เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ตื่นจากฝันก็ฝึกงานซะแล้วThanaphon R.
สัปดาห์ที่ 4 : แรงบันดาลใจเกิดได้เมื่อออกจาก Safe Zone
  • งานในสัปดาห์ที่ 4 ของการฝึกงานเป็นอย่างไร"

    สัปดาห์นี้วันธรรมดาอาจไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ อ่านหนังสือพลางคิดไปเรื่อย ตอนนี้อ่านหนังสือแทบจะครบทุกเล่มแล้ว ลองเขียนบทความไว้ได้ประมาณ 2-3 เรื่อง แต่ก็เขียนได้แค่คร่าว ๆ ยังไม่เสร็จดี คิดไว้อย่างดีพอเขียนอย่างจริงจังก็ดันเรียบเรียงไม่ถูก แต่มีหนังสือเล่มหนึ่งที่กลัวมาก เพราะอ่านยากสุด ๆ เรื่อง The Power of Showing Up ความรู้สึกเหมือนอ่านตำราเรียนที่แท้จริงแอบทำให้นึกถึงตอนเรียนวิชาโทจิตวิทยา ทฤษฎีและงานวิจัยมาเต็ม หลักการค่อนข้างเยอะ อ่านยากเอาเรื่อง เน้นเรื่องความสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ เกิดจากอะไร ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กอย่างไร 

    #หนังสือparentingไม่ใช่เซฟโซน

    แต่นั้นไม่สำคัญเพราะวันอาทิตย์รอเราอยู่ หลังจากอยู่แต่บ้านนับแรมปีในที่สุดก็ได้ออกไปเปลี่ยนบรรยากาศถึงกทม ตอนแรกจะตั้งชื่อเรื่องว่า มนุษย์ถ้ำเข้าเมือง ด้วยซ้ำแต่อาจจะดูไร้สาระไปสักหน่อย

    กลับเข้าสู่เนื้อหาหลักของสัปดาห์นี้ขอเสนอ Little book club ตอนไปถึงเรากับเปตองนัดเจอกันที่โรงแรม Cream เพราะมากันคนละทาง พวกเรามาพร้อมกันตอน 9 โมงก่อนกิจกรรมจะเริ่ม ก็ชวนน้องณนญ(ลูกสาวพี่นิดนก)เล่นกับแมวรอคลับเปิด ซึ่งแมวแถวนั้นมี 3 ตัว แมวดำชื่อ ‘แพนเธอร์’ อาจจะเพราะคล้าย ๆ กับแบล็คแพนเธอร์ ตัวต่อมาแมวสีน้ำตาลขาวชื่อ ‘หมอก’ เป็นแมวมึน ๆ ระบบตอบสนองช้า (ฮ่า) ตัวสุดท้ายเพราะมาหลังสุดแมวสีเหลืองชื่อ ‘ไทเกอร์’ เป็นตัวที่เอนเนอร์จี้เยอะที่สุด กินเก่ง แค่หยิบอาหารล่อก็กระโดดเข้าหาของกินที่อยู่ในมือ (ของล่อคือขนมปลาเส้นแต่เป็นอาหารสุนัข พี่นิดนกเอามาให้พวกเราไว้เล่นกับแมว) 

    พอเล่นกันได้สักพักจนโรงแรมเปิด พวกเราก็ถอดรองเท้าเข้าไปด้านใน เจอจุดเช็กอินให้เด็ก ๆ ลงชื่อและตอบคำถาม ซึ่งเราก็จำคำถามไม่ค่อยได้เพราะพึ่งได้แอบอ่านตอนหมดกิจกรรม ที่นี่มี 3 ชั้น ชั้นแรกเป็นโซนต้อนรับ จุดเช็กอินเหมือนเคาน์เตอร์โรงแรม เด็ก ๆ ก็จะเล่นของเล่นรอที่มุมหนังสือก่อนจะขึ้นไปฟังนิทาน ชั้นสองเป็นโซนกิจกรรมเวิร์กช็อปจัดเตรียมของไว้พร้อมจะเริ่มทำกิจกรรมเมื่อฟังนิทานเสร็จ ชั้นสามเป็นห้องสมุดสำหรับเล่านิทาน เมื่อถึงเวลากิจกรรมประมาณ 10 โมงก็จะชวนเด็ก ๆ ขึ้นไปชั้นสาม ซึ่งที่นี่หนังสือนิทานเยอะมากมีทั้งหนังสือแปลและหนังสือต่างประเทศ

    ภาพที่ถ่ายมาได้เป็นตอนก่อนเริ่มกิจกรรม พวกเราได้สิทธิ์สำรวจชั้นต่าง ๆ ก่อนเด็ก ๆ จะขึ้นมา จึงได้มีโอกาสถ่ายเก็บบรรยากาศสถานที่ แต่ก็ถ่ายไม่ค่อยเยอะโดยเฉพาะชั้นสองโซนทำกิจกรรมซึ่งมีเยอะมากดันพลาดซะได้ และตอนทำกิจกรรมเล่นกับเด็ก ๆ ก็วุ่นวายจนไม่มีจังหวะได้ถ่ายรูปเลย ก็จะเขียนเล่าในบล็อกแทน

    ที่นี่เขาก็มีเด็กฝึกงานเหมือนกัน เหมือนจะพึ่งเปิดรับด้วย ถ้ามีน้อง ๆ สนใจหรือหาที่ฝึกงานลองศึกษาสอบถามเพิ่มเติมทางเพจเฟสบุ๊ค เผื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการหาที่ฝึกงาน

    ภาพนี้โซนทางเดินบันไดจะติดข้อความจากเด็ก ๆ และข่าวเรื่องลึกลับ ถ้าสังเกตด้านซ้ายจะมีข่าวเรื่องประตูมิติ ข้อความด้านขวาก็เขียนว่า ‘ประตูมิติมีจริง’ ซึ่งก็เป็นอย่างที่ข้อความบอกที่นี่มีประตูมิติ ตอนขึ้นไปชั้นสามจะมีห้องข้าง ๆ มีกระดาษแปะไว้ว่าประตูมิติ เปตองลองเปิดไปดูแล้วก็เห็นว่าเป็นห้องเก็บของมืด ๆ 

    ลืมบอกไปว่าวันที่พวกเรามาเป็นธีมสายรุ้ง ก็จะเห็นบรรยากาศและกิจกรรมเล่นกับแสงและสีต่าง ๆ


    ภาพนี้คือโซนเล่านิทานที่ชั้นสามซึ่งเป็นห้องใต้หลังคา จัดตกแต่งได้น่ารักมาก ส่วนตัวค่อนข้างชอบห้องใต้หลังคาและในประเทศไทยการสร้างห้องใต้หลังคาเป็นเรื่องที่ยากเพราะลักษณะบ้านส่วนใหญ่เป็นหลังคาต่ำทำให้มีพื้นที่ใต้หลังคาน้อย และด้วยสภาพอากาศร้อนถึงร้อนมาก บ้านยิ่งสูงก็ยิ่งใกล้พระอาทิตย์ 

    หนังสือที่วางไว้ก็เป็นเรื่องที่ใช้เล่าในวันนี้และเข้ากับธีมสีรุ้งด้วย เมื่อเริ่มกิจกรรมเด็ก ๆ ก็จะมารวมตัวฟังนิทานเป็นอย่างแรก เราวรรณกรรม’เด็กก็จะคุ้นกับกับเล่านิทานอยู่บ้างแต่เราไม่เคยเจอเด็กตอนเล่านิทาน พอเห็นเด็กตอบคำถามหรือปฏิกิริยาตอนเล่าถึงจะวุ่นวายแต่พี่ ๆ ก็รับมือกับเด็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี และบางช่วงเด็ก ๆ จดจ่อกับการฟังนิทานจนเหมือนโดนมนตร์สะกด เด็กทุกคนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เราที่อยู่วงนอกสุดเลยเห็นทุกกระทำของเด็ก ๆ

    ภาพตัวอย่างกิจกรรม เห็นเป็นรุ้ง ๆ เล่นกับแสงก็ทำให้นึกถึงวอลดอร์ฟเลย กิจกรรมที่ให้เด็ก ๆ เวิร์กช็อปมีทั้งปั้นดินน้ำมัน ระบายสีน้ำ พับกระดาษ ตอนแรกก็มีพี่ ๆ คุมเด็กอยู่เราก็ไม่กล้าเข้าได้แต่เดิน ๆ วน ๆ ไปเรื่อย พี่เขาก็บอกว่าถ้าอยากเล่นกับน้อง ๆ ก็เข้าเล่นมาพูดคุยได้เลย เราพยายามหาจังหวะเข้าไปเพราะใจก็อยากเล่นด้วย ที่บอกว่าอยากเล่นคืออยากปั้นดินน้ำมัน อยากระบายสีน้ำ (ฮ่า) เด็ก ๆ มากันเยอะมากก็จะเดินสลับกันไป วุ่นวายนิด ๆ ที่นี่ให้อิสระในการทำกิจกรรมไม่ได้มีกำหนดการว่าต้องเล่นกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งก่อน เด็ก ๆ อยากเล่นอันไหนก่อนก็เล่นได้เลย ส่วนใหญ่เราจะเดินอยู่ในห้องไม่ค่อยได้ไปดูที่ระเบียงซึ่งจะมีระบายสีกับเล่นฟองสบู่

    เราจะอยู่โซนทำเวิร์กช็อปเมื่อมีเด็ก ๆ มาระบายสีน้ำ เราก็ไปแอบ ๆ ดูจึงได้มีโอกาสช่วยเหลือหยิบสีน้ำมาใกล้ ๆ มือน้องและได้พูดคุยกันนิดหน่อย สีน้ำหลัก ๆ จะมีเป็นแม่สีก็เห็นน้องบางคนผสมสีเองด้วย ช่วงระบายสีน้ำจึงทำให้เราได้มีโอกาสเล่นกับน้อง ๆ พอคราวนี้น้องอยากปั้นดินน้ำมัน เราก็ช่วยน้องแกะพลาสติกดินน้ำมัน แต่บางครั้งน้องก็พยายามแกะเอง ก็ทำให้นึกถึงตอนที่อ่านหนังสือแนะนำไว้ว่าช่วยเด็กครึ่งหนึ่งพอ เด็กจะได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง เราก็ช่วยด้วยการบอกใบ้จนน้องแกะออกมาได้เอง แล้วก็มีน้องที่อยู่ใกล้กันเป็นเด็กที่ชวนคุยเก่งมาก กลายเป็นว่าน้องนี่แหละเป็นคนชวนเราเล่น ชวนดูโรงไฟฟ้าผลงานที่น้องปั้น “เป็นโรงงานที่เปิดไฟได้ทุกที่(ประมาณว่าเปิดไฟได้ทุกที่ในโลก) มีปุ่มเปิดไฟตรงนี้นะ การทำงานซับซ้อนมาก(อันนี้เราแอบถามถึงการทำงานของโรงงาน)” น้องก็เล่าให้ฟัง แล้วยังชวนเล่นดินน้ำมันด้วย

    ช่วงที่เด็ก ๆ เริ่มทำกิจกรรมเวิร์กช็อปเสร็จกันหมดแล้วก็จะมาเล่นโซนกว้าง เด็ก ๆ ก็จะชอบเล่นแถวโปรเจคเตอร์จะมีภาพสี ๆ ถ้าเรามองก็จะรู้ว่าเป็นภาพสีที่กระจายตัวในน้ำ แต่เด็กจะตอบว่าเป็นพายุสีหรือฝนตกเป็นสี และของเล่นยอดฮิตที่เด็ก ๆ ชอบคือ ‘ไฟฉาย’ (จากรูปข้างบนด้านขวา สามารถใช้ส่องกับปริซึมทำให้แสงสะท้อนเป็นสีรุ้ง) เรากับน้องก็เล่นวิ่งไล่จับแสงหรือไม่ก็แข่งกันว่าใครหมุนไฟได้เร็วกว่ากัน

    ภาพนี้เราชอบเป็นพิเศษเพราะมาจากเกม among us ซึ่งไม่ได้มีแค่รูปวาดตัวละคร แต่ยังวาดแผนที่ในเกมรายละเอียดครบด้วย ภาพบนพนังนั้นมีให้อ่านเยอะแยะเต็มไปหมด อ่านไปก็ยิ้มไป มีให้เซอร์ไพรส์ในสิ่งที่เราคาดไม่ถึงและความน่ารักอันบริสุทธิ์ของเด็ก ๆ ที่เราเองก็ลืมเลือนพร้อมกับตัวเราที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่

    หลังจบกิจกรรมเป็นเวลาตอนเที่ยง บอกลาเด็ก ๆ แยกย้ายกันกับบ้าน พวกเราก็มานั่งคุยกับพี่นิดนกถึงความประทับใจหลังได้มาเรียนรู้ที่นี่ ซึ่งเราชอบที่มีกิจกรรมอยู่ตามมุมต่าง ๆ ในห้องและข้างนอก ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ตกแต่งไปด้วยสีรุ้งตามธีมทั้งนิทานและกิจกรรมเวิร์กช็อป

    คิดว่าอีเว้นท์ที่เราจะจัดกันเดือนหน้าอาจจะลองประยุกต์ใช้ได้ จู่ ๆ ก็มีไฟขึ้นมา ตอนแรกจัดกิจกรรมหลัก ๆ มี 3 อย่าง หลังจากนี้อาจจะเพิ่มมุมเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เด็กได้เล่นอย่างอิสระ (ถ้าสามารถทำได้นะ) เป็นทั้ง มุมเล่นและเป็นของตกแต่งสร้างบรรยากาศให้เข้ากับธีมหลักด้วย **การออกจากที่เดิม ๆ จึงให้มุมมองใหม่ ๆ มากกว่าที่คิด**


    ไฮไลต์ประจำวัน

    วันพุธ (15 มิ.ย.) เหล่าเด็กฝึกงานช่วยกันวางแผนงานโปรโมทงาน Amarin Baby&Kids ว่าโพสต์วันไหนบ้าง เขียนเชิญชวนมาบูธ ร่างเป็น mockup text สำหรับโพสต์ลงทั้ง Facebook IG และ Tiktok 

    วันอาทิตย์ (19 มิ.ย.) กิจกรรม Little book club ** สนุกมาก ๆ ** ถึงจะเหนื่อยเพราะสู้เอนเนอร์จีเด็กไม่ไหว (ฮ่า) แต่เป็นประสบการณ์ที่ดี อย่างว่าถ้าอยากรู้เกี่ยวกับเด็กต้องเจอเองถึงจะรู้ และมาที่นี่ครั้งแรกก็เดินทางด้วยตัวเองแบบไม่หลง ขอบคุณที่โลกนี้มี GPS

    ป.ล. สถานีต่อไปเป็น Afterschool Club เริ่มช่วงบ่ายเวลาเลิกเรียนของเด็ก ๆ กิจกรรมก็จะต่างกันไป จะเป็นอย่างไรรอชมได้ในบล็อกหน้า


    ไว้จะมาอธิบายต่อในอาทิตย์ถัดไป
    ขอบคุณค่ะ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in