"Call me by your name and I will call you by mine.."
Movie: Call Me By Your Name (2017)
Director: Luca Guadagnino
Writers: James Ivory (screenplay), André Aciman (novel)
Cinematography: Sayombhu Mukdeeprom
Stars: Armie Hammer, Timothée Chalamet
**ข้อความหลังจากนี้จะเป็นการเล่าความรู้สึกทั้งหมด ไม่ขอเรียกว่ารีวิวเพราะแค่อยากระบายความรู้สึกอัดอึดหลังจากการดูหนังไป2รอบออกมา และเปรียบเทียบกับนิยายฉบับแปลไทยที่อ่านไปแล้ว พยายามใช้ความรู้เรื่องการวิเคราะห์บ้างจากการเรียนวิชาวรรณกรรมและการอ่านเชิงวิเคราะห์ซึ่งเหลืออยู่น้อยนิด55555 เอาเป็นว่ามันจะยาวมากๆและมีภาษาอังกฤษปนภาษาไทยและหยาบคายบ้าง เพราะนึกอะไรออกก็พิมพ์อันนั้น แถมอินเนอร์มาเต็ม55555?**
หลายคนเห็นแล้วก็คงเดากันได้ว่าเป็นหนังเกี่ยวกับอะไร แน่นอนว่าตัวละครหลักเป็นผู้ชาย2คนคือ Elio เจ้าเด็กอิตาเลี่ยนอายุ17 และ Oliver พ่อหนุ่มอเมริกันอายุ 24 ซึ่งตกหลุมรักกันจากความใกล้ชิดสนิทสนม อันที่จริงแล้วถ้าดูแบบไม่คิดอะไรมากมันก็หนังรักทั่วไปนั้นแหละ Plot เรื่องมันเรียบง่ายมากและพบเห็นได้ทั่วไปไม่ได้เว่อร์วังอะไรเลย เนื้อหาก็ว่าด้วยปัจจัยเรื่องเพศที่เป็นตัวเหนี่ยวรั้งความรักของคนสองคนเอาไว้ แต่ไร้ซึ่งการต่อสู้กับสังคมอย่างสิ้นเชิง ซึ่งสังคมที่ว่านั้นก็คือประเทศอิตาลี นำไปสู่ setting ของหนังคือช่วงฤดูร้อนทางตอนเหนือของอิตาลี ในปีค.ศ. 1983 ความอบอุ่นของไอแดดนำพาให้เราตกไปอยู่ในวังวนของความรักที่มันร้อนแรงเสียยิ่งกว่าอากาศ ภาพ ศิลปะ บทเพลง ความงามของบ้านเมือง โทนสีของหนังที่ถ่ายโดยช่างภาพชาวไทย คุณสยมภู การถ่ายด้วยกล้องฟิล์มเพียงตัวเดียวนั้นก็ทำให้เราได้เห็นภาพสวยๆที่โคตรได้กลิ่นอายของอิตาลีในยุคนั้น ส่วนตัวประทับใจมุมกล้องมากๆ การถ่ายภาพเหมือนมันต่อเนื่องแบบถ่าย long take คือถ่ายฉากไหนกล้องก็อยู่ที่เดิมหรือเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆแล้วปล่อยให้ตัวละครเล่นไป มันทำให้ความรู้สึกของตัวละครไม่สะดุดและมีอารมณ์ต่อเนื่องจนทำให้คนดูอินตาม ครั้งแรกที่ดูคือขัดใจเรื่องการตัดต่อมากๆ เพราะว่าสลับฉากไวจนตามอารมณ์ไม่ทัน ร้อง'เอ้า'อยู่ในใจไปหลายรอบจนแบบหงุดหงิดและอินไม่สุด และบางฉากก็รู้สึกว่า'ทำไมไม่ใส่เพลงวะ กูจะอินอยู่แล้วเนี้ย' เหมือนจะอยากไปตัดต่อเองอ่ะ5555 แต่พอวันนี้ได้ดูรอบสองอยู่ดีๆสมองก็ถึงบางอ้อ 'โอโห้ นี่เล่นกับอารมณ์กูนี่หว่า เหี้ย โคตรล้ำ' คิดได้ว่าเออ การตัดฉากแบบนี้นี่แหละที่ทำให้อารมณ์เราสับสนเหมือนกับตัวElio ความรู้สึกมันหน่วง มันแบบจะรู้สึกดีก็ดีไม่สุด จะเศร้าก็เศร้าไม่สุด ความรู้สึกแม่งสับสนปนเปตั้งแต่ตอนต้นจนถึงตอนเกือบท้าย แต่พอมาถึงฉากสุดท้ายปุ๊บ การ hold scene เพียงแค่ซีนเดียวนั้นก็ทำให้เจ็บปวดจนแทบบ้า เหมือนที่ผ่านมามันเป็นการหลอกล่อเราให้ติดอยู่ในภวังค์ความหอมหวาน