สัปดาห์แรกที่แสนยาวนานผ่านไปแล้ว และเรารอดชีวิตมาได้ (ปรบมือ)
ย้อนกลับไปถึงวันแรกของการทำงาน วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม เราเดินทางมาถึง Denla British School ในเวลา 07:30 น. ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่เขานัดไว้ 30 นาที วันนั้นคุณพ่อ คุณแม่ และพี่ชาย มาส่งเรากันครบถึงโรงเรียน ดูตื่นเต้นกันมากกับการทำงานวันแรกของลูกสาว 555555555 ตัวเราก็ตื่นเต้นพอกัน นั่งทำใจอยู่บนรถเกือบ 20 นาที วินาทีที่ก้าวขาลงจากรถก็สัมผัสได้เลยว่าตัวเองกำลังสั่น หันกลับไปขอกำลังใจจากในรถอีกรอบ ก็ได้บทเรียนสอนชีวิตมา
อะไรที่เป็นครั้งแรก ก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่จะตื่นเต้น ไม่ต้องกลัว เราทำได้แน่นอน…
เราก็ ฮึบ ๆ ! จริง ตัวเรานี้เก่งที่สุดในโลกแล้ว เรียกความมั่นใจให้ตัวเองเสร็จก็มุ่งหน้าเข้าตึก
เข้าไปถึง reception แจ้งว่าเป็นนิสิตฝึกงาน พี่ ๆ ก็พาเราไปนั่งห้องรับรอง บอกให้รอ Mr. Orton ออกมารับ ระหว่างที่นั่งรอก็มีพี่ ๆ แผนกอื่นมาแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับโรงเรียนและให้บัตร Staff มา เราก็ไม่รอช้า ถ่ายรูปคู่บัตร Staff ส่งเข้าไลน์กรุ๊ปครอบครัวทันที
รอจนถึง 08:30 น. ก็ได้เจอ Mr. Orton ดูใจดีเหมือนที่เห็นใน Zoom เราก็ ‘โอ้… สบายแล้ว’ จนมาถึงตอนที่เขาส่งมอบตารางทำงานให้เรา…
ตาราง-แน่น-มากกกกกกกกกก
เราตกใจมาก ตารางสอนของเรามีเต็มวัน ทั้ง 5 วัน และ ‘หลายวิชา’ ตั้งแต่ Maths, Geography, English, Science, และ History (ขยี้ตา) ซึ่ง Year ที่สอนก็มีตั้งแต่ Year 3 - Year 8 (ขยี้ตาอีกรอบ) เด็กโตตตตตตตตตต!!
สิ่งที่เราคาดหวังไว้ตอนแรกคือเป็นผู้ช่วยครูสอนศิลปะเด็กเล็ก เพราะที่ผ่านมารุ่นพี่ไปฝึกโรงเรียนไหนก็ได้ตำแหน่งนี้กันหมด และคิดว่าเขาก็คงไม่ไว้ใจให้เด็กฝึกงานสอนเยอะกว่านั้นอยู่แล้ว สรุป… เราเป็น case แรกเหรอเนี่ย 😭
สิ่งที่เขาถามเราบ่อยมากคือ What do you think? และ Does that sound good to you? ซึ่งเราจะตอบอะไรกลับไปได้นอกจาก Yes, Awesome! Haha… (ยิ้มแห้งสุด ๆ) ณ จุดนั้นเราได้แต่คิดในใจว่า ‘ตายตาย ตาย ตายแน่ ๆ’ เป็นวิชาที่เราไม่ถนัดไปแล้วครึ่ง แถมสอนเด็กโตอีก ไอตัวเราถึงจะเรียนมหา’ลัยแล้วแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่พอที่จะไปสอนเด็กตัวเท่าคางได้เลย… แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธอะไรเขาเพราะเป็นคนพูดไปเองใน Zoom ว่า Anything will do ภัยความมั่นสุด ๆ ไม่คิดว่าเขาจะให้เราทำAnything จริง ๆ มาถึงจุดนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ลองทำเท่าที่จะทำให้ก่อนแล้วกัน ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็คงต้องบอกเขา
