สวัสดีทุกคนที่หลงเข้ามาอ่าน blog ของเราค่ะ ก่อนอื่นเลยน่าจะต้องแนะนำตัวก่อน เราชื่อน้ำ เป็นนิสิตปี 3 เอกวรรณกรรมสำหรับเด็กค่ะ
blog นี้เป็น blog ที่เราจะใช้บันทึกและแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตฝึกงานของเรา หวังว่าคนที่เข้ามาอ่านจะได้อะไรซักอย่างกลับไปค่ะ 555555
ต้องเกริ่นว่าถ้าพูดถึงการฝึกงาน ในตอนแรกเราอยากฝึกงานที่สำนักพิมพ์ค่ะ เป็นสิ่งที่ตั้งใจมาตั้งนานแล้วว่าอยากจะทำ เพราะเราอยากเป็นนักเขียน เลยรู้สึกว่าการเข้าไปทำงานในสำนักพิมพ์ในตำแหน่งอื่น ๆ ถึงแม้มันจะไม่ตรงกับความต้องการของเราโดยตรงแต่ก็น่าจะทำให้ได้ประสบการณ์และรู้ขั้นตอนการทำงานภายในสำนักพิมพ์มากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับเราแน่ ๆ ในอนาคต
แต่แต่ คิดไว้ขนาดนั้น สุดท้ายเราก็ไม่ได้เลือกสำนักพิมพ์อยู่ดี (ฮา) เพราะหลังจากไปปรึกษาคุณครูที่เคยทำงานในสำนักพิมพ์มาก่อน ก็ได้ความมาว่าตำแหน่งที่เด็กฝึกงานจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จะได้ทำในสำนักพิมพ์ก็ไม่พ้นพวกตำแหน่ง Content Creator หรือ Proofreader อยู่ดี ซึ่งมันไม่อยู่ใน domain ที่เราสนใจ ถึงตอนแรกจะมองว่าก็เป็นประสบการณ์ที่น่าเก็บเกี่ยว แต่พอลองมาคิดดูดี ๆ แล้ว ความสุขของเราก็มีค่าพอ ๆ กับประสบการณ์หรือเปล่านะ ถึงจะเข้าไปทำงานสำนักพิมพ์ แต่ถ้าไม่ใช่ตำแหน่งที่เรามองไว้ถึงจะมีประโยชน์แต่ก็ไม่สนุกแน่ ๆ ยิ่งเป็นตำแหน่งที่เรารู้ตัวอยู่แล้วว่าไม่ได้ชอบ ยิ่งไม่อยากทำเลย แถมถ้าจะยื่นเรื่องฝึกงานสำนักพิมพ์ยังต้องสร้างผลงานใหม่เพื่อเอาไปยื่นเขาอีก ทั้งลำบากทั้งไม่ชอบ งั้นเราจะคิดต่อไปทำไม โอเค ตัด choice นี้เลยแล้วกัน 55555555
แต่ปัญหาก็ตามมาอีก คือสำนักพิมพ์เป็นตัวเลือกเดียวของเรามาตั้งแต่แรก เราไม่เคยคิดเลยว่าเมื่อถึงเวลาแล้วเราจะตัดมันออก เราเลยคิดอยู่นานมาก นานนานนาน จนเวลาผ่านไปเป็นเดือน รู้ตัวอีกที อ้าวเหลือเดือนเดียวแล้ว!! ลนเลยทีนี้ ถ้าจะเป็นที่ ๆ เราต้องสร้างผลงานขึ้นมาใหม่เพื่อเอาไปยื่นก็คงไม่ทันแล้ว เพราะช่วงนั้นเราก็วุ่นวายกับสัมมนา เลยมานั่ง scope ว่างานอะไรนะที่เราพอมีความมั่นใจว่ายื่นแล้วโอกาสติดสูง ได้ประโยชน์จริง และเรา enjoy (อาจไม่ถึง enjoy แต่เราต้องไม่ลำบาก) คำตอบเดียวที่ได้คือ โรงเรียนนานาชาติ
