เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Butter x ChaiButter Story
รถตู้.
  •         ว่าด้วยเรื่องของรถโดยสารประเภท "รถตู้" 
            ผมต้องบอกเลยว่า ในบรรดารถโดยสารทั้งปวงนั้น ไม่ว่าจะเป็นรถเมล์ แท็กซี่ วินมอเตอร์ไซต์ รถไฟฟ้า รถไฟ รถทัวร์ รถสองแถว และบลาๆๆนั้นยังมีรถอยู่ประเภทหนึ่งที่ผมไม่คิดว่ามันจะทำให้ผม"หัวร้อน"ได้ขนาดนี้ นั่นคือรถตู้
            
            ตลอดชีวิตของผม ผมบอกเลยว่าผมไม่เคยต้องโดยสารรถตู้มาก่อน บรรดารถโดยสารที่กล่าวมาข้างต้นนั้นผมนั่งมาหมดแล้ว ยกเว้นรถตู้ 
            ผมคิดเสมอว่ารถโดยสารอื่นๆนั้นมันช่างน่าอึดอัด น่ารำคาญ อยากจะมีรถเป็นของตัวเองสักที ซึ่งเราก็ได้แต่คิดแบบนี้และรอคอยวันที่จะมีรถเป็นของตัวเองจริงๆในสักวันหนึ่ง ซึ่งรถประเภทหนึ่งที่ผมเคยได้แต่มองดูผู้คนขึ้นลงๆๆๆ นั่นคือรถตู้ ซึ่งเวลาที่ผมมองดูผู้คนขึ้นไปนั่งนั้น ผมสัมผัสได้ถึงความสะดวกสบายแบบ"เล็กๆ" ผมคิดว่าพวกเขามีที่นั่งเป็นของตัวเองทุกคน ไม่มีใครต้องยืนโหนให้เมื่อย ยิ่งใครที่ได้นั่งด้านหน้าข้างคนขับ ยิ่งฟิน...

            ขาไป

            วันหนึ่งเมื่อผมสอบติดมหาลัยฯ แห่งหนึ่งย่านบางเขน รถที่สัญจรผ่านก็จะมีเพียงรถตู้และรถเมล์สาย 26 ป้ายสีฟ้า
            ช่วงแรกๆของการเรียนในมหาลัยฯ ผมก็ได้เรียนรู้ชีวิตการสัญจรบนท้องถนนทันที เมื่อรถตู้ที่เราใฝ่ฝันจะนั่ง "ถูกแย่ง" และรถเมล์ที่เราต้องขึ้น "มาช้า" และดันมีรถเมล์ 3 สีให้เลือกสรรค์อีก 

            ผมมีเรียน 8 โมงเช้า และผมคิดว่าในเมื่อมหาลัยฯ อยู่ไม่ไกลจากบ้านผมเลย ผมจึงตื่น 6 โมงครึ่ง และรีบอาบน้ำแต่งตัว เพื่อไปขึ้นรถตู้ที่เราใฝ่ฝัน ซึ่งตอนนั้นผมคิดเพียงแค่ว่า แค่เราไปยืนรอ เมื่อรถตู้มาเราก็จะได้ขึ้นทันที แต่... มันไม่ใช่อย่างนั้นครับ เพราะเมื่อผมไปถึงป้ายรถเมล์ที่มีคนมารอรถกันอยู่เต็มนั้น ผมสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง เพราะที่นั่นคนเยอะมาก มากๆๆๆ ๆๆๆ ๆๆๆ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
            ผู้คนยืนเบียดกันจนผมคิดว่าบางคนคงได้เสียกันไปแล้ว แล้วสิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อรถตู้ของผมมาแล้ว แต่แล้วคนที่ยืนอยู่"ด้านหลัง"ของผม ก็รีบเดินมาเบียดที่ด้านหน้าของผม มือของเขาจับที่ประตูรถตู้และเปิดมันออก จากนั้นเมื่อประตูเปิดออก ผู้คนมากมายก็ไปกรูกันอยู่ที่หน้าประตู เหมือนกลัวจะไม่ได้ขึ้นกัน จากนั้นทุกคนก็ส่องไปในรถ หาว่ามีที่นั่งเหลือมั้ย? ในตอนนั้นผมได้แต่ยืนงงอยู่ที่ด้านหลังตอนนั้น ว่ามันเกิดอะไรขึ้น... น่ากลัวจังเลย... 
            
            ใครนึกภาพไม่ออก ลองไปหาหนังเรื่อง Train to Busan มาดูนะครับ...


