เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
พร่องเออเนสซองส์
ณ ป่าแห่งนี้ไม่มีต้นสาระ
  • มองลงมาจากหน้าต่างชั้น 47 ของเอเจนซี่ยักษ์ใหญ่ รถไฟฟ้าที่เห็นเบื้องล่าง เล็กราวกับหนอนที่กำลังกินใบไม้ มองอีกทีก็ละม้ายรถไฟเด็กเล่นที่วิ่งรี่บนราง ที่พร้อมจะถูกปัดออกด้วยมือเด็กเจ้าอารมณ์ทุกเมื่อ ผมอดนึกขำในใจไม่ได้ ทุกอย่างที่เคยฝัน วันนี้มันมาไกลกว่าที่คิด


    ผมดื่มคาปูชิโนร้อนอย่างลวกๆ เพราะอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าต้องมีประชุมแผนก จริงๆตัวผมไม่ค่อยจะพร้อมคุยงานเท่าไหร่ ขอสารภาพอย่างไม่อายเลยว่า เมื่อคืนปาร์ตี้หนักไปหน่อย พักตาได้ไม่ถึงชั่วโมง

    ก็ต้องถ่อสังขารมาทำงาน จริงๆผมควรจะพร้อมกว่านี้ แต่ให้ทำไงได้ ดันมาใจแตกเอาตอนอายุสามสิบ


    ต่างจากสมัยวัยเยาว์ ที่เรียบร้อยราวผ้าที่รีดเนี้ยบแล้วพับไว้มุมชนมุม ตอนนั้นผมอาศัยอยู่บ้านพักข้าราชการในต่างจังหวัด ความที่พ่อเป็นครู ทำให้ผมถูกเลี้ยงมาอย่างค่อนข้างมีระเบียบวินัย ตื่นนอนตั้งแต่ตีห้า อาบน้ำแต่งตัวเสร็จตอนหกโมงเช้า แล้วก็ปั่นจักรยานออกมาจอดไว้หน้าประตูวิทยาลัยที่พ่อสอน ก่อนกระโดดขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียน ทำอย่างนี้ทุกวันเป็นกิจวัตร เรียนเสร็จก็กลับถึงบ้านหกโมงเย็น อาบน้ำทานข้าว จากนั้นก็ทำการบ้านและอ่านหนังสือ ไปจนถึงสามทุ่มจึงเข้านอน ไม่มีนอกลู่นอกทาง ก็คล้ายๆกับรถไฟที่แล่นอยู่บนราง เพียงแต่มันเป็นรางที่ผมไม่ได้สร้างเอง


    วันที่ผมริอ่านจะสร้างรางรถไฟเอง ด้วยการเปิดปากบอกพ่อถึงความต้องการที่แท้จริงในใจว่า

    "ผมจะไม่เรียนวิศวะ ผมจะเรียนนิเทศ" พ่อไม่ว่าอะไร และพ่อก็ปิดปากไม่พูดอะไรอีกเลยนับจากวันนั้น ไม่ว่าผมจะกลับบ้านระหว่างปิดเทอมอีกสักกี่ครั้ง บ้านทั้งหลังก็ร้างเสียงของเรา

    ความเงียบคือการลงโทษขั้นสูงสุด


    คล้อยหลังไปสิบปี จนมีใบปริญญามาอวดพ่อ ได้เงินดีงานเด่น ตำแหน่งใหญ่โต จนซื้อบ้านหลังแรกให้พ่อได้ นับเป็นสิ่งยืนยันให้พ่อหันมามองผมอีกครั้ง และเห็นว่าผมยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้ และยืนได้อย่างดีเสียด้วย


    แต่ใช่ว่าใครจะล้มไม่เป็น เหมือนต้นไม้ถ้ารากไม่แข็งแรงพอ ก็ยากที่จะต้านทานพายุใหญ่ได้

  • ด้วยความเครียดจากการวิ่งแสวงหาความสำเร็จในแบบที่สังคมชื่นชม ด้วยแรงกดดันที่ต้องพิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าผมก็ทำได้ ด้วยความคึกคะนองในวัยหนุ่ม ด้วยตัณหาส่วนตัว ด้วยความสารเลวที่ซุ่มซ่อนอยู่ในใจ หรือด้วยอะไรก็แล้วแต่ ถูกดึงมาเป็นแพะในการก้าวสู่ความวิปโยคครั้งนั้น


    ด้วยรถไฟขบวนที่แล่นไวที่สุด ไวยิ่งกว่าฟ้าผ่า เร็วเท่าใจนึก คือรถไฟที่มีสถานีเริ่มต้นตรงใจที่บ้า กับสติที่บิ่น จะไปไหนล่ะ อินเดีย เนปาล ยอดเขาหิมาลัย หรือที่ใดๆในโลกก็ไปได้ไม่เกี่ยง แค่เปิดใจยอมรับสิ่งแปลกปลอมเข้าโพรงจมูก แค่หนึ่งลมหายใจ ชั่วหลับตา รถไฟก็มุดอุโมงค์ โผล่ไปถึงที่หมาย โดยไม่รู้สึกตัว หมอกควันคละคลุม ผู้คนคราคร่ำ จนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร อะไรเป็นอะไร ที่ไหนเป็นที่ไหน ผมมีชีวิตอยู่เหนือสถานที่และกาลเวลา เสียงกลองตีระทึก เสียงเบสทุ้มถึงใจ เสียงตะโพนอึงอื้อ เสียงผู้คนครางครือ หรือนี่คือสวรรค์ แน่หรือ...


    พลันหมอกควันเจือจาง ภาพฝันสลายหาย คลี่คลายให้เห็นความจริง ที่ฟ้องเฟะอยู่เบื้องหน้า ขวดของมึนเมา อุปกรณ์เสพสิ่ง และผู้คนกองก่าย ราวกับภูเขาป่าช้า พาใจดิ่งลงสู่ก้นเหว หัวตึ้บๆพร้อมกับมีก้อนอะไรมาจุกที่อก หายใจอึดอัดและคลื่นเหียนอย่างแรง ผมอาเจียนออกมามากมาย หมายจะให้สิ่งที่ย้อมใจรับเข้าไป ผ่อนถ่ายออกมาทุกหยาดหยด รู้สึกรังเกียจสิ่งที่ทำลงไป รู้สึกขยะแขยงตัวเองขึ้นมาในบัดดล


    "ที่นี่วุ่นวาย ที่นี่ขัดข้องหนอ" ผมรำพึงอย่างผ่ายแผ่วในใจ เข้าใจท่านยสกุลบุตรก่อนออกบวชไม่ผิดเพี้ยน ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกมา ทิ้งซากสิ่งต่างๆเอาไว้เพียงเบื้องหลัง ถึงจะนึกเสียดาย แต่กลับไม่นึกเสียใจ


    ป่าคือที่พึ่งที่ผมนึกได้ ผมหลีกเร้น ปลดปลงกระพี้ทั้งหลายแหล่ออกหมด แล้วหลอมรวมกลืนกลมกับธรรมชาติจนถึงแก่น สดับฟังเสียงสกุณา พงไพร และหัวใจตัวเอง


    บางคนใช้ทั้งชีวิตเพื่อสร้างสมความดี แต่ให้เวลาเพียงไม่กี่นาทีทำลายทุกอย่างหมดสิ้น เขียนด้วยมือแต่ลบด้วยเท้า ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ บาดแผลถึงจะไม่ใหญ่มาก แต่มันก็ใหญ่พอ ที่จะทิ้งรอยแผลเป็นให้เห็นต่างหน้า ไม่ว่านานเพียงใดก็ไม่อาจลืม คล้ายๆรอยเท้าที่ย่ำไปบนผืนทราย ที่น้ำทะเลสาดซัดเข้าไปไม่ถึง

  • ในป่ามืดมิด ดวงจันทร์กลมโต ซ่อนตัวหายลับหลังหมู่เมฆ ไร้แสงดาวนำทาง เหมือนคนเดินหลงป่า หาทางกลับบ้านไม่เจอ

    "มาทางนี้สิ่" เสียงแว่วเบาๆเป็นเสียงของป่า 

    "ทางออกอยู่ตรงนี้" หรือเสียงในหัวผมเองก็ไม่แน่ใจ

    รู้ตัวอีกที ก็มาหยุดยืนใต้ต้นไม้ใหญ่ ไม่รู้ว่าต้นอะไร แต่นั่นคงไม่ใช่สาระ

    "ฉันอยู่ข้างใต้นี่ ฉันจะพาเธอไปที่สงบและปลอดภัย" เสียงลึกลับดังเล็ดลอดมาจากใต้โคนต้นไม้

    "แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง ต้นไม้พูดได้หรือ" ผมคิดดังๆ ดังพอที่จะได้ยินเพียงคนเดียว

    แต่เท่าที่สัมผัสมา ธรรมชาติไม่เคยหลอกใคร ไม่เคยทำร้ายใคร หนำซ้ำยังปล่อยให้เราทำอย่างที่เราอยากทำตามใจ โดยที่เราไม่เคยฟัง และไม่เคยสนใจ ว่าธรรมชาติจะเป็นจะตายยังไง ตลอดมาไม่ใช่หรือ


    โดยไม่ลังเลใจ ผมใช้หินแข็งคมขนาดพอดีมือ ที่หาได้แถวนั้น ค่อยๆขุดดินที่โคนต้นไม้นั่น จนได้หลุมขนาดพอดีตัว ถึงเวลาแล้ว เวลาที่ผมจะได้ทำในสิ่งที่ถือว่าเป็นสาระเดียวในชีวิต โดยไม่ต้องฟังเสียงใคร แม้แต่เสียงในหัวของตัวเอง


    แสงสว่างปรากฏขึ้นที่ปลายอุโมงค์รถไฟ

    ผมหย่อนพ่อ ที่แทนด้วยกิ่งไม้ลงไป ผมโยนตัวเอง ที่แทนด้วยกิ่งไม้อีกกิ่งลงไป

    แล้วออกแรงกลบอดีตให้จมดิน ไม่ให้ได้ยินแม้เสียงลมหายใจอีกเลย

    ผมอภัยให้พ่อ เพราะแท้จริงแล้วพ่อก็คือพ่อ ย่อมห่วงใยในฐานะพ่อคนหนึ่ง ที่อยากให้ลูกได้ดี

    ผมอภัยให้เด็กน้อย ที่เดินหลงทางในวันนั้น


    วันนี้เหลือเพียงผมที่เติบใหญ่ พร้อมก้าวไปข้างหน้า อย่างเต็มเปี่ยมด้วยพลัง

    แต่ไม่ลืมหันมองกลับหลัง สองมือประคองพ่อที่เริ่มระโหยโรยชรา

    เดินเคียงกันไป ไม่อาจนิรันดร์แต่ก็นานเท่านาน


    เมื่อชีวิตเป็นเรื่องไร้สาระ สิ่งนี้แหละ ที่พอจะเป็นคุณค่าให้กับชีวิต




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Jirayu Jarearnsathapong (@iiiikogkag)
ชอบจังครับ ขอบคุณนะครับความรัก+ครอบครัว