ความสับสน ความเด็กน้อยไม่รู้จักโต จนวันนึงพอเราโตแล้วเราก็รู้จักความเจ็บปวด เข้าใจลึกซึ้งว่าสิ่งที่เรารู้สึกมาทั้งหมดมันมีผลกระทบกับความรู้สึกเรามากแค่ไหน มันโหว่งไปหมด ดูฉากสุดท้ายแล้วภาพทุกภาพตั้งแต่ฉากแรกมันวิ่งเข้ามาในหัวเราอัตโนมัติทั้งที่ในซีนนั้นไม่ได้พูดถึง ไม่ได้ทำภาพให้เราเห็นอะไรเลย มันกลายเป็นเราเองที่มานั่งคิดถึงมันจนทนไม่ได้ ดูจบแล้วก็อยากกลับไปดูใหม่ซ้ำๆ เพราะรู้สึกไม่เต็มอิ่ม ก็อย่างว่า ความรักแม่งเป็นสิ่งที่กินเท่าไหร่ก็ไม่มีวันอิ่มหรอก เพราะมันกินไม่ได้ไง มันทำได้แค่รู้สึก และมีแค่เราที่รู้สึก 'You make me stuck in the memories alone' ดูจบแล้วก็คิดประโยคนี้กับตัวเอง ชีวิตคนๆนึงเขายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่เรากลับติดอยู่ในความทรงจำที่สร้างขึ้นมาด้วยกันอย่างเดียวดาย เพียงเพราะเขาเป็นรักแรกของเรา และมันอาจจะเป็นรักสุดท้ายด้วยซ้ำและเรายังคงออกจากความทรงจำไม่ได้ สำหรับบางคนเขาก็ผ่านมาเพื่อให้เราจดจำ ตลอดไป...
ประโยคที่ชอบมากที่สุดในหนังคือที่Elioพูดว่า "You know I’m not going anywhere" มันแบบเรียบง่ายมากๆ คำพูดเบาบางเหลือเกิน แต่มันคือทั้งหมดที่อยากจะบอกจริงๆ ทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่าอีกคนจะใส่ใจฟังหรือเปล่าด้วยซ้ำ แต่ขอแค่ได้บอกก็พอ
คุณเองก็รู้อยู่แล้วว่าเราไม่ไปไหน...
ในส่วนของการเล่าเรื่อง อันนี้หลังจากที่อ่านนิยายฉบับแปลไทยแล้ว(ซึ่งกระแสดราม่ามาตั้งแต่ตัวอย่างออก แต่นี่สวนกระแสจ้า ฉันชอบภาษาแปลและฉันก็ร้องไห้กับมันด้วย5555) ด้วยความที่นิยาย point of view จะเป็นแบบ first person ก็คือบรรยายผ่านตัวElioทุกอย่าง มีความเป็น Narrative สูงมาก แน่อยู่แล้วเพราะเป็นภาษาเขียน มันทำให้เราจินตนาการอะไรก็ได้ บางอย่างหนังก็ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ แต่ก็ยังคงทำได้ดีในระดับที่เป็นหนังอ่ะ ซึ่งหลายอย่างผู้ชมก็ถูกจำกัดเอาไว้อยู่แล้ว และมันก็สามารถเติมเต็มจินตนาการเราให้สมบูรณ์ได้หลายอย่างเลย และความอ่านนิยายไปก่อนดูหนังก็ทำให้รู้ฉากสำคัญทั้งหมด จนตอนแรกก็เสียดายและคิดว่า'เหี้ยละกู แบบนี้จะไปอินอะไรได้วะ' แต่เออ มันอินหวะ อินชิบหายเลยด้วย ไม่ผิดหวังเลย หลายอย่างที่จินตนาการไว้ตัวหนังก็ทำได้ดีกว่าในจินตนาการเราอีก ประทับใจโคตร จะเริ่มอ่านเวอร์อิ้งใหม่ละ
มาดูที่นักแสดงบ้าง อย่างแรกคือเคมีของ Timmy กับ Armie พ่อคุณแม่คุณเอ้ยยย อะไรมันจะเข้ากันขนาดนี้วะ ทิมมี่คือหน้าตาเหมือนรูปปั้นกรีก โคตรได้ นับถือใจลูก้าตอนเลือกมากๆ เห็นว่าไม่ได้แคสติ้งแต่มานั่งคุยกันแล้วเลือกเลย ลุงลูก้าแกโคตรคูล55555 อาร์มี่นี่ก็แบบโว้ยๆๆๆ แก่แล้วยังจะแซ่บอยู่อีก เลิฟซีนคือแบบอือออ บ้าไปแล้ว ขนลุกแล้วค้าาาา ยัยน้องทิมน่ารักมาก น่ารักมากๆ ถ้านี่เป็นอาร์มี่ก็คือจะไม่ทน จะชวนซ้อมบท make out