            ผมใช้ชีวิตแบบนี้อยู่ทุกวัน ทุกเช้า จากนั้นไม่นานหัวของผมก็เริ่มร้อน... ความเห็นแก่ตัวเล็กๆมันก็กำเนิดขึ้นในจิตใจของผม 
            ผมกลายเป็นชายคนนั้นที่ไปยืนอยู่หน้าประตูรถ แล้วเปิดมันออกแล้วรีบขึ้นก่อนใคร... ผมกลายเป็นคนที่เดินไปเบียดมนุษย์ป้าคนหนึ่ง เพื่อให้ตัวเองได้ขึ้นก่อน... ผมกลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา... ส่วนหนึ่งของคนที่ใช้ชีวิตตามแบบแผน ที่เมื่อผมมองดูชัดๆแล้ว มันเหมือนกับว่าเราเป็นเครื่องจักรอย่างหนึ่งพอเราทำตัวเหมือนกับคนอื่นๆ ที่ต้องแย่งกันขึ้นรถ มันเหมือนเรากำลังเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในกรอบบางอย่าง... กรอบที่กำหนดให้เราต้องแย่งรถ ถ้าไม่แย่ง เราก็จะไม่ได้ขึ้นสักที... แล้วเราก็จะไปเรียนสาย...

            ผมนั่งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้มันอาจจะดูเหมือนเป็นปัญหาเล็กๆน้อยๆ แต่มันทำให้ผมเครียดเหลือเกิน การที่ต้องใช้ชีวิตแบบนี้ทุกวัน มันกำลังทำให้เราตกอยู่ภายใต้กฏทางสังคมบางอย่างที่ทุกคนต้องแก่งแย่งกัน... 

            ทุกคนมีงานต้องทำ... ก็เลยต้องแย่ง... ? ? ?
            ใช่ครับ ทุกคนมีงานต้องทำ... ผมก็มีเรียน... ป้าคนนั้นก็ต้องไปเปิดร้านขายเสื้อผ้า... พี่คนนี้ก็ต้องไปให้ทันธนาคารเปิด... ลุงคนโน้นก็ต้องไปขายของในตลาด... คนนั้นต้องไปโรงพยาบาล คนนี้ต้องรีบไปสอนหนังสือ บลาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ๆๆๆ ๆๆ ๆ   ๆ      ๆ  ..... ...  .. .    .       .    . . .        .                    .

            ใครๆเค้าก็มีสิ่งที่ต้องทำเหมือนกันทุกคนนั่นแหละ...

            แล้วทำไมทุกคนต้องแย่งกันขึ้นรถ ในเมื่อจุดหมายของทุกคนไปทางเดียวกัน... 
        
            ทำไมไม่ต่อแถว? ทำไมอ่ะ? ... .. . .  .    .


            ขากลับ

            หลังเลิกเรียน ผมต้องกลับฝั่งประตูงามวงศ์วาน 1 ช่วงแรกของการเรียนที่นั่น ถนนฝั่งงามวงศ์วานโล่งดีครับ รถมาผมก็ได้ขึ้นเลย ไม่มีปัญหาอะไรเลย รู้สึกสบายใจตลอด คนก็ไม่เยอะ... แต่ก็ไม่รู้เป็นเพราะอะไรครับ... พอช่วงหลังๆ ก็เริ่มเป็นเหมือนเดิม... คนเริ่มมารอเยอะขึ้น เหมือนพอเขาเห็นว่าฝั่งนี้สะดวกสบาย คนก็แห่กัันมารอที่นี่... กลายเป็นว่าจากที่ผมได้ขึ้นเลย ก็ต้องถูกแย่งอีกตามเคย... 
            สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือผมเคยรอที่นี่ 3 ชั่วโมงครับ... รอจนเพื่อนที่ยังอยู่มหาลัยต่อ ได้กลับบ้านก่อนเรา... รอจนเพื่อนที่กลับทีหลังเรา แต่ไปรอรถอีกฝั่ง ถึงบ้านก่อนเรา... รอจนเพื่อนที่ถึงบ้านก่อนเรามันได้อาบน้ำ เปลี่ยนชุด นอนเล่น เล่นเกมส์ เล่นคอมฯ อ่านหนังสือ บลาๆๆๆๆๆ... เรียกได้ว่า ถ้าผมรออยู่อย่างนี้ต่อไป... บอลไทยคงได้ไปบอลโลกแน่นอน... ผมจึงรู้สึกว่าผมจะต้องทำอะไรสักอย่าง...

            ความคิดที่อยู่ในหัวผมมีแค่...
            
            ศัตรูเราเยอะจังเลย... เราจะแย่งรถจากพวกซอมบี้นี่ได้ยังไงกัน?!
           
            อุ้ยนั่น! รถมาแล้ว... เขาเริ่มแย่งกันอีกแล้ว... เอ้า! มีที่นั่งเดียว ที่เหลือไม่ได้ขึ้นหรอ? ว๊าย... สมน้ำหน้า... ว๊ายๆๆๆ ๆๆๆ ๆ ๆๆ !!!! 

            วันหนึ่งที่ผมเจอสถานการณ์แบบนีิ้ ผมยืนรอรถจะกลับบ้านประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ ซึ่งหลังจากที่ผมเริ่มหัวร้อนและมั่นใจว่าผมจะไม่ได้ขึ้นรถแน่นอนแล้ว ผมยิ้มมุมปากเล็กๆ และด่าคนที่แย่งรถผมแต่ไม่ได้ขึ้นในใจว่า "ลาก่อนนะ อีพวกทาสระบบทุนนิยมทั้งหลาย!" จากนั้นผมเดินกลับเข้าไปในมหาลัยและตรงไปที่ตู้ ATM... ผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะนั่งแท็กซี่กลับบ้าน... 
            เมื่อผมไปกดตังที่ตู้ ATM มันขึ้นข้อความว่า "ตู้นี้มีธนบัตร 1000 บาท เท่านั้น" ...

            แล้วผมมีตังแค่ 300 บาท....

            หัวร้อนกว่าเดิมอีกครับ... ไม่ใช่สิ... หัวผมไหม้เลยครับตอนนั้น... กดตังไม่ได้ ก็ไม่ได้ขึ้นแท็กซี่ โว๊ยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! 
            
            ผมรอไปอีก 1 ชั่วโมงกว่าๆ พอคนเริ่มน้อย ผมจึงได้ขึ้นรถ... ผมนั่งไปบนรถตู้ด้วยความหัวร้อน พลางครุ่นคิดในใจว่า เราจะจัดการกับปัญหาแบบนี้ยังไง... ขืนปล่อยไว้สุขภาพจิตผมเสียแน่นอน...


            สุดท้าย... วิธีแก้ปัญหาของผม คือผม "เพิ่งรู้" มาจากเพื่อนอีกคนหนึ่งที่มันเชี่ยวชาญเส้นทางรอบมหาลัยฯ ว่า จริงๆแล้วมันมีประตูงามวงศ์วาน 3 อยู่... ประตูนั้นจะอยู่ก่อนประตูงามวงศ์วาน 1 ที่ทำผมหัวร้อน... ผมก็แค่ต้องไปรอที่นั้น เพราะคนรอไม่เยอะ... ไม่ค่อยมีใครไปเพราะมันอยู่ไกล... ผมจะได้ขึ้นรถตู้ก่อนใคร แล้วเมื่อรถวิ่งผ่านประตูงามวงศ์วาน 1 ผมจะได้เป็นคนที่มองออกมาจากในรถ และส่งสายตาเยาะเย้ยมนุษย์ทุนนิยมพวกนั้น... 

            ล้อเล่นนะครับ... 5555

            บางทีมนุษย์เราก็แปลกๆดีครับ... (ขำพลางเอามือปาดน้ำตา) เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง... มันสอนให้ผมได้เรียนรู้การใช้ชีวิต... สอนให้ผมได้เรียนรู้การรอคอย... สอนให้ผมได้รู้จักควบคุมอารมณ์... สอนให้ผมรู้จักวิธีการแก้ปัญหาเล็กๆน้อยๆ... 

            อย่างน้อยที่สุด ตอนที่เรารอรถนานจนเราปลง... เราได้สังเกตุดูรอบตัว... เราได้เห็นผู้คน... เราได้เห็นบรรยากาศบนท้องถนน... เราได้มองดูคนที่เดินผ่านไปมา... เราได้มองดูท้องฟ้าตอนพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน... เราได้หยุด... ปล่อยสมองให้ว่าง... กลายเป็นว่าตอนนั้น พอเรามองโลกในอีกมุมหนึ่ง... เราก็ได้เห็นโลกในอีกด้านหนึ่งที่มันวุ่นวาย แต่มีความสวยงามในแบบของมัน... แล้วเราก็ไม่หััวร้อนอีก... จนกระทั่งรถมา... แล้วเราได้ขึ้น... ช่วงเวลานั้นมันก็หายไป ตามแบบที่มันควรจะเป็น.
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in