หลังจากแยกกับ Mr. Orton แล้ว ‘พี่ป้อม’ พี่เลี้ยงที่จะมาดูแลเราช่วงฝึกงานก็มารับเราไปแนะนำสถานที่และคลาสต่าง ๆ ของ Year 3 - Year 5 ซึ่งเป็นฝั่งของเด็กเล็ก เด็ก ๆ ที่เห็นเราเดินเข้าไปก็ (O_O)(O_O)(O_O)!!?!? ตกใจ ๆ ๆ ๆ ตาโต ๆ ๆ ๆ ถามใหญ่เลยว่า Who is that?! มองเราเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นเหมือนกันทุกคลาส วินาทีนั้นทำให้เราตระหนักได้อีกครั้งว่า เราเป็นคนแรกจริง ๆสินะ…
โชคยังเข้าข้างเราอยู่บ้าง เพราะสัปดาห์ที่เราเข้าไปทำงานเป็นสัปดาห์ที่เด็ก ๆ สอบพอดี ทำให้ในแต่ละวันเราไม่ต้องทำอะไรมาก มีเวลาปรับตัว แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้ง่าย สิ่งที่เราต้องทำคือการคุมสอบในแต่ละคลาสจะมีนักเรียนไทยกลุ่มเล็ก ๆ ที่เพิ่งย้ายเข้ามาไม่นาน ทำให้ยังไม่ค่อยคุ้นชิ้นกับการใช้ภาษาอังกฤษนัก หรือเด็กที่เข้าใจภาษาอังกฤษ แต่อ่อนวิชานั้น ๆ ซึ่งหน้าที่ของเราคือการพาเด็กกลุ่มนั้นออกมาสอบเป็นกลุ่มแยก คำสั่งที่ได้รับคือ Read the questions for them แต่ความหมายแฝงก็คือการให้คำใบ้เด็ก ๆ นั่นแหละ… ซึ่ง เราจะเอาอะไรไปใบ้เขาล่ะ ตัวเองยังทำไม่ได้เลย (ร้องไห้) โชคดีที่วันแรกกลุ่มเด็กที่เราดูแลมีปัญหาแค่เรื่องภาษา เราจึงแปลให้เขาได้อย่างไม่มีติดขัด เราลุ้นตลอดวันว่าจะมีใครขอให้เราอธิบายเนื้อหาให้ฟังหรือเปล่า แต่ก็ไม่มี (โล่ง) ตอนที่เราคุมสอบ เราคอยสังเกตว่าหัวข้อที่เด็ก ๆ กำลังทำในแต่ละวิชามีอะไรบ้าง จดใส่มือถือ ตั้งใจไว้ว่าเมื่อกลับบ้านแล้วจะไปทบทวนหัวข้อเหล่านั้นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับครั้งต่อไป เพื่อที่เวลาเด็ก ๆ ถาม เราจะได้ตอบได้อย่างมั่นใจ
ในช่วง 3 วันแรกเรากดดันมาก ขนาดที่ตอนเตรียมสอบเข้ามหา’ลัยเทียบไม่ติดเลย เราต้องทบทวนเนื้อหาของทุกวิชาที่เราเคยทิ้งไปแล้ว และแต่ละวิชาเด็ก ๆ ที่นี่เรียนกันทีละหลายหัวข้อแต่ไม่ได้ลงลึก ไม่เหมือนโรงเรียนไทยที่เรียนเทอมละ 1 - 2 หัวข้อต่อวิชาแต่ลงรายละเอียดลึก ทำให้เรามีสิ่งที่ต้องทบทวนเยอะมาก และทุกหัวข้อที่ว่าเราก็ต้องทำความเข้าใจในข้ามคืน เพราะวันถัดไปก็จะมีสอบวิชาเดียวกันของคลาสอื่น ๆ อีก เรานอนคืนละ 2 ชั่วโมง เครียดจนอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก เพราะถ้าร้องก็เสียเวลานอนอีก (ฮือ) ดีที่เราเลือกโรงเรียนใกล้บ้านทำให้พอมีเวลานอนอยู่ ถึงตื่น 06:30 น. ก็ยังไปถึงโรงเรียน 08:30 น.ซึ่งเป็นเวลาเริ่มงานของเราทัน และเลิกงานเวลา 15:10 น. ถึงจะใช้เวลาน้อยกว่าตอนเราเรียนในมหา’ลัย แต่พูดเลยว่าเหนื่อยกว่า 100 เท่า… เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่ เหนื่อยใจนี่สิ
กิจวัตรของเราดำเนินไปแบบนั้นทั้งสัปดาห์ ถ้าถามว่าแล้วจะสรุปความรู้สึกของการทำงานสัปดาห์แรกว่าอย่างไร เราคงต้องบอกว่า…
เราไม่เคยดีใจที่บนหน้าจอโทรศัพท์มีคำว่า Friday ขนาดนี้มาก่อน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in