้ก็ได้ ไว้อีกสักวันสองวันฉันค่อยไปบอกคำตอบพี่เขา"เหรินจวิ้นกล่าวตัดบทเมื่อเจโน่ยังคงไม่พูดอะไรพร้อมกับทำท่าจะหันกลับไปยังโต๊ะของตนเอง




    "ไปสิ"



    "ห๊ะ!!"



    "ดงฮยอกตกใจอะไร"เจโน่มองหน้าคนตรงข้ามและถามขึ้นหลังคำพูดนั้น



    "เปล่า ก็แค่ตกใจเห็นนายนั่งเงียบมาตั้งนาน นึกว่าคงไม่ได้ฟังไปแล้ว"




    "คิดอยู่ต่างหาก"เจโน่ตอบรับแผ่วเบาจนเขาไม่แน่ใจว่าเหรินจวิ้นกับดงฮยอกจะได้ยินมันไหม ประจวบเหมาะกับอาจารย์เดินเข้าห้องเรียนมาพอดีทำให้บทสนทนานั้นจบไป







    IV.


    "มีอะไรอยากพูดไหม"เขาถามคนข้างกายระหว่างทางกลับบ้านของเรา



    "ไม่รู้สิ"เจโน่ตอบกลับมาแบบนั้น แจมินเพียงพยักหน้าตอบรับและเดินหน้าต่อไป สองเท้าของเราทั้งคู่ยังคงก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอ ไม่รีบเร่งจนเหนื่อยแต่ก็ไม่ช้าเสียจนเกินไป 



    เขาแค่สอบถามเพราะสังเกตถึงความผิดปกติ แต่จะไม่เร่งเร้าหรือเอาคำตอบถ้าอีกฝ่ายไม่พร้อมจะพูดถึงมัน




    พูดกันตรงๆ เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจสถานะความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นพี่แจฮยอนกับเจโน่สักเท่าไหร่นัก เท่าที่รู้จากเพื่อนสนิททั้งสองก็คือฝ่ายนั้นสร้างความประทับใจอย่างไม่รู้ลืมแก่เจโน่ และมันก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ความสัมพันธ์ดูจะไปไกลเกินกว่าพี่น้อง แถมอีกฝ่ายมายืนรอหน้าห้องตอนเลิกเรียนทุกวันเพื่อไปขึ้นรถบัสพร้อมกัน แต่จู่ๆ ข่าวการคบกันระหว่างรุ่นพี่แจฮยอนกับรุ่นพี่นายอนก็แพร่สะพัดไปทั่ว หลังจากนั้นเจโน่ก็ไม่เคยข้องแวะอะไรกับรุ่นพี่คนนั้นอีกเลย




    "ตอนนั้นที่บอกว่าคิดอยู่น่ะ"แจมินส่งเสียงตอบรับในลำคอ ไม่ต้องเกริ่นหัวเรื่องมาก็พอเข้าใจว่าเรื่องอะไร 




    "คือคิดว่าไหนๆ ก็ไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว ถ้าไม่ไปก็คงไม่เป็นไร แต่จู่ๆ ก็คิดขึ้นมาอีกว่าถ้าไม่ไป...





    คงเสียใจล่ะมั้ง" 




    ความเงียบโรยตัวยาวนานกว่าประโยคสุดท้ายจะหลุดออกมา แจมินชะงักฝีเท้าเพราะเจโน่หยุดเดิน เขาหันมองคนข้างกายที่เงยหน้ามองผืนฟ้ากว้างใหญ่ก่อนน้ำใสจะไหลรินจากหางตาสู่ผิวแก้ม




    "เสียใจที่มีโอกาสแล้วไม่ยอมไปแสดงความยินดี ไปเจอ ไปคุยกันอีกครั้ง เพราะไม่รู้พอไปแล้วพี่เขาจะกลับมาเมื่อไหร่ หรืออาจจะไม่กลับมาแล้ว"




    จบประโยคนั้น นาแจมินเดินเข้าใกล้ก่อนจะรวบตัวอีกฝ่ายไว้ในอ้อมกอด ยกมือขึ้นลูบหลังแทนการปลอบประโลมโดยไร้ซึ่งคำพูด ไม่มีคำปลอบโยนใดๆ ที่สามารถมอบให้เพราะไม่รู้ว่าหัวใจของคนตรงหน้าบอบช้ำมากขนาดไหน




    "ทั้งๆ ที่ผ่านมาเป็นปี เหมือนมีแค่ฉันคนเดียวที่ไม่ยอมก้าวต่อไปข้างหน้า"ละล่ำละลักพร้อมแรงสะอื้น เขาสัมผัสได้ถึงความชื้นบริเวณหัวไหล่ผ่านชุดนักเรียนที่สวมอยู่



    "อาจจะก้าวออกมานิดหน่อยแล้วก็ได้"จากการที่ตอบรับคำเชิญแถมยังยอมรับว่าตัวเองยังยืนอยู่ที่เดิม





    "ขนาดแค่คิดถึงยังร้องไห้ขนาดนี้ อ่อนแอจังเลยเนอะ"เขาไม่ตอบอะไร เพียงไหวไหล่และช่วยปาดน้ำตาที่ยังซึมออกจากหางตาให้ ไม่รู้หรอกว่าเรายืนกอดกันตรงนั้นนานแค่ไหน แต่เห็นเจโน่สงบลงได้แบบนี้ เขาก็วางใจได้ในระดับหนึ่ง




    "กลับบ้านกันเถอะ"เจโน่เอ่ยชวน สูดลมหายใจลึกยาวคล้ายเรียกสติตนเอง



    "อือ กลับบ้านกัน"เขาตอบรับ ยืนรอให้อีกฝ่ายเริ่มเดินไปก่อนเพราะถึงอย่างไร เขาก็จะเดินตามให้ทันเพื่อให้เราก้าวเดินไปพร้อมกันอยู่ดี



    "แจมิน ถ้าวันนั้นไม่ไห....."




    "ไม่ต้องห่วง ฉันจะพากลับบ้านเอง เหมือนทุกวันนั่นแหละ"ตัดบทโดยไม่ต้องรอให้พูดจนจบ ต่อให้เจโน่ไม่ขอ คิดหรอว่าเขาจะทำใจได้ที่จะให้นั่งเสียใจอยู่กลางงานแบบนั้น





    "นี่ แจมิน...."



    ในขณะที่ออกก้าวเดินเพราะมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย เสียงเรียกนั้นทำเอาเขาหันหลังกลับไปมองอีกครั้ง ภาพของอีเจโน่กับเรือนผมดำยุ่งเหยิงเล็กน้อยเพราะแรงลม จมูกแดงๆ ที่ผ่านการร้องไห้ หากแต่รอยยิ้มพรายเต็มสองแก้มก็ปรากฏสู่กรอบสายตา







    “ขอบคุณนะ”







    V.


    งานวันเกิดของรุ่นพี่แจฮยอนถูกจัดขึ้นที่บ้านของเจ้าตัวซึ่งมีบริเวณกว้างขวางเอาการ ห้องโถงกลางบ้านถูกปรับเปลี่ยนตกแต่งให้เขัากับปาร์ตี้ระดับย่อม ซึ่งบุคคลส่วนมากที่มาร่วมงานก็ไม่ใช่ใครที่ไหน รุ่นพี่รุ่นน้องในโรงเรียนที่คุ้นหน้าทั้งนั้น



    ตั้งแต่เข้ามาบริเวณงาน เขาคอยลอบสังเกตคนข้างกายเป็นพักๆ หากแต่เจ้าตัวยังไม่แสดงสีหน้าหรือท่าทางอะไรออกมา พอเห็นเขามองบ่อยเข้าก็หันกลับมาบอกว่า 



    'ไม่ต้องเป็นห่วง วันนั้นแค่เซ็นซิทีฟไปหน่อย'



    แถมยังตบไหล่เขาเบาๆ อีกต่างหาก ไม่อยากจะพูดตอบรับอะไรเลยพยักหน้ารับแบบส่งๆ และไปยืนรอแถวริมประตูทางเชื่อมไปห้องอื่นที่ไม่ค่อยมีคนมากนัก



    พูดกันตามตรง นาแจมินไม่ค่อยถูกโรคกับคนเบียดเสียด เสียงอึกทึกคึกโครมแบบนี้เท่าใดนัก







    "ไม่ไหวกับงานแบบนี้ว่ะ" เขาหันไปมองก่อนจะพบฮวังเหรินจวิ้นมายืนข้างๆ พร้อมสีหน้าเหนื่อยหน่าย



