เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ใครว่าเกาหลีมีแค่โซลonenineninefive
ใครว่าเกาหลีมีแค่โซล - Episode 1
  • เพราะการไม่คาดหวังคือสิ่งที่ดีที่สุด? สิ่งที่หวังอาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด

      

    เป็นเวลาเกือบเดือนแล้วหลังจากกลับมาจากเกาหลี บอกตรงๆว่าคิดถึงที่นั่นมาก ทั้งอาหาร บ้านเมือง เพื่อนๆ และอีกหลายๆอย่าง เมืองที่เราไปไม่ใช่เมืองหลวงอย่างโซล แต่เป็น แดกู เมืองที่พอได้ยินชื่อครั้งแรกก็แบบเมืองอะไรนะ? ไม่เคยได้ยินมาก่อน

    ย้อนกลับไปตอนที่ยังเรียนปี 4 เทอม 1 นับว่าเป็นปีสุดท้ายของชีวิตการเป็นนักศึกษา และเป็นเทอมที่เราตื่นเต้นกับการเปิดเทอมมากพอๆกับการเข้าปีหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะเทอมนี้เราได้ลงวิชาที่เราอยากเรียนจริงๆ อยากเรียนอะไรก็ลง ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องลงวิชาบังคับกี่ตัว และเป็นช่วงที่เพิ่งจบจากการฝึกงานทำให้เรารู้สึกอยากเจอเพื่อนๆมาก อยากกลับไปใช้ชีวิตนักศึกษาที่พยายามหนีความเป็นจริงว่าอีกไม่กี่เดือนต้องเข้าสู่ชีวิตการทำงานแล้ว วันหนึ่งในคลาสเรียนเกาหลี อาจารย์บอกว่าช่วงปิดเทอมจะมีค่ายฤดูร้อนที่ประเทศเกาหลี ซึ่งมหาวิทยาลัยที่จะไปอยู่ที่เมืองแดกูเป็นมหาวิทยาลัยที่อาจารย์จบมา หลังจากนั้นอาจารย์ก็เปิดวิดิโอเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยให้ดู และเราเพิ่งรู้ว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นมหาวิทยาลัยที่ใช้ถ่ายทำซีรีส์มาแล้วหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นก็คือ Boy over flowers นั่นเอง และสิ่งนี้เองก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางในครั้งนี้

    Boys Over Flowers หรือชื่อภาษาไทย รักฉบับใหม่หัวใจ 4 ดวง

    เราเริ่มต้นการเดินทางกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ เดินทางด้วยสายการบิน Korean air ไปลงที่สนามบินนานาชาติกิมแฮ (Gimhae Internation Airport) ที่ปูซาน หลังจากนั้นเราก็เดินทางด้วยรถบัสของมหาวิทยาลัยใช้เวลากว่าสองชั่วโมงก็เดินทางมาถึงเมือง แดกู (Daegu)  แดกูหรือแทกูเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศเกาหลีใต้ รองจากโซลและปูซาน ภูมิประเทศของเมืองรอบล้อมไปด้วยภูเขาทำให้อากาศไม่ค่อยถ่ายเทนัก แถมยังไม่มีพื้นที่ที่ติดทะเลอีกด้วย ทำให้ฤดูร้อนที่นี่จึงร้อนมากเป็นพิเศษ จนได้รับสมญานามว่า "แดพิรึกา"  (대프리카) ที่มาจากคำว่า "แดกู" รวมกับ "แอฟริกา" นั่นเอง แดกูเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยธรรมชาติและความโรแมนติก มีมุมน่ารักๆให้ถ่ายรูปอยู่เสมอ หากพูดถึงผู้คนท่ี่นี่อาจดูเสียงดังไปบ้างและชอบมองเราด้วยสายตาแปลกๆ แต่แน่นอนว่าคนเราก็มีทั้งดีและไม่ดี  คนที่ดีก็น่ารักมากๆ ช่วยสอนเราพูดภาษาเกาหลีด้วย เช่น ถ้าจะเอาอันนี้นะต้องพูดว่าแบบนี้นะ และจากที่สังเกตเราคิดว่าคนเกาหลีจะชอบชมคนอื่นไม่ก็อะไรก็ตามที่น่ารักเขาจะไม่ลังเลเลยที่จะเอ่ยปากชมออกมา  นอกจากนี้ปฏิกิริยาเวลาโต้ตอบกันเรียกว่า เล่นใหญ่ไม่ก็รีแอคชั่นแรงก็ว่าได้ เช่น เจอตุ้มหูน่ารักๆ เสื้อผ้าสวยๆ จะร้องออกมาเลยว่า "โอ้! น่ารักจังงงง"  ส่วนตัวเราคิดว่าถ้าเราพูดภาษาเกาหลีได้เก่งกว่านี้เราอาจจะพูดคุยกับคนที่นั่นได้อย่างสนุกสนานมากกว่านี้

    สนามบินนานาชาติกิมแฮ (Gimhae Internation Airport)

    พอเข้าสู่เมืองแดกูสิ่งที่คณะเดินทางของเราทำเป็นอย่างแรกเลย คือการรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน แน่นอนว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง รถบัสของเราพามาถึงร้านอาหารเกาหลีแห่งหนึ่ง และสิ่งที่เราไม่คาดคิดว่าจะเจอคืออากาศของวันนี้ อุณหภูมิอยู่ที่ 20 องศา ! ไหนใครว่าที่นี่ร้อนไง บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน มีลมเย็นสบายพัดเบาๆ ระหว่างเราเดินจากที่จอดรถไปร้านอาหารก็ได้เห็นคนเกาหลีต่างพาลูกเด็กเล็กแดงออกมาทำกิจกรรมกันข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นการปั่นจักรยาน ขี่สกู๊ตเตอร์ เดินเล่นกันอย่างสนุกสนาน 

     สำหรับอาหารมื้อแรกในแดกูเป็นร้านอาหารเกาหลีพื้นบ้านชื่อร้านว่า มันพาชิกชอก (만파식적) ที่เน้นอาหารเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง แต่ละจานเต็มไปด้วยผักและธัญพืชนานาชนิดวางเรียงรายเต็มโต๊ะไปหมด อาหารที่เข้าข่ายเนื้อสัตว์ประเภทโปรตีนมีอยู่เพียงจานเดียวเท่านั้น! คือถ้าคุณไม่ได้กินคลีนเขาก็จะบังคับให้คุณกินคลีนนั่นเอง เท่านั้นยังไม่พออาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะยังไม่ใช่จานหลัก แต่เป็นเพียงเครื่องเคียงและออร์เดิร์ฟเท่านั้น ส่วนเมนูเด็ดของที่ีนี่คือโสมจิ้มกับน้ำผึ้ง เกิดมาก็เพิ่งจะเคยได้ลองกินเป็นครั้งแรก เป็นเมนูเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมในร้านถึงมีแต่ครอบครัวพาผู้สูงอายุมารับประทานอาหารกัน ส่วนจานหลักของเราเป็นข้าวต้มร้อนๆที่ประกอบไปด้วยธัญพืชต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแป๊ะก๊วย รากบัว และเผือก เป็นต้น เสิร์ฟมาในชามหิน วิธีการประทานคือเราจะต้องตักข้าวในชามออกมาครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลืออยู่ในชามก็เทน้ำซุปลงไปจากนั้นเอาฝาปิดไว้ครึ่งหนึ่งโดยไม่ต้องปิดสนิท รสชาติของข้าวที่มีความเหนียวกว่าข้าวไทย ข้าวเม็ดกลมๆที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆของชามหินคล้ายกลิ่นข้าวคั่ว เมื่อรับประทานกับน้ำซุปร้อนๆทำให้อุ่นท้องได้อย่างน่าประหลาดใจ

    อาหารเรียกน้ำย่อย

    ข้าวต้มร้อนๆ

    หลังจากรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาเดินทางเข้าหอพัก จากร้านอาหารกับมหาวิทยาลัยไม่ไกลกันมากใช้เวลาไม่นานก็เดินทางมาถึง เมื่อรถบัสค่อยเคลื่อนผ่านประตูมหาวิทยาลัยเคมยอง (Keimyung University) เราถึงกับต้องร้องเพลงเพลงหนึ่งขึ้นมา Almost Paradise อา ชิม โบ ดา ทอ นุน บู ชิน  ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงประกอบซีรีส์เรื่อง Boy over flowers นั่นเอง 

    เพลง Paradise ศิลปิน T-Max

    #บันทึกการเดินทาง #แดกู #travel #daegu #korea


  • เมื่อลอดรั้วเข้าประตูมหาวิทยาลัยพื้นที่เป็นโดยรอบก็กลายเป็นเนินเขา รอบข้างเต็มไปตัวตึกเรียนรูปทรงและสีสันสวยงามดูคล้ายกันเต็มไปหมด รถบัสพาเราขึ้นไปตามเนินเขาจุดหมายคือหอพักที่จะเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของเรานับจากนี้ไปเป็นเวลากว่า 3 สัปดาห์ ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ที่ดูแลก็คอยบรรยายว่าแต่ละตึกเป็นคณะอะไรบ้าง ทุกคนต่างตื่นตาตื่นใจกับบรรายากาศรอบข้าง ในใจเรากำลังคิดว่าหลังจากทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยคงต้องลงมาสำรวจซะแล้ว! จนรถบัสของเรามาถึงที่หมายเจ้าหน้าที่ให้กุญแจกับแต่ละห้องและนัดหมายเวลาในวันพรุ่งนี้เสร็จสรรพ หลังจากนี้ก็เป็นเวลาอิสระสำหรับพวกเรา ได้เวลาสำรวจแล้ว!! 
    ประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยที่ที่ใครก็ต้องมาถ่ายรูป

    บรรยากาศในห้องพัก

    ห้องพักประกอบไปด้วย 3 เตียงนอน 3 โต๊ะเครื่องเขียน 1 ห้องน้ำและยังมีส่วนที่ไว้ใส่รองเท้าตรงประตูทางเข้า ไม่แน่ใจว่าภาษาเกาหลีเรียกว่าอะไรแต่ถ้าเป็นญี่ปุ่นจะเรียกส่วนตรงนี้ว่า Genkan ซึ่งโดยรวมแล้วกว้างพอสมควรหากเทียบกับหอพักนักศึกษาทั่วไป 

    วิวจากระเบียงห้องพัก

    หลังจากเก็บของให้เข้าที่เข้าทางแล้ว พวกเราจึงลงไปสำรวจในเมืองกัน อย่างแรกที่ต้องทำเลยคือจดจำทางที่เรามาเพราะกลัวว่าจะกลับมาที่หอพักไม่ถูกก็ตึกดันเหมือนๆกันไปหมด เราค่อยๆเดินลงเขาไปเรื่อยๆจนไปถึงหน้าประตูมหาวิทยาลัยฝั่งใต้ ที่เคมยองเป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่มากๆ ฝั่งที่เราไปบ่อยๆมีอยู่สองฝั่ง คือประตูทางใต้ (South gate) ฝั่งนี้มีร้านอาหารหลากหลายร้านซึ่งเรามักจะข้ามฝั่งไปกินข้าวกลางวันแถวนี้เพราะอยู่ใกล้กับตึกที่เราเร่ียนและประตูทางตะวันออก (East gate) เต็มไปด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ เสื้อผ้า เครื่องสำอาง เรียกได้ว่าครบจบในที่เดียวซึ่งทุกๆคนก็แนะนำให้ลองมาเดินฝั่งนี้กัน เพียงแต่ฝั่งนี้มีระยะทางไกลจากหอพักพอสมควร เราจึงตัดสินใจขึ้นรถไฟใต้ดินของแดกู จากสถานี Gangchang ซึ่งเป็นสถานีที่ใกล้ที่สุดจากจุดที่เราอยู่ นั่งไปลงที่สถานี Keimyung University แม้จะมีระยะห่างเพียงสถานีเดียวเท่านั้นแต่เราก็เลือกที่จะขึ้นรถไฟใต้ดิน เนื่องจากยังไม่คุ้นทางและดูจากแผนที่ที่ไกลพอสมควร นอกจากนี้คาดว่าต้องหลงอย่างแน่นอน พอมาถึงสถานีเราพยายามหาที่เติมบัตร T-money ซึ่งเรามีอยู่แล้วเพราะสั่งซื้่อมาตั้งแต่ที่ไทยจากทางเว็บ kkday  แต่เดินหาที่สถานีเท่าไรก็ไม่เจอแถมยังส่วนใหญ่ยังเป็นภาษาเกาหลีอีกต่างหาก เราจึงไปถามเจ้าหน้าที่แถวนั้นและทราบว่าเราจะต้องไปเติมเงินที่ร้านสะดวกซื้อเท่านั้นซึี่งต่างจากในโซลที่มีตู้เติมเงินที่สถานีเลย พวกเราเลยโดนไปกันคนละ 1,450 วอน ถ้าใช้บัตรจะเสียแค่ 1,250 วอนไม่ว่าระยะทางจะใกล้หรือไกลก็ราคาเดียวตลอดสาย ค่ารถไฟใต้ดินที่นี่ถือว่าถูกกว่าที่โซลมาก 

    เรานั่งมาถึงสถานี Keimyung University ออกทางออกที่ 7 ตอนแรกเราก็หลงไปเดินในซอยที่มีแต่ร้านอาหารซึ่งเงียบมากๆ เงียบจนเริ่มแปลกใจว่าเราคงเดินผิดแน่ๆแต่ยังมองในแง่ดีว่าสงสัยวันนี้วันอาทิตย์และส่วนใหญ่ปิดเทอมกันเลยไม่ค่อยมีคน แต่ความจริงแล้วเราต้องเดินเลียบถนนใหญ่ไปเรื่อยๆ สักพักจะเจอพวกร้านคาเฟ่ ร้านเสื้อผ้าจนไปถึงตรงหัวมุมที่เป็นร้าน The Face Shop ให้เลี้ยวเข้าไปทางถนนนั้น ทีนี้ก็จะถึงย่านสำหรับนักศึกษาเสียที  กว่าจะถึงย่านที่เป็นแหล่งช็อปปิ้งจริงๆก็เสียเวลาไปพอสมควร ขณะที่พวกเราซึ่งกำลังเพลิดเพลินกับการเดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจที่จะเดินต่อเพราะได้รับข้อความว่าให้กลับไปกินข้าวที่หอ โครงการที่เรามาเสียค่าใช้จ่ายโดยไม่รวมค่าเครื่องบินทั้งหมด 49,500 บาทซึ่งราคานี้รวมค่าเรียน ค่าที่พักและค่าอาหารแล้ว ในวันธรรมดาที่หอพักจะมีอาหารให้วันละสองมื้อ มื้อเช้ากับมื้อเย็น ส่วนสุดสัปดาห์จะมีอาหารให้สามมื้อและโรงอาหารก็เปิด-ปิดตามเวลา ด้วยความงกของเรา ฮ่าา ทำให้พวกเราตัดสินใจกลับไปกินข้าวที่โรงอาหารของหอพักซึ่งอยู่ใกล้ๆกับหอพักที่เราอยู่ นั่นหมายความว่าเราต้องไปให้ทันเวลาเปิด-ปิดด้วย เท่านั้นแหละวิ่งค่ะวิ่งงงง พอเรากลับขึ้นไปตามคำบอกทางของอาจารย์ที่ดูแลเพื่อไปยังโรงอาหารก็ใช้เวลาสักพัก กว่าเราจะเดินจากสถานีรถไฟใต้ดินกลับขึ้นไปข้างบนที่เป็นเขาสลับไปมาเล่นเอาหอบเลยทีเดียว แต่ยังโชคดีที่เข้าโรงอาหารทันอย่างฉิิวเฉียดทำให้เราได้กินอาหารมื้อแรกฉบับเด็กหอกัน
     อาหารหลุมมื้อแรก 
    มุมขวาด้านบนเป็นปลาทอดกับมายองเนสที่มีผักแล้วก็ไข่ผสมกัน อร่อยย ชอบนะแต่ได้กินแค่มื้อเดียวเอง เสียดายเขาไม่ค่อยทำ  

    ถาดหลุมของเกาหลีทางซ้ายช่องที่ใหญ่ๆจะเอาไว้ใส่ข้าว () ซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวเกาหลี ส่วนช่องกลมๆจะไว้ใส่ซุปที่ภาษาเกาหลีเรียกว่า 국 ซึ่งคำว่าซุปในภาษาเกาหลีมีสองคำ อีกคำหนึ่งคือ 찌게เช่น ซุปกิมจิ (김치찌게) นอกจากนี้ยังมีพวกเครื่องเคียงอย่างกิมจิและสลัดผักต่างๆ 

    ทางขึ้นไปโรงอาหารหอพัก

    ทางลงไปประตูทางใต้

    บรรยากาศในมหาวิทยาลัย 


    #บันทึกการเดินทาง #แดกู #travel #daegu #korea




  • เข้าสู่เช้าวันที่สองของการใช้ชีวิตที่แดกู แน่นอนว่าการสายตั้งแต่วันแรกคงไม่ใช่เรื่องที่ดีเราจึงตื่นเช้าหน่อย นัดหมายของวันนี้คือทุกคนจะต้องมารวมตัวกันที่ล็อบบี้หอ จากนั้นเจ้าหน้าที่จะพาไปยังตึกเรียนเพื่อทำการปฐมนิเทศและทำพิธีเปิดโครงการซัมเมอร์แคมป์อย่างเป็นทางการ พวกเราจึงต้องแต่งชุดนักศึกษากัน หลังจากทานมื้อเช้าที่โรงอาหารเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ก็พาพวกเรานักศึกษาชาวไทยค่อยๆลงเขาไปด้านล่าง เช้าวันนี้อากาศค่อนข้างเย็นสบายฝนตกพรำๆ ท้องฟ้าขมุกขมัว ทำให้ตอนเราเดินไปยังตึกเรียนที่อยู่เกือบติดถนนใหญ่ไม่เหนื่อยมาก 
    มื้อเช้าของวัน

    เมื่อพิธีปฐมนิเทศเสร็จสิ้นก็เข้าสู่การทดสอบเบื้องต้นเพื่อดูว่าเราจะได้เรียนในระดับไหน หลังจากการทดสอบแล้วเราก็แยกย้ายกันไปตามที่วัดระดับได้ สำหรับห้องเรียนของที่นี่ค่อนข้างเล็ก นักเรียนในคลาสหนึ่งมีประมาณ 10 - 12 คนเพื่อให้อาจารย์ดูแลได้อย่างทั่วถึง ในส่วนของการเรียนการสอน เราจะเรียนกันวันละ 4 ชั่วโมงตั้งแต่ 9.00 ถึง 13.00 จันทร์ถึงศุกร์ ภายใน 4 ชั่วโมงนี้มี 3 พักคือพักยิบพักย่อย และอาจารย์หรือซอนแซงนิมที่ีนี่ตรงเวลาทุกครั้งไม่ว่าจะเริ่มเรียน ปล่อยพักหรือเลิกเรียน ซอนแซงนิมแต่ละคลาสมี 2 ท่านซึ่งจะแบ่งกันสอนคนละครึ่ง เรามีเวลาพักประมาณ 1 ชั่วโมง ช่วงบ่ายจะเป็นชั่วโมงเรียนวัฒนธรรมโดยแต่ละวันจะแตกต่างกันไปซึ่งบางวันก็เปลี่ยนจากคลาสวัฒนธรรมเป็นการพบปะเพื่อนชาวเกาหลี ช่วงเย็นในบางวันทางค่ายมีพาไปเที่ยวนอกสถานที่ เป็นการทำกิจกรรมหลังเลิกเรียน นอกจากนี้ยังมีบางวันที่ไปทัศนศึกษานอกสถานที่ เป็นตารางเรียนและกิจกรรมที่อัดแน่นแบบเรียกว่า study hard, play harder จริงๆ 
    บรรยากาศในห้องเรียนภาษาเกาหลี

    ในคลาสเรียนเนื่องจากเป็นวันแรกส่วนใหญ่จึงเป็นการแนะนำตัวและทบทวนบทเรียน ช่วงพักกลางวันมีบัดดี้ชาวเกาหลีมาคอยแนะนำสถานที่ในมหาวิทยาลัยคร่าวๆซึ่งสถานที่สำหรับรับประทานอาหารกลางวัน กลุ่มของเราตกลงกับบัดดี้ว่าจะไปกินข้าวนอกมหาวิทยาลัยกัน เป็นร้านที่อยู่ตรง south gate ข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่งก็จะถึง อาหารจะเป็นเซ็ตมีหมึกผัดเผ็ด พิซซ่าชีสจิ้มน้ำผึ้ง ซุปเย็น และสลัด 
    หมึกผัดเผ็ด
    หมึกตัวเล็กๆผัดกับซอสโรยด้วยงา กินแล้วกรุบๆ

    พิซซ่าชีส
    พิซซ่าชีสล้วนๆไม่มีอย่างอื่นผสมแถมยังจิ้มกับน้ำผึ้งอีก น้ำผึ้งที่นี่สีจะใสๆไม่เหมือนบ้านเรา

    ซุปเย็น
    ซุปเย็นเป็นอะไรที่งงมาก เพราะดูจากรูปลักษณ์ภายนอกเป็นซุปซึ่งคาดหวังว่าจะร้อน แต่ตอนคนๆซุปก็เอ๊ะใจทำไมมันมีเกล็ดน้ำแข็ง พอกินเท่านั้นแหละหายสงสัยเลย ซุปเย็นนี่เองงงง แปลกๆดีเหมือนกันนะ

    คุณป้าที่ร้านน่ารักมากเลยเขาดูกังวลกับนักเรียนต่างชาติอย่างเรามาก เข้ามาถามใหญ่เลย ใครกินเผ็ดไม่ได้บ้าง กินเผ็ดกันระดับไหน เอาเป็นเซ็ตแบบนี้มั้ย อะๆคนไม่กินเผ็ดมานั่งโต๊ะนี้นะ คือคุณป้าคุยกับบััดดี้จนเราคิดว่าเขาทะเลาะกัน คงเพราะเป็นสไตล์การพูดของคนเกาหลีล่ะมั้ง พวกเราเด็กไทยนั่งงงกันไปตามๆกัน แต่สุดท้ายก็ตกลงกันได้และได้กินหมึกสมใจ
    อาหารกลางวัน 
    ถ้าจำราคาไม่ผิดมื้อนี้ราคาอยู่ที่คนละ 9,900 วอน

    ทานอาหารกลางวันกันเสร็จเรียบร้อยก็ต้องรีบวิ่งกลับไปยังตึกเรียน เนื่องจากช่วงบ่ายทางค่ายจะพานั่งรถบัสชมรอบๆมหาวิทยาลัยกัน เริ่มต้นด้วยการพาเราไปทำกิจกรรมเพ้นท์แก้วกัน บอกเลยว่างานวาดรูปไม่ใช่งานถนัดของเราเลย 

    แบบวาดเป็นลายดอกไม้

    เสร็จจากการเพ้นท์แก้วเราก็ได้เดินดูพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัยนิดหน่อย จากนั้นรถบัสก็พาเราไปยังโบสถ์ของมหาวิทยาลัย เนื่องจากเคมยองเป็นมหาวิทยาลัยคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ หรือที่เรียกว่าชาวคริสเตียน ทำให้ภายในมหาวิทยาลัยมีโบสถ์อยู่หลายแห่ง

    บรรยากาศภายในโบสถ์

    วิวจากโบสถ์ที่อยู่บนภูเขามองลงไปข้างล่าง

    กิจกรรมช่วงบ่ายก็จบลงที่โบสถ์หลังนี้ ระหว่างที่รถบัสกลับไปส่งเราที่หอฝนตกตลอดทางเลย เราจึงกินข้าวเย็นกันที่โรงอาหารรอจนฝนหยุดตกแล้วจึงเข้าเมืองกันนน

    อาหารหลุมอีกมื้อ 
    ถ้วยสีขาวที่อยู่ด้านบนเป็นของหวาน ลักษณะเป็นน้ำๆเหมือนจะเป็นนมกล้วยโฮมเมด คาดว่าคงเป็น
    กล้วยที่เหลือจากมื้อเช้า

    ได้เวลาเข้าเมืองกันแล้ววว เรานั่งรถไฟใต้ดินจากสถานี Gangchang (สายสีเขียว)
    ไปลงสถานี Dongdaegu (สายสีแดง) ดยต้องเปลี่ยนจากสายสีเขียวเป็นสายสีแดงที่สถานี Banwoldang จึงจะถึงสถานี Dongdaegu ซึ่งสถานีนี้เชื่อมกับสถานีรถไฟของแดกูที่ใช้เดินทางไปเมืองอื่นๆ โดยสถานี Dongdaegu ให้บริการรถไฟ 3 ประเภท ประกอบไปด้วย รถไฟความเร็วสูง KTX (Korea Train Express)  รถไฟแบบด่วน ITX Saemaul และ รถไฟธรรมดา Mugunghwa ซึ่งถ้าเราจะเดินทางเข้าโซลหรือปูซานก็ต้องมาขึ้นรถที่สถานีนี้ วันนี้เราจะมาสำรวจการเดินทางเข้าโซลกัน เนื่องจากตอนเช็ครอบการเดินรถไฟจากในเว็บ Korail แล้วไม่ขึ้นรอบที่ต้องการจึงต้องมาดูที่สถานีเอง 

    ด้านหน้าสถานี Dongdaegu 

    หลังจากดูรอบรถไฟเรียบร้อย เราก็เดินสำรวจกันในสถานีต่อ ที่นี่ครบครันไปด้วยร้านอาหาร ร้านขนม ร้านหนังสือ ระหว่างนั้นเจอร้านกงชา (Gongcha) เลยแวะเข้าไปสักหน่อย คิดถึงอะ กงชาเป็นร้านชานมไข่มุกสัญชาติไต้หวันที่ตอนนี้มีเฟรนไชส์อยู่ในหลายประเทศ หนึ่งในนั้นคือเกาหลี  ไม่ได้กินนานยังอร่อยเหมือนเดิม ถึงจะสั่งผิดๆถูกๆก็เถอะ ตอนแรกเราจะสั่งร้อน แต่ดันได้เย็นแถมไข่มุกให้ด้วย งงไปเลยจ้า คือพนักงานถามว่า พอต เรานึกว่าเขาพูดภาษาอังกฤษว่า Hot สรุปไม่ใช่เราเพิ่งมาเห็นในเมนูว่ามันคือ 펄 (พอล) ซึ่งน่าจะมาจาก pearl ในภาษาอังกฤษ หมายถึงไข่มุกนั่นเองง ฮาาาาาา ครั้งหน้าจะไม่สั่งผิดแล้วจ้า แต่เอาเถอะ อร่อยอะยอมมม

    อู่หลงมิลค์ที
    หอมชาอู่หลงอะ อยากให้ลอง

    เมนูจากร้านกงชา 

    เดินออกมาข้างนอกสถานีก็จะถึง ห้าง Shinsegae ที่รักของเรา เรามาห้างนี้บ่อยมากๆๆๆๆ ชอบอะ ห้างมีหลายชั้น หลายตึก ตึกหลักมีด้วยกัน 9 ชั้น นอกเหนือจากที่ห้างทั่วไปมีแล้วที่นี่ยังมีสวนสัตว์และอคาวเรียมด้วย นอกจากนี้ช่วงที่เราไปยังมีส่วนลดเกือบทั้งห้าง แถมยัง tax refund  ได้ที่ห้างเลยด้วย
    แต่ห้างสรรพสินค้าที่เกาหลีค่อยข้างปิดเร็ว ห้างชินเซเกะเปิดให้บริการตั้งแต่ 10.30 - 20.00
    และเนื่องจากวันนี้เรามาก็เย็นแล้ว เราเลยไปเดินอีกตึกหนึ่งซึ่งเชื่อมกับตึกหลักของห้าง ตึกนี้ปิดประมาณ 22.00 น. เอาเข้าจริงเดินแค่ไม่กี่ร้านหรอกเพราะกว่าจะออกจากร้านหนึ่งได้ก็ใช้เวลาพอสมควร พอใกล้ถึงเวลาต้องกลับเราจึงเดินออกมาเพื่อขึ้นรถไฟใต้ดินกลับหอเช่นเคย จากสถานี dongdaegu กลับไปสถานี gangchang จากนั้นเดินขึ้นหอไปอีก กลับมาทันเวลาเช็คชื่อพอดี กฎของที่หอคือทุกคนต้องกลับมาเช็คชื่อให้ทันทุกคืนซึ่งจะเริ่มเช็คชื่อกันตอน 5 ทุ่ม (บางวันก็เช็คชื่อเลทขึ้นอยู่กับอารมณ์คนคุมหอ) และเวลาเคอร์ฟิวจริงๆคือ 5 ทุ่มครึ่งตึกจะปิดเวลานั้น ทำให้เราต้องเป็นเด็กดีกลับดึกมากไม่ได้ 

    สถานี dongdaegu
    พูดถึงรถไฟใต้ดินของที่นี่ ประทับใจเหมือนกันนะอยากให้เมืองไทยมีบ้าง อย่างแรกเลยคือห้องน้ำในสถานีทีี่มีเยอะมากๆ และมีหน้าจอโทรทัศน์ที่คอยบอกว่าตอนนี้รถไฟอยู่สถานีอะไรแล้ว ใกล้จะถึงสถานีที่เราอยู่รึยัง ถ้ารถไฟใกล้ถึงแล้วเพลงจะมาก่อนเลยเพื่อบอกว่ารถไฟจะถึงชานชาลาแล้วนะ นอกจากนี้ที่ีนี่มักจะใช้เพลงเพื่อบอกว่าต่อไปใกล้จะถึงสถานีใหญ่ๆแล้ว อย่างสถานีที่เปลี่ยนสายได้ หรือสถานีที่เป็นย่าน Downtown เราว่ามันสะดวกมากเลย สิ่งที่ต่างจากไทยก็คือที่นี่ดื่มน้ำได้ทั้งในสถานีและในขบวน
    รถไฟ และในสถานีเองก็มีร้านค้าเต็มไปหมดเลย ไม่ว่าจะร้านอาหารจานด่วนเล็กๆ ร้านขนมปัง แม้แต่ไดโซะก็อยู่ในสถานี ตรงชานชาลาที่รอรถไฟบนพื้นก็มีบอกด้วยว่าโบกี้นี้มีที่นั่งสำหรับผู้สูงอายุ และอีกอย่างที่ประทับใจคือทางสำหรับผู้พิการหรือผู้สูงอายุ คนเหล่านี้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติเหมือนคนทั่วไปเลย เพราะระบบของประเทศเขาที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต เอาจริงๆทุกครั้งที่ขึ้นรถไฟใต้ดินจะเห็นคุณตาคุณยายเดินทางเองกันทั้งนั้น บ้างก็มาคนเดียว บ้างก็มาเป็นกลุ่มเพื่อน บ้างก็มากันสองคนตายาย เห็นแล้วเราก็แอบอิจฉานะ อยากให้ระบบของไทยพัฒนาไปมากกว่านี้ 

    กลับมาถึงหอเช็คชื่อเรียบร้อยปาเข้าไปเที่ยงคืนกว่าแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าอีก นอนดีกว่า...และก็หมดไปอีกวันกับชีวิตในแดกู

    #บันทึกการเดินทาง #แดกู #travel #daegu #korea


  • เช้าวันต่อมา...เริ่มต้นด้วยมื้อเช้าที่โรงอาหารเช่นเคย
    มื้อเช้าของวัน 
    น้ำซุปอร่อยยย

    วันนี้เข้าสู่การเรียนอย่างจริงจัง เรียนวันละ 4 ชั่วโมงก็แอบสูบพลังเหมือนกันนะ ยังดีที่ซอนแซงนิมน่ารัก สอนเข้าใจง่าย ถึงจะสอนด้วยภาษาเกาหลีล้วนๆแต่หากไม่เข้าใจตรงไหน ซอนแซงนิมก็พร้อมที่จะอธิบายให้ฟังใหม่เสมอ 

    ช่วงพัก

    เรียนเสร็จแล้ววันนี้เราลองไปกินข้าวที่โรงอาหารในมหาวิทยาลัยกัน โรงอาหารนี้เดินไม่ไกลจากตึกเรียนนัก วิธีการสั่งอาหารของที่ีนี่คือด้านหน้าโรงอาหารจะมีเมนูบอกไว้ว่าวันนี้มีอะไรบ้าง จากนั้นเลืิอกเมนูที่ต้องการไปบอกคุณป้าประจำเคาน์เตอร์เก็บเงิน คุณป้าจะคิดราคาอาหารและให้ใบคูปองมา เราจะต้องนำคูปองใบนี้ไปให้ตามมุมอาหารที่เราเลือกไว้ ในโรงอาหารมีประมาณ 4 มุม เช่น มุม A จะเป็นเมนูจำพวกทงคัตสึ บิบิมบัม และข้าวต่างๆ ส่วนมุม B เป็นพวกรามยอน ก๋วยเตี๋ยวต่างๆ เป็นต้น เราต้องยื่นคูปองพร้อมกับบอกชื่อเมนูที่ต้องการ จากนั้นนำถาดอาหารมาวางรอไว้ ถ้าเสร็จแล้วคุณป้าจะนำอาหารมาวางให้เราเอง ครั้งแรกเราก็งงๆเหมือนกันเพราะไม่ได้เอาถาดมาวางไว้ คุณป้าเลยจัดการให้เราเสร็จสรรพ และปัญหาในการสั่งอาหารคือต้องบอกชื่อเมนูตั้งสองรอบเพื่อไม่ให้ลืมเราเลยต้องถ่ายชื่อเมนูไว้ และท่องไปบอกคุณป้า ฮ่าๆ 

    เมนูอาหารประจำวัน
    ส่วนใหญ่ราคาอาหารที่โรงอาหารนี้จะอยู่ที่ 3,000 - 4,000 วอนซึ่งถือว่าไม่แพงมาก หากเทียบกับราคาอาหารข้างนอกมหาวิทยาลัย

    บิบิมบัม 
    สั่งเมนูที่เซฟๆก่อนแล้วกัน สรุปว่ามีแต่ผัก เฮลตี้ไปอีกกกกกก ฉันต้องการโปรตีน

    ช่วงบ่ายของวันนี้เป็นฟรีไทม์และเราจะรวมตัวกันอีกทีตอนเย็น 4 โมงเพื่อเข้าไปย่านดาวน์ทาวน์ของเมืองกัน การเดินทางใช้รถไฟใต้ดินเช่นเคยแต่ครั้งนี้ไปกับอาจารย์และบััดดี้เกาหลี เริ่มต้นจากสถานี Gangchang ไปยังสถานี Banwoldang ออกทางออก 13 เดินขึ้นมาแล้วตรงไปเรื่อยๆ จนเห็นที่คล้ายๆป้อมตำรวอยู่ทางขวามือให้เลี้ยวเข้าไปในนั้น ย่านดาวน์ทาวน์ของเมืองแดกู เรียกว่า ดงซองโร (동성로) หรือถนนดงซองนั่นเอง เป็นย่านที่เราไปบ่อยอีกเช่นกันและยังเป็นสถานที่ที่เข้าแล้วออกไม่ได้ด้วย เหตุก็เพราะมัวแต่ช็อปปิ้งจนลืมเวลา ทุกคนในค่ายมักจะถามว่า วันนี้มีแพลนจะไปไหนกัน เรามักจะตอบว่า ชีเนๆ (시내) หมายถึง Downtown ซึ่งก็คือย่านนี้นี่เอง เขาว่ากันว่าย่านนี้เปรียบเหมือนเมียงดงของแดกูเลยล่ะ แต่ในความคิดเรานะ เราว่าที่นี่ใหญ่กว่าเมียงดงเยอะเลย เสื้อผ้าก็ถูกกว่ามากๆ ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่ 4,500 วอน ซึ่งราคาในโซลจะแพงกว่า 

    บรรยากาศย่านดงซองโร

    เราเดินทางกันเป็นกลุ่มที่แบ่งกันไว้ เดินตามบัดดี้ไปเรื่อยๆ เขากังวลว่าพวกเราจะหลงมากๆตัวติดกันตลอด ถ้าอยากเข้าร้านอะไรให้บอกบัดดี้เดี๋ยวจะพาไป (คือเราอยากเดินเที่ยวเองแล้วอะ ใจร้อนอะใจร้อน คันไม้คันมือ) จนมาถึงใจกลางของย่านที่ๆคนมักจะมานัดเจอกันมากที่สุดเพราะหาง่าย ที่ีนี่เป็นลานกิจกรรมกว้างๆ มีเวทีขนาดกลางสำหรับทำกิจกรรมซึ่งอยู่หน้าห้างสรรพสินค้าแดกู (Daegu Department Store) ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะย่อเหลือแค่ แดแบก (DaeBaek) มาจากการรวมคำเข้าด้วยกัน คือคำว่า 구 และ 화점 ซึ่งแปลว่า ห้างสรรพสินค้า คิดว่าหลายคนคงจะเคยผ่านