ความทุกข์คือสิ่งที่น่าท้าทายที่สุดในชีวิต
ผมต้องขอบคุณวันเวลาเหล่านั้น ผู้คนเหล่านั้น และความรู้สึก "ทุกข์" เหล่านั้น เพราะพวกเขาทำให้ผมได้มองเห็นคุณค่าของ "ความสุข" ที่แท้จริง
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 2 เดือนที่แล้ว สภาวะ Depression หรือ โรคซึมเศร้า มันได้ถาโถมเข้ามาในตัวผม ผมบอกไม่ได้เลยว่าอะไรที่ทำให้ผมเป็นทุกข์ และผมก็ไม่เคยบอกใครเลย โดยเฉพาะเมื่อมีเพื่อนที่มาถามเรา ว่าเราเป็นอะไร ผมก็จะบอกเขาไปเพียงแค่ 10% ของความรู้สึกที่ผมมี ผมรู้แค่ว่าทุกสิ่งรอบตัวของผมคือสิ่งที่น่ารังเกียจ ผู้คนรอบๆตัวเรา เพื่อน พี่น้อง "พ่อแม่" ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต คือคนที่มาทำลายความสุขของเรา พวกเขาขัดขวางการกระทำทุกอย่างของเรา พวกเขาทำเหมือนกับว่าเราไม่มีค่า พวกเขาไม่เห็นเราในสายตา เรามันก็แค่อากาศที่ล่องลอยไปมา มีอยู่แต่ไร้ซึ่งการเหลียวแล ทำไมกันนะ? ทำไมเราถึงต้องถูกเมิน? ทำไมทุกคนไม่อ่านไลน์? ทำไมทุกคนไม่ตอบแชท? ทำไมถึงไม่ชวนเรา? ทำไมถึงไม่เป็นเรา? ทำไมต้องเป็นแบบนั้น ทำไมถึงเป็นแบบนี้? ทำไม? ทำไม? ทำไม?... หลังจากนั้นก็กลายเป็น เกลียด เกลียด เกลียด เกลียดทุกคนที่ทำกับเรา เกลียดทุกคนที่ไม่ชวนเรา เกลียดทุกคนที่ทำเหมือนเราไม่มีตัวตนในสายตา ทำไมวันเกิดเราพวกเขาถึงไม่สนใจ ทำไมวันเกิดคนอื่นพวกเขาให้ความสำคัญ ทำไม เกลียด เกลียดทุกคน เกลียดทุกสิ่งบนโลกใบนี้ โลกนี้มันสร้างมาเพื่อทำลายเรา โลกนี้มันสร้างมาเพื่อเหยียดหยามเรา เราจะอยู่ไปทำไม ในเมื่อมันไม่มีอะไรสำหรับเราแล้ว ไม่มีใครรักเรา ไม่มีใครแคร์เรา ไม่มี ไม่มีแล้ว สูญสิ้นแล้ว...
วินาทีนั้น... ผมคิดฆ่าตัวตาย
แต่ผมก็ไม่ทำ... เพราะไม่กล้าไงครับ... โรคซึมเศร้า มันคือสภาวะที่เมื่อมันแสดงออก มันจะรุนแรง
ผมมีโอกาสพบจิตแพทย์มา 3 ครั้ง... จิตแพทย์ท่านนี้ จะช่วยปลอบโยน ช่วยพูดคุยกับเรา ซึ่งถามว่าช่วยได้ไหม ผมก็ต้องบอกเลยว่าช่วยได้มาก... แต่ยังไม่มากที่สุด เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งเหล่านั้นมันจะขึ้นอยู่กับตัวเราทั้งสิ้น การที่เราไปรักษากับจิตแพทย์ มันจะต้องมีค่าใช้จ่าย ซึ่งก็ถือว่าราคาสูงอยู่พอสมควร สำหรับเด็กมหาลัยปี 1 ที่ยังไม่มีรายได้คนหนึ่งจะสามารถจ่ายได้ ดังนั้น ผมจึงไม่มีโอกาสที่จะได้ไปพบกับจิตแพทย์ท่านนั้นอีก ดังนั้น ผมรู้ว่าหลังจากนั้นมันก็จะขึ้นอยู่กับตัวผมแล้ว ว่าผมจะเอาคำแนะนำและสิ่งที่ได้จากการไปพบจิตแพทย์ครั้งนี้มาใช้ได้ไหม...
ผลคือ 50/50 ครับ
ข้อเสียหนึ่งของผมคือ ผมเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น... ในเมื่อผมยังคงไม่มีความสุข ทุกคนและทุกสิ่งที่ทำให้ผมต้องรู้สึกตกต่ำขนาดนี้ จะต้องเป็นทุกข์มากกว่าผมหลายเท่า... แต่ผมก็ทำได้แค่คิด...
เพราะสุดท้ายแล้วผมคือคนที่อ่อนแอที่สุดคนหนึ่ง ผมเศร้าหมอง ผมผิดหวัง ผมเสียใจ ผมตกต่ำ ทุกสิ่งทุกอย่างมันหม่นหมอง ไม่มีแสงสว่างใดๆในชีวิตของผมเลย
ผมได้แต่ภาวนาว่าสักวันหนึ่งมันจะต้องดีขึ้น แล้ววันถัดมาหลังจากที่ผมภาวนา พี่คนหนึ่งที่ผมรู้จักก็ได้เรียกผมไปคุยกับเขา เขาบอกว่าเขาเห็นว่าช่วงนีี้ผมดูเศร้าหมอง เขาเป็นห่วง ในฐานะพี่ชายคนหนึ่งที่เป็นห่วงน้อง ซึ่งคำพูดของพี่คนนั้นซึ่งผมจะขอเรียกว่าพี่ที ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างกระทันหันมากๆ ในระยะเวลาอันสั้นมากๆ
ผมได้เล่าทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกความรู้สึกที่ผมมีกับตัวเองให้พี่ทีฟัง ทุกความเก็บกด โกรธแค้น และทุกสิ่งทุกอย่าง พี่ทีรับฟังผมทุกอย่าง และพี่เขาก็ค่อยๆให้คำแนะนำกับผมทีละนิด...