บ่อยๆ 555555 เออเวลานึกถึงฉากกุ๊กกิ๊กทีไรก็จั๊กจี้หัวใจชิบหาย แบบโอ๊ย อยากมีแฟนมันเดี๋ยวนี้เลย หวานโคตร เหม็นความรักอ่ะ ขอเคารพการแสดงของทิมมี่มากๆ ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมได้รางวัลเยอะจัง ตอนแรกก็คิดว่าเอ๊ะ รางวัลหลายอันไปมั้ย ขนาดนั้นเลย พอได้เห็นด้วยตาตัวเองและวันนี้ที่ตั้งใจดู performance ของนักแสดงจริงๆก็เออหวะ รู้สึกว่านี่แหละคือ Elio และ Oliver อย่างที่บอกว่าหนังสือเล่าผ่านเอลิโอ ตัวหนังเองก็ดูจะไม่ต่าง หลายๆอย่างเรารับรู้ผ่านมุมของเอลิโอ มีไม่กี่ฉากที่เราจะเห็นสีหน้าของโอลิเวอร์ ซึ่งมันไม่ใช่ว่าไม่เท่าเทียม เพราะถึงเราจะไม่รับรู้ว่าโอลิเวอร์รู้สึกยังไงแต่เราก็รู้ว่าเพราะโอลิเวอร์นั้นแหละที่สร้างความเป็นเอลิโอแบบนี้ขึ้นมา ส่วนตัวชื่นชมการใช้ Body language ของทิมมี่มากๆ เพียงแค่เราเห็นการกระทำและสีหน้าก็เหมือนเรารู้สึกกับตัวละครไปด้วย แบบรู้ว่าสับสน รู้ว่าต้องการ รู้ว่ารัก รู้ว่าอ่อนไหว รู้สึกทุกอย่างตามที่เอลิโอรู้สึก เหมือนเอลิโอคือเราเลยก็ว่าได้ หรือเราคือเอลิโอก็คงไม่ต่าง สุดท้ายคือเรารู้สึกไปด้วยแล้ว และทิมมี่ก็สามารถเป็นเอลิโอในแบบที่คนทั่วไปมองเห็นได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นการดูหนังที่ทำให้เรื่องราวในวัยเด็กของตัวเองสะท้อนกลับมาเหมือนกันนะ เห็นเขาเรียกกันว่าเป็นหนังแนว comimg of age ซึ่งปกติก็ไม่ได้สนใจอะไรเลย จนดูแล้วก็คิดตามว่าเอองั้น concept ของหนังแนวนี้ก็น่าจะเป็นความเป็นวัยรุ่น วัยแห่งการเรียนรู้สิ่งต่างๆที่เข้ามา เน้นไปที่ความรักที่เราไม่เคยรู้จักมันมาก่อน ความรู้สึกที่สับสนไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำตัวแบบไหนและทำตามที่ตัวเองต้องการได้รึเปล่า ชีวิตเราต้องเติบโตไม่วันใดก็วันนึงเราจะค่อยๆเข้าใจทุกอย่าง หลายอย่างก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน แต่บางความทรงจำก็ยังคงไม่หายไปไหน ทุกครั้งที่เรานึกถึงมันก็ยังอยู่กับเรา โตไปตามช่วงอายุของเราไปเรื่อยๆ จืดจางลงบ้างแต่ไม่เลือนหาย ตอนดูในโรงไม่ค่อยแย่เท่าไหร่ พอใช้เวลาสักพักให้ความคิดได้ตกตะกอนแล้วก็เกิด after shocked ฟังเพลงแล้วน้ำตาไหลออกมาเอง หรือคิดถึงฉากหวานๆแล้วก็ยิ้มเป็นบ้า อาการหนักจนต้องดูรอบสองนี่แหละ? ความรู้สึกตอนนี้ก็ยังติดอยู่ในห้วงเวลาของหนังไม่จบไม่สิ้น คงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะกลับสภาพเดิม และก็ถ้าใครไม่มีเวลาไปดูก็ซื้อหนังสือมาอ่านกันแทนได้ แต่จริงๆมันก็จะได้รสชาติคนละอย่างกันอ่ะ ก็อยากจะให้ได้ลองทั้งคู่เลย แหะๆ และก็ประโยคที่เราชอบมากที่สุดในหนังสือคือ "Everyone has their own Oliver" และมันก็น่าจะจริงสำหรับคนที่เคยมีความรักครั้งแรกละนะ?
1st score: 9/10
2nd score: 9.5/10
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in