ถ้าเป็นโรงเรียนนานาชาติ อย่างแรกเลยคือเราพอจะสื่อสารภาษาอังกฤษได้ certifications เราก็มี ตอนสอบวัดผลทางภาษาต่าง ๆ คะแนนก็โอเค ไม่น่าเกลียด ถ้าเอาไปยื่นเค้าน่าจะรับ (ฮา) ได้ทำงานกับเด็กโดยตรง ได้ฝึกภาษาไปในตัว และ facilities ดี ไม่ต้องห่วงเรื่องความเป็นอยู่ เราก็เลยนั่งหาว่ามีโรงเรียนไหนที่รับเด็กฝึกงานบ้าง แปลกใจมาก เพราะโทรไป 10 ที่ ทุกที่รับเด็กฝึกงานหมดเลย! เรานึกว่าจะหายากซะอีก กลายเป็นว่าเรามี choices เยอะมากกกกกก แต่สุดท้ายก็เลือก Denla British School (ต่อจากนี้จะเรียกว่า DBS) เพราะเรามีบ้านอยู่แถวนั้น เดินทางสะดวก ติด ๆ โรงเรียนมีห้างใหญ่ น่าจะไม่อดตาย และที่สำคัญเลย เราเลือกจาก operator เพราะตำแหน่งนี้เป็น front lines ที่สื่อได้ถึงอะไรหลาย ๆอย่างในองค์กร operator ของ DBS ทำให้เรารู้สึกว่าเราสามารถฝากชีวิตฝึกงานไว้กับเขาได้ (บางโรงเรียนเราตัดทิ้งเพราะ operator เลย เขาไม่ได้พูดแย่นะ แต่บางทีการที่เขาพูดไม่รู้เรื่อง ให้ข้อมูลงง ๆหรือน้ำเสียงที่ไม่ professional มันทำให้เรารู้ว่าการจัดการภายในของเขาไม่ใช่แบบที่เราอยากทำงานด้วย)
พอตัดสินใจได้เราก็โทรไปอีกรอบ ที่ตลกคือเขาจำเสียงเราได้ 5555555 ในขั้นตอนนี้ operator ที่คุยกับเราคือ Ms. Chawan (ขอบคุณ Ms. Chawan มาก ๆ ค่ะ ดูแลหนูดีตั้งแต่โทรไปครั้งแรกเลย) พอบอกว่าเราตัดสินใจจะยื่นฝึกงานแล้ว เขาก็ให้ส่ง resume เพื่อนำไปให้เบื้องบนคัดอีกที (แอบสั่นนิดหน่อย เพราะเป็นครั้งแรกที่ยื่น resume จริงจัง) ประทับใจอีกแล้ว เขาทำงานไวมาก!! เราส่งไป 2 วัน เขาก็ติดต่อกลับมาเลย ปรากฎว่า ผ่านค่า!! เย้เย้เย้ จำได้ว่าวันนั้นเรานอนอยู่แล้วโดนโทรปลุก ประมาณ 14:00 น. พอยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นชื่อ DBS แต่ตอนนั้นเราไม่ได้ตื่นตูมอะไรเพราะมันเพิ่งผ่านมาไม่กี่วัน ในหัวไม่ได้คิดเลยว่าเค้าจะโทรมาแจ้งผล คิดว่าเอกสารอะไรเราไม่ครบเลยอยากให้ส่งเพิ่มหรือเปล่า แต่พอได้ยินว่าเค้าบอกว่าเราผ่านปุ๊ป เราเด้งขึ้นจากเตียงเลย 5555555 ก็ขอบคุณเขาไป สรุปเราได้ตำแหน่งLearning Assistant ตามที่ต้องการ แต่หลังจากช่วงปลายมิถุนายนต้องย้ายไปทำ Admission Department เพราะเด็ก ๆ ปิดเทอม เราก็โอเค ไม่เกี่ยง