"พี่คิดว่า สิ่งที่เกิดกับเรามันเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน ขนาดตัวเรายังไม่เข้าใจเลยว่า "อะไรทำให้เราเป็นทุกข์" ซึ่งพี่ไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกจริงๆมันเป็นยังไง แต่ที่พี่บอกได้คือ ตอนนี้เรากำลังอยู่ในความมืด... หมายความว่า ชีวิตเราก็เปรียบเสมือนกับลูกบอลหรือลูกโลกกลมๆ ด้านหนึ่งมีแสงสว่างเสมอ ส่วนอีกด้านนั้นมืดสนิท... ตอนนี้พี่ว่าเรากำลังยืนอยู่ในด้านที่มันมืดสนิท ความจริงคือเรามีอิสระในตัวเอง เราลองเขยิบมาด้านสว่างทีละนิด ทีละนิด ดูสิ เราจะเห็นความมหัศจรรย์ของมัน"
ในครั้งแรกที่ฟัง ผมไม่ค่อยเข้าใจความหมายจริงๆที่พี่เขาสื่อ ในทีนี่คือผมไม่เข้าใจว่า ผมจะเขยิบเข้าหาแสงสว่างนั้นได้ยังไง...
ซึ่งพี่ทีได้แนะนำว่า ให้ผมเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตประจำวัน ทุกอย่างทั้งการกระทำ และวิธีคิด...
มุมมองทางโลกของผมเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด... พี่ทีบอกให้ผมให้อภัยผู้คนที่ทำให้ผมโกรธ ให้อภัยสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ผมเป็นทุกข์ และให้อภัยตัวผมเอง ที่ดูถูกเหยียดหยามคุณค่าในตัวเองไป
หลังจากนั้น ผมก็เอาวิธีการหนึ่งที่จิตแพทย์เคยแนะนำผมมา ให้เอามาใช้จริง นั่นคือการจดทุกสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน ลงไปในสมุดเล่มเล็กๆ ซึ่งเมื่อผมลองทำ ปรากฏว่ามันได้ผลดีมาก เพราะเมื่อเราจดสิ่งที่ต้องทำลงไป มันจะทำให้เราเห็นได้ชัดเจนว่า เรามีอะไรที่สำคัญอีกมากที่ต้องทำ การมานั่งคิดถึงเรื่องต่างๆที่จะทำให้เราเป็นทุกข์ เป็นสิ่งที่เสียเวลาและเปล่าประโยชน์
หลังจากนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดและดีที่สุดที่มัน "ปลดปล่อย" ตัวของผมออกจากบ่วงแห่งความทุกข์ทั้งปวงนี้ คือการที่ผมได้ไประบายกับเพื่อนคนหนึ่ง ผมระบายกับเขา พูดกับเขาทุกอย่าง ทุกความรู้สึกที่มี ทุกความคิดที่เราคิด ทุกมุมมองที่เราเห็น ทุกเหตุการณ์ที่เราจำ และเมื่อผมทำอย่างนั้น มันทำให้เราได้แลกเปลี่ยน "ข้อเท็จจริง" ซึ่งกันและกัน... สิ่งที่ทำให้ผมเป็นทุกข์มันก็ค่อยๆคลายลง
ผมอาจจะยังเป็นคนที่โกรธง่าย ขี้น้อยใจ แต่เมื่อความรู้สึกเหล่านี้มันเกิดขึ้นมา อย่างน้อยที่สุดผมก็รู้ตัวเองมากขึ้น และรู้ว่าผมจะต้องจัดการกับมันยังไง
เวลาผ่านไป 2 เดือนกับการเปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเอง ผมพยายามมองโลกแบบ Positive มากขึ้น ผมให้อภัยความผิดเล็กๆน้อยๆกับคนรอบๆตัวทุกวัน ผมพยายามอย่างมาก ที่จะหันหาทางสว่าง เพราะทุกครั้งที่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้น เราต้องเชื่อเสมอว่า "สิ่งดีๆ" กำลังจะตามมา มันเป็นพลังงานด้านบวกที่เราแผ่ขยายมันออกมา สู้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว
มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ที่คนเราจะไม่ทุกข์เลยสักวัน หรือจะไม่สุขเลยสักวัน ซึ่งผมได้เรียนรู้แล้วว่า อย่างน้อยที่สุด ความทุกข์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็ตาม มันคือหน้าผาสูง หรือขั้นบันไดที่สูงลิ่ว ที่มาขวางตรงหน้าเรา ถ้าเราเลือกที่จะหลีกเลี่ยง หรือหลบมัน อยากเอามันออกไปให้พ้นทาง นั่นคือ คุณจะทุกข์ต่อไปแน่นอน แต่ถ้าเราเลือกที่จะปีนหน้าผา หรือเดินไปตามขั้นบันไดเหล่านั้น ปลายทางของมันคือแสงสว่าง เมื่อคุณไปถึงที่นั่น คุณจะพบกับความสุขที่แท้จริงได้แน่นอน
ผมขอบคุณความทุกข์ ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เพราะถ้าไม่มีความทุกข์ในวันนั้น วันนี้ผมอาจจะไม่ได้รู้ซึ้งถึงความหมายและคุณค่าของความสุขที่อยู่ตรงหน้าของผมจริงๆ.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in