มีหนังมากมายที่เคยผ่านสายตาทั้งคู่ของผม ทั้งหนังแอ๊คชั่นบู๊ล้างผลาญ เสียงระเบิดดังสนั่นกันทั้งเรื่อง ไปจนถึงหนังผีสยองขวัญหรือสั่นประสาท ชนิดที่ไม่พูดพล่ามทำเพลง โผล่มาก็จับเอามีดสับๆ ตัดๆ เลือดสาดไปตลอดชั่วโมงกว่าๆก็มี
แต่มีหนังอยู่บางเรื่องเท่านั้นที่เราจำได้ไม่มีลืม ว่าเราสูญเสียน้ำตาให้กับมันไปมากมาย ในระยะเวลาหนังแค่ไม่กี่ร้อยนาที แต่ความรู้สึกเจ็บจนจุกที่กลางอก หรือน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ นั่นทำเอาเราไม่กล้าที่จะกลับไปดูซ้ำอีกหลายๆครั้ง เพราะแค่ครั้งเดียวก็แสนสาหัสเสียแล้วสำหรับความเศร้าที่โถมเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
บางคนอาจคิดถึงหนังเรียกน้ำตาอย่างพวกหนังเกาหลี หรือหนังชีวิตสุดรัญทดอย่าง "วัลลี" แต่หนังที่ผมร้องไห้หนักมากนั้น ตัวเอกของเรื่องไม่ใช่กระทั่งมนุษย์ด้วยซ้ำ ใช่ครับ... ผมกำลังหมายถึงเรื่อง
" Hachi : A dog's tale "
หนังไม่ได้เทคนิคพิเศษใดๆที่ตื่นตาตื่นใจ ไม่มี costume แบบหลุดโลกล้ำสมัยไปอีกร้อยปี ไม่มีบทพูดหรือกวีที่กินใจราวเชคสเปียร์ แต่หนังเรื่องนี้ทำเอาคนเสพอย่างเราจำได้ไม่มีวันลืม
ภาพสุนัขขนฟูตัวเล็กจิ๋วที่ถูกเอามาเลี้ยงแบบไม่ได้ตั้งใจในคราแรก แต่ความผูกพันของสองหัวใจระหว่าง "ศาตราจารย์" และลูกสุนัขหน้าตาน่าชังที่ชื่อ "ฮาชิโกะ" กลับทำให้เรื่องนี้มันฝังลึกเข้าไปในจิตใจของผม แม้กระทั่งในขณะที่รีวิวเรื่องเพื่อเขียนบทความนี้ น้ำตาก็ยังคงไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว
เพื่อเป็นการไม่เปิดเผยเนื้อหาของหนังมากเกินไปนัก จะขอเล่าเพียงบางส่วนของหนังเพื่อสะท้อนความผูกพันที่ยากจะเปรียบเทียบได้ แม้ว่าจะเป็นความผูกพันระหว่าง "คน" กับ "สุนัข" ก็ตาม
ในหนังจะเผยให้เห็นสิ่งที่ ฮาชิโกะ ทำอยู่สม่ำเสมอเป็นประจำคือการเดินมาส่ง ศาตราจารย์ ที่สถานีรถไฟเป็นจำทุกวัน เพื่อมาส่งเจ้านายขึ้นรถไฟ ซึ่งในครั้งแรกศาตราจารย์ต้องเดินกลับมาส่งฮาชิโกะเพื่อให้มันกลับบ้าน แต่แล้วเขาก็รู้ว่าเจ้าสุนัขผู้ซื่อสัตย์ตัวนี้จะมาส่งเขาขึ้นรถไฟไปทำงานในตอนเช้า แล้วเดินกลับบ้าน และช่วงบ่ายมันจะเดินออกมาที่สถานีรถไฟเพื่อรอรับเจ้านายเพื่อเดินกลับบ้านด้วยกัน
ฮาชิโกะ เจ้าขนฟูตัวน้อยทำแบบนี้มาทุกวี่วัน จนมันกลายเป็นสุนัขตัวใหญ่โตเต็มวัย แต่มันก็ไม่เคยจะพลาดหน้าที่การไปรับส่งเจ้านายของมันเลยแม้แต่วันเดียว จนทุกคนที่สถานีรถไฟรวมถึงผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาเป็นประจำ ต่างรักและเอ็นดูฮาชิโกะ ราวกับเป็นเพื่อนที่สนิทชิดเชื้อกันเป็นอันดี
แต่แล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่ศาตราจารย์ไม่ได้นั่งรถไฟกลับบ้านอีกต่อไป แต่ฮาชิโกะยังคงนั่งรอเจ้านายที่มันรักอย่างนั้นอยู่ทั้งคืน รอจนกว่าศาตราจารย์จะเปิดประตูสถานีออกมาแล้วส่งเสียงและกวักมือเรียก
" ป่ะ ฮาชิโกะ เรากลับบ้านกัน "
อีกวันต่อมาจึงมีลูกสาวของศาตราจารย์มาพาฮาชิโกะกลับบ้าน แต่ฮาชิโกะก็ยังคงกลับไปรอเจ้านายอย่างที่เคยในอดีตอยู่อย่างนั้น ที่จุดเดิมที่มันเคยนอนรอศาตราจารย์ในทุกๆวัน ในทุกฤดู ทั้งฝน หิมะตก แดดร้อน ฮาชิโกะยังคงนั่งรอที่นั่นเสมอ
ผู้คนที่สถานีและผู้ที่รู้เรื่องราวต่างพากันโศกเศร้าและอดเอ็นดูไม่ได้ในความรักของฮาชิโกะต่อเจ้านายของมัน จนวันหนึ่งที่ครอบครัวของศาตราจารย์ขายบ้านและย้ายที่อยู่ไปที่อื่น ฮาชิโกะถูกพาไปอยู่กับลูกสาวของศาตราจารย์ แต่ไม่วาย ฮาชิโกะก็หนีออกมาจากบ้านใหม่ เริ่มเร่ร่อนเดินทาง เดินไปตามทางรถไฟที่ร้อนและทอดยาว ฝ่าสายฝนและลมแรง จนกระทั่งฮาชิโกะกลับไปถึงหน้าประตูสถานีที่เดิม ที่ที่เจ้านายจะเปิดประตูออกมากวักมือเรียกให้กลับบ้านในไม่ช้า
ฮาชิโกะนั่งรอเจ้านายอยู่อย่างนั้น อาศัยนอนแถวๆสถานีและมานั่งรอต่อในตอนเช้าแบบนี้มาตลอด ฮาชิโกะนั่งรออยู่อย่างนั่นเสมอ
ราวเก้าปีที่ฮาชิโกะรอศาตราจารย์เพื่อกลับบ้าน
แล้วในคืนหนึ่งท่ามกลางหิมะโปรยปราย แสงสว่างก็เปิดออกจากประตูสถานีที่อยู่ตรงหน้า ฮาชิโกะลืมตากลมโตใสเพื่อมองภาพข้างหน้า ภาพศาตราจารย์ที่เปิดประตูออกมาแล้วอย่างที่ฮาชิโกะรอมานานแสนนาน เจ้านายและสุนัขผู้ซื่อสัตย์ต่างโผเข้ากอดกันอย่างอบอุ่นจากความคิดถึงที่ยากจะเอ่ยเป็นคำพูดใดๆได้
ใช่ครับ "ฮาชิโกะ" จากโลกนี้ไปเพื่อพบกับเจ้านายของมันแล้ว ตรงที่นั่งเดิมๆตลอดเก้าปี กลางหิมะที่หนาวเหน็บที่ตกมาตลอดคืน
การรอคอยได้จบลงแล้ว ฮาชิโกะ ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์แบบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
ถึงตอนนี้น้ำตาผมไหลออกมาอีกครั้ง แค่นึกถึงภาพในหนังในฉากนี้ ผมยอมรับว่าไม่กล้าเปิดดู "Hachi" อีกเลย เพราะผมรู้ดีว่าผมต้องพ่ายแพ้ให้แก่กองน้ำตาอีกแน่นอน ผมจึงขอเลี่ยงที่จะดูมันอีกครั้ง แค่ครั้งเดียวความรักความผูกพันของ "ฮาชิโกะ" ก็ทำเอาผมติดตรึงมาจนถึงทุกวันนี้
ความรักความผูกพัน อาจเริ่มจากสิ่งเล็กๆ แต่หากมันมาจากก้นบึ้งของหัวใจเพื่อใครซักคน มันเข้มแข็งเข้มข้นและมั่นคง ความรักและผูกพันนั้นจะแนบแน่นไปตลอดกาล ตราบชั่วกาลอวกาศยังคงเคลื่อนไป
"ฮาชิ" ตัวจริงยังคงนั่งรอเจ้านายอยู่หน้าสถานีรถไฟชิบูย่าในญี่ปุ่น ที่นั่นรูปหล่อโลหะของ "ฮาชิ" เจ้าสุนัขผู้ซื่อสัตย์ยังนั่งรอเจ้าของที่นั่นตลอดมาหลายสิบปี จยเป็นสัญลักษณ์ที่ใครได้ผ่านไป ต้องแวะไปทักทายและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของสุนัขตัวเล็กๆตัวหนึ่ง ที่มีต่อเจ้าของของมันอย่างสุดหัวใจ จนเป็นที่กล่าวขานกันไปทั่วโลก...จนถึงทุกวันนี้
ขอบคุณ "ฮาชิ" เจ้าขนฟู ที่ยังคงบอกให้โลกได้รับรู้ว่า "รักแท้" ยังมีอยู่จริง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in