ช่วงก่อนถึงเวลาฝึกงานจริง มี email จาก Ms. Chawan ว่า Mr. Orton อยาก interview (Mr. Ortan เป็นhead ของส่วนที่เราจะไปทำ) เราก็ เอ้า!! ไหนว่ารับแล้ว 5555555555 ทำไมยังมี interview อีก (ร้องไห้) แต่เขาใจดีนะ ให้เรานัดทุกอย่างเองเลย เราก็เลยเลือกเป็น 5 วันข้างหน้า ขอเวลาทำใจก่อน (ฮึบ) พอถึงวันที่เรานัดไว้ Mr. Orton ก็ส่ง link zoom มาให้ ในหัวเราเตรียมบทไว้หลายอย่างเลย คิดไว้หมดว่าถ้าเค้าถามมาอย่างนี้เราจะตอบอย่างนี้ เราตื่นเต้นมาก เพราะนี่เป็นการ interview แบบจริงจังครั้งแรกในชีวิตเรา ตอนเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่มีสอบสัมภาษณ์เพราะเป็นปีที่ COVID-19 ค่อนข้างรุนแรง แต่กลายเป็นว่ามีปัญหาทางเทคนิคนิดหน่อยทำให้เราต้องเป็นฝ่ายเข้ามารอ Mr. Orton เอง รออยู่ 1-2 นาทีเขาก็กดตามเข้ามาและขอโทษที่ทำให้รอ เราก็ It’s okay ใจเริ่มชื้นเพราะเขาดูใจดีกว่าที่คิด เขาก็เกริ่น ๆ นู่นนี่แล้วก็บอกไม่ต้องตื่นเต้นนะ วันนี้แค่อยากมาคุย มาแนะนำตัวให้เรารู้จัก แล้วก็แจ้งว่าเราควรทำอะไรบ้างพอถึงวันทำงานจริง เท่านั้นแหละ เรา Ohhhhh is that so?? เหมือนหินที่ถ่วงในอกถูกยกออกไป55555555 ระหว่างที่อธิบายรายละเอียดต่าง ๆ เขาก็มีถามอะไรเราจุกจิกบ้าง เราก็ตอบไปแบบสบาย ๆบรรยากาศใน Zoom ไม่น่ากลัวเลย ใช้เวลาไม่นานเราก็ Bye bye! See you at DBS!
ที่ร้ายคือ หลังจากจบ Zoom นั้นไป 2 วัน มี email เข้ามาว่า คุณผ่านการสัมภาษณ์แล้ว!! 555555555 สรุปคือโดนหลอกกกกก จริง ๆ มันคือการสัมภาษณ์นั่นแหละ แต่เขาบอกว่าไม่ใช่ เพื่อให้เราตายใจ(ร้องไห้) ย้อนกลับไปแล้วอยากหยิกตัวเองมาก เพราะแต่ละคำถามเราตอบไปแบบสั้นมาก ชิลมากเหมือนคุยกับ neighboring uncle ถ้ารู้คงตอบอะไรให้ดูฉลาดกว่านั้น ถึงจะผ่านมาแล้วก็เถอะ
ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก แต่ก็ประทับใจมากเช่นกัน ตอนคุยกับ Mr. Orton เขาอธิบายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เราจะได้รับในช่วงฝึกงาน และบอกว่าหากเราต้องการอะไรเพิ่มเติมให้บอกเขาได้เลย เขาจะ provide ให้ เราเลยบอกว่าเขาใจดีจัง nice กับ student trainee มาก คำตอบของเขาคือ “ไม่เลย เราต่างหากที่รู้สึกขอบคุณในความช่วยเหลือของคุณ” ทุกการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของ DBS ทำให้เรารู้สึกว่าเราคิดถูกแล้วที่เลือกที่นี่เป็นที่ฝึกงาน และเราจะได้รับประสบการณ์ที่ดีจากที่นี่อย่างแน่นอน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in