    "ทำไมล่ะ ฉันเห็นพี่วินวิน พี่คุนกับน้องเฉินเล่อก็มานี่" พูดถึงบรรดารุ่นพี่รุ่นน้องชาวจีนที่เพื่อนสนิทด้วยและชอบไปเที่ยวเล่นกันบ่อยๆ



    "อันนั้นก็ส่วนนึง แต่คนเยอะกับเสียงดังขนาดนี้ปวดประสาท ถ้าเลืิอกเรียนมหา'ลัยนะ รับรองไม่ได้เจอฮวังเหริินจวิ้นกับคณะที่เรียนจบไปต้องออกงานสังคมแบบนี้แน่ๆ" แจมินยกยิ้มพลางพยักหน้าเห็นด้วย เขาเองก็ไม่ไหวกับงานแบบนี้ นานๆ ทียังพอว่า แต่ถ้าต้องออกเป็นกิจจะลักษณะ เห็นทีว่าจะแย่เสียก่อน



    "แล้วเจโน่กับดงฮยอกล่ะ" แทนคำตอบแจมินเลือกจะหันหน้ามองไปยังทิศทางที่คนถูกกล่าวถึงยืนอยู่ อีดงฮยอกกับอีเจโน่เป็นคนคุยสนุกแถมยิ้มแย้มตลอดเวลา สร้างบรรยากาศได้ดี ซึ่งนั่นทำให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปถึงได้โดนล้อมหน้าล้อมหลังอยู่แบบนั้น



    "มาร์คด้วยอีกคน ให้ตาย จำได้หมดทุกคนที่มาคุยด้วยจริงหรอนั่น" แจมินตั้งข้อสังเกตจนคู่สนทนาหัวเราะร่าไปด้วย



    "นั่นดิ แต่ก็คุยเหมือนสนิทกันเลยนะ"



    "พอกลับมาก็บ่นว่าเหนื่อย/ไม่สนุกเลยสักนิด" ก่อนสองเสียงจะประสานและหัวเราะออกมาพร้อมกัน เพราะรู้นิสัยเพื่อนสนิทดีกว่าใคร และเช่นกันว่าพวกนั้นก็รู้นิสัยพวกเขาดี ถึงไม่เคยพยายามลากไปอยู่ท่ามกลางวงล้อมของฝูงชน




    "โอ๊ะ พี่แจฮยอนมาว่ะ" คำพูดนั้นทำเอาแจมินหันมองตามก่อนจะพบจองแจฮยอนยืนแจกยิ้มให้กับคนที่เข้ามาทักทายไม่ขาดสาย



    "ไปทักทายเจ้าของวันเกิดกันหน่อยดีกว่า" เหรินจวิ้นพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะตามไปสมทบกับพวกเจโน่ที่ยืนอยู่ก่อน 



    บทสนทนาไม่เชิงไปในทางอวยพรวันเกิดเพราะมันดูยังห่างไกล พวกเขาเลือกจะสอบถามถึงสถานที่ที่อีกฝ่ายไปเรียน วันเดินทาง รวมถึงระยะเวลาการไปอยู่ที่นู่น และแน่นอนว่าอวยพรให้เดินทางปลอดภัยและใช้ชีวิตให้สนุก



    "ยังไงพี่ขอตัวก่อน เต็มที่เลยนะทุกคน อยู่ให้จบงานล่ะ" ชนแก้วกันครั้งสุดท้ายก่อนเจ้าของงานจะไปรับแขกคนอื่นต่อ พวกเขาโค้งตัวลาก่อนจะแยกย้ายกันไป มาร์คกับดงฮยอกสัญญากับพี่แจฮยอนไว้ว่าจะเล่นดนตรีให้เลยต้องไปเตรียมอุปกรณ์ เหรินจวิ้นขอตัวไปด้วยเพราะพี่วินวินโทรตามบอกมีเรื่องอยากคุยด้วย



    นาแจมินหันมองอีเจโน่ที่ไม่ได้ดูซึมเท่าวันนั้นแต่ก็ไม่ร่าเริงเหมือนทุกที พอมองตามสายตาของอีกฝ่ายไปก็พอจะเข้าใจ ภาพของจองแจฮยอนกำลังยิ้มหัวเราะพลางลูบผมให้แฟนสาวของตนทำเอาเขาเลือกยืนซ้อนหลังเจโน่ ก่อนจะยกมือขึ้นปิดตาของอีกฝ่ายเอาไว้



    "โอ๊ะ" 



    "อะไรที่มันไม่ดีก็เลิกดูได้แล้ว" กระซิบใกล้ใบหูก่อนเขาจะจับตัวคนในอ้อมกอดให้หมุนไปในทิศทางอื่นและลดมือตนเองลง



    "ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย" ยังจะเถียงอีก 



    "เฮ้อ" แจมินถอนหายใจจนคู่สนทนาหัวเราะตาม



    "ไปสูบบุหรี่ก่อนนะ ถ้าเหงาก็ไปอยู่กับดงฮยอก" ตั้งแต่เข้างานมา เขาหาโอกาสเหมาะๆ ไม่ได้สักทีที่จะขอตัวออกไปด้านนอก เพราะยังไม่เจอเจ้าของงาน



    "อือ" เจโนพยักหน้ารับแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีจะเดินไปไหน




    "ออกไปด้วยกันไหม"




    จนเป็นเขาเองที่ถามขึ้นก่อนจะได้รับรอยยิ้มกว้างและการพยักหน้ารัวๆ คงเบื่อแล้วที่จะต้องคอยไปคุยกับใคร ถึงจะเข้าสังคมเก่งแต่พื้นฐานนิสัยเจโน่เองไม่ได้ชอบความวุ่นวายหรืออยากคุยกับใครตลอดเวลา






    อากาศข้างนอกในตอนกลางคืนหนาวกว่าที่คิด เขาหันมองคนข้างกายที่อยู่ในเสื้อผ้าหลายชั้นให้พออุ่นใจว่าทานความหนาวได้ ก่อนจะเกล็ดบุหรี่ออกจากซอง จุดไฟ และอัดนิโคตินเข้าปอด ข้อดีในข้อเสียนับไม่ถ้วนของบุหรี่คือมันทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นท่ามกลางอากาศหนาวแบบนี้



    ความเงียบโรยตัวไม่เคยทำให้อึดอัด เราเดินกันไปเรื่อยๆ เหมือนดังทุกที 



    "อยากกลับบ้านหรือยัง" เจโน่เริ่มประเด็นสนทนา



    "นายรู้ดีแก่ใจ" เขาปล่อยควันออกทางจมูกและปากก่อนจะตอบกลับ ซึ่งนั่นเรียกเสียงหัวเราะของอีกคนได้เป็นอย่างดี




    "งั้นกลับบ้านกันไหม"



    "ดงฮยอกกับมาร์คจะเล่นดนตรีสดนะ" เขาทักท้วง



    "ไม่เห็นเป็นไรเลย" ตอบกลับทันควัน



    "เจโน่... เมาใช่ไหม" แจมินหยุดเดินก่อนตั้งข้อสังเกต เห็นหน้าแดงๆ ตอนแรกคิดว่าเพราะอากาศหนาว แต่พอดูดีๆ รอยยิ้มกว้างกับตาเยิ้มๆ นั่น



    "ไม่เมานะ" คนฟังหรี่ตาลงอย่างคาดคั้น



    "...."



    "โอเค กินไปนิดหน่อย" แจมินถอนหายใจจนอีกฝ่ายหัวเราะออกมาอย่างชอบอกชอบใจ เจโน่เมาแล้วหัวเราะเก่งขึ้น เขาไม่แน่ใจว่ากินไปมากแค่ไหน แต่พอหยุดกินสักพัก อาการคงออกแบบที่เห็นตอนนี้



    "ให้โอกาสคิดอีกทีว่าจะกลับบ้านจริงไหม" เขาทิ้งก้นบุหรี่ก่อนจะขยี้มันด้วยเท้า พอดีกับการที่เรามาถึงสนามเด็กเล่นไม่ไกลจากบ้านของพี่แจฮยอนเท่าไหร่นัก เลือกนั่งชิงช้าคนละตัวข้างกันก่อนจะไกวมันเบาๆ 





    ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาวขึ้น เขาหันไปมองคนข้างกาย เจโน่นั่งห่อตัวจนเห็นเพียงผิวแก้มและดวงตาโผล่พ้นฮู้ดของแจ็กเก็ตที่สวมอยู่





    "ขอลองสูบบุหรี่บ้างสิ"



    "มันไม่ดี จะสูบทำไม" มือที่กำลังจะหยิบบุหรี่อีกมวนชะงักค้าง



    "ถ้ามันไม่ดีแล้วแจมินสูบทำไม" เคยคิดว่าจะโดนคำถามแบบนี้ มีคำตอบไว้ให้ในใจอยู่แล้วด้วย เพียงแต่พอคนๆ นั้นเป็นอีเจโน่ คำตอบที่คิดไว้คงต้องพับเก็บไปก่อน



    "นั่นสิ ทำไมกัน" จึงเลือกตอบคำถามด้วยคำถามแทน



    "งั้นเลิกไหมล่ะ" เขาส่ายหน้าแทนคำตอบ



    "ไว้ก่อนแล้วกัน ให้เป็นเรื่องของอนาคต"



    "อยากตายไวหรือไง" แจมินหัวเราะกับคำถามนั้น ยกมือบีบจมูกแดงนั่นเบาๆ



    "ถ้าฉันตายนายจะเหงา"



    "ก็ใช่ไง ถึงบอกว่าให้เลิก" แววตาที่ดูจริงจังผิดคาดทำเอาเขาไม่กล้าให้คำสัญญาเพราะยังไม่รู้ว่าจะทำได้จริงหรือไม่



    "จะเก็บไว้พิจารณา" 






    "รู้สึกดีขึ้นหรือยัง" เขาเอ่ยถามอีกครั้งหลังเวลาผ่านไปสักพัก



    "อื้อ" 



    "หายเมายัง"



    "อื้อ หายแล้ว" คงเพราะได้สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไป ไม่ใช่อยู่ในห้องอุดอู้



    "..."



    "แจมิน"



    "ว่า"



    "ขอบคุณนะ"



    "เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหม"



    "ห๊ะ" เจโน่เสียงหลง หันมองคนข้างกายขวับ แจมินหัวเราะ ยกมือขึ้นบีบแก้มนิ่ม




    เผลอปล่อยความคิดในหัวตัวเองออกมาโลดแล่นโดยลืมไปว่ามันมืดแล้วก็เงียบมากจนพูดเบาๆ ก็ได้ยิน  จึงเลือกที่จะเงียบ บุหรี่ตัวที่สองถูกเกล็ดออกจากซอง เพื่อหวังให้อารมณ์ผ่อนคลายลง




    พอเห็นอาการของเจโน่ที่มีต่อพี่แจฮยอนแล้วบอกตามตรงเหมือนมีไฟมาสุมที่อก มันไม่เหมือนกับการฟังเรื่องเล่าจากคนอื่น พอได้มาเห็นปฏิกิริยาอีกฝ่ายจริงๆ ทั้งแค่ชื่อนั้นหลุดออกจากปากเหรินจวิ้น ทั้งเรื่องคืนนั้นที่เพียงคิดถึงกลับร้องไห้ออกมา ไหนเลยจะตอนเจอพี่แจฮยอนวันนี้ เขาพยายามบอกตัวเองให้ใจเย็นเหมือนทุกทีแต่ก็ดูจะเก็บอาการไม่ได้สักที




    "ช่วงนี้สูบเยอะกว่าปกตินะ" ขนาดเจโน่ยังสังเกตเห็น



    "ไม่มั้ง" เขาเฉไฉ หากแต่ตอนกำลังจะจุดไฟ ไลท์เตอร์ในมือกลับโดนแย่งไป





    "เดี๋ยวจุดให้"




    อีเจโน่หันมาเผชิญหน้ากับเขาเท่าที่โซ่ชิงช้าจะเอื้ออำนวย มือขาวถือไลท์เตอร์ซิปโป้อันโปรดของเขาไว้ ใช้นิ้วโป้งในการเปิดฝา เลื่อนหมุนไกก่อนไฟจะถูกจุดติด ดวงไฟเล็กๆ สว่างขึ้นในมือพร้อมกับคนตรงหน้าที่โน้มตัวเข้าใกล้เขามากขึ้น 



    สายตาของนาแจมินไม่สามารถจดจ่ออยู่ที่ไลท์เตอร์ในมือขาวอีกต่อไป หากแต่จ้องมองไปยังดวงตากลมโตที่เหมือนมีดวงดาวอยู่นับล้านตรงหน้าแทน เจ้าตัวดูจดจ่อกับการนำไฟแช็คเข้ามาเผามวนบุหรี่ที่เขาคาบไว้หมิ่นเหม่ จนเมื่อไฟลามติด เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ดวงตาของเราประสานกัน




    คำว่าเหมือนโลกหยุดหมุนเป็นอย่างไร นาแจมินเพิ่งจะเข้าใจมันในวันนี้




    เขาไม่สามารถละสายตาจากใบหน้าตรงหน้าได้ ผิวขาวละเอียด ดวงตากลมโตสีดำที่สะท้อนภาพของเขาอยู่ตรงหน้า ริมฝีปากอิ่มสีพีชกับจมูกโด่งเป็นสันที่ขับรูปหน้าให้ดูดียิ่งขึ้น... 



    ใบหน้าที่พระเจ้าบรรจงปั้นแต่ง เติบโตมาอย่างงดงามได้ถึงเพียงนี้




    ยกมือข้างหนึ่งขึ้นจับกุมมือขาวของอีกฝ่ายที่ถือไลท์เตอร์เอาไว้พลางสะบัดข้อมือเล็กน้อยให้ดวงไฟนั้นดับลง มืออีกข้างที่ว่างคีบบุหรี่ออกจากริมฝีปาก ช่วงเวลาเดียวกันกับใบหน้าของเขาที่ค่อยๆ โน้มเข้าใกล้จนสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากลมหายใจผะแผ่วบริเวณผิวหน้า เจโน่ไม่ได้ถอยหน้าหรือเขยิบตัวหนีไปไหน ยังคงนั่งค้างอยู่แบบนั้น



    จนสุดท้ายริมฝีปากของเขากดทับลงบนริมฝีปากของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ไร้ซึ่งการลุกล้ำใดๆ เพียงแค่แตะไว้ก่อนจะผละออก





    "นี่หรอที่บอกอยากได้แทนคำขอบคุณ" เขารับไลท์เตอร์ที่อีกฝ่ายยื่นให้มาเก็บใส่กระเป๋า ยกมวนบุหรี่ขึ้นสูบเต็มปอด



    "ไม่อะ อันนี้สิ่งที่อยากทำ" จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนพาตัวเองมาอยู่ในจุดที่ถ้าไม่ใช่ตอนนี้แล้วจะเป็นตอนไหน



    "จูบเนี่ยนะ"



    "อือ" ไม่รู้ตาฝาดหรือเปล่าแต่เหมือนเห็นริ้วแดงจางๆ พาดบนแก้มขาว



    "แล้วสิ่งที่อยากได้คืออะไร"



    "แน่ใจหรอว่าอยากฟัง" เขาแค่ถามไปแบบนั้น ในใจก็รู้คำตอบอยู่แล้ว เพียงแต่อยากประวิงเวลาออกไปอีกสักนิด ถ้าพูดไปแล้วต้องเสียอีเจโน่ไปตลอดกาล ก็ขอเวลาทำใจอีกสักหน่อย



    "อื้อ แน่ใจ"






    "แจมินชอบเจโน่"





     
    "ไม่ตลกใช่ไหมอันนี้" แจมินส่ายหน้าแทนคำตอบ เจโน่เหมือนจะตกใจหากแต่เพียงชั่วครู่ก็กลับมาเป็นปกติ



    "ไม่เลยสักนิด ลองถามดงฮยอกหรือเหรินจวิ้นดูก็ได้ แม้แต่มาร์คก็น่าจะดูออก" เขาตอบรับ เหมือนใจเย็นแต่ก็แอบสั่นเล็กๆ ขอบคุณนิโคตินในมือที่ช่วยให้คงสติได้ขนาดนี้



    "เห... ไม่จริงน่ะ"



    "จริงๆ ก็มีแต่นายที่ดูไม่ออก" เขาหัวเราะเล็กน้อย ทิ้งบุหรี่ในมือลงพื้นก่อนใช้เท้าขยี้ไฟให้ดับอีกครั้ง มองหน้าเจโน่ที่ยังปั้นหน้าไม่ถูก




    "แค่รับฟังไว้และยังอยู่ตรงนี้ด้วยกันก็เหนือความคาดหมายมากแล้ว" ไม่ใช่คำกล่าวเกินจริงแต่อย่างใด แค่ตอนนี้อีเจโน่ยังนั่งคุยอยู่ด้วยหลังจูบกับการสารภาพความในใจก็มากเกินพอ




    "...."




    "ไม่ต้องตัดสินใจหรือตอบรับอะไรตอนนี้ ฉันให้เวลานายได้เต็มที่" นานตราบเท่าที่เราจะยังอยู่ด้วยกัน




    "..."




    "ถ้าสุดท้ายนายอยากให้เราเป็นเพื่อนกัน ฉันก็จะเป็น" แม้นาแจมินจะไม่รู้ว่ามันต้องใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าเป็นความประสงค์ของอีเจโน่ เขายินดีจะทำ





    "สุดท้ายแล้วนายอาจจะไม่อยากฟังมันก็ได้





    แต่ก็ขอบคุณนะสำหรับความรู้สึกดีๆ"





    เขายิ้มกว้างเมื่อเห็นเจโน่ยิ้ม ยกมือขึ้นลูบผมสีดำใต้ฮู้ดแผ่วเบาไปมา แค่ไม่ปฏิเสธกันตอนนี้ก็ดีมากแค่ไหนแล้ว เขายอมรับคำขอบคุณได้ทั้งชีวิตนั่นแหละถ้ายังยอมอยู่ด้วยกันแบบนี้




    "กลับเข้าไปในงานกันเถอะ วงดนตรีน่าจะใกล้ขึ้นแล้ว" เขาเอ่ยชวน ลุกขึ้นก่อนจะยื่นมือไว้กลางอากาศเหมือนที่เจโน่ชอบทำเวลาไปปลุกเขาบนดาดฟ้า 



    "อื้อ" คนฟังยิ้มกว้างตอบรับก่อนจะเอามือมาจับประสานกันไว้







    "โอ๊ะ... หิมะตกล่ะ" 




    "เขาบอกกันว่าขอพรอะไรตอนเห็นหิมะแรกจะเป็นจริงนะ" นาแจมินหันไปจับฮู้ดที่อีกฝ่ายปัดลงเพราะจะดูหิมะขึ้นสวมทับให้เหมือนดังเดิมในขณะที่ยังก้าวเดินไปยังทางที่พวกเขาจากมาเมื่อชั่วโมงก่อน



    "ไม่เห็นเคยได้ยิน มีจริงหรอ" เจโน่ถามกลับ ดวงตากลมโตเป็นประกายวาววับ





    "อืม ปีนี้ขอให้นาแจมินมีอีเจโน่เป็นแฟน"





    "เขาบอกกันมานี่ใครบอก" คนถามซุกหน้าแทบจะหายไปในเสื้อโค้ตอยู่รอมร่อแต่ไม่วายถามอีก





    "นาแจมินบอกอีเจโน่อยู่ตอนนี้นี่ไง"





    "ไหนบอกไม่รีบ"



    "ว้า... ไม่สำเร็จ ท่าทางคำขอพรอะไรกับหิมะแรกไม่ส่งผล"




    "บ้าบอว่ะ"




    To Be Continue...
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
nomatterblue (@nomatterblue)
ไม่คิดว่าแจมินจะสารภาพความรู้สึกรวดเร็วขนาดนี้เลยค่ะ
ควรขอบคุณแจฮยอนดีมั้ยนะ XD
ลองคิดว่าอยู่ด้วยกันมาเป็นปีๆ ได้มองเค้าเกือบทุกวัน
ความรู้สึกที่มันสุมอยู่ในอกจะมากมายแค่ไหนนะ เก่งมากแจมิน
ชอบตอนที่แจมินดึงความสนใจของเจโน่จากแจฮยอนกับแฟนสาวค่ะ
นายนี่มันคนเท่จริงๆ ขอบคุณที่ดูแลเจโน่อย่างดี
สารภาพความรักในวันหิมะแรกแล้ว ก็ขอให้สมหวัง ปีนี้ได้เป็นแฟนอีเจโน่นะคะนาแจมิน
จะรอตอนต่อไปค่ะ เอาใจช่วยนะคะ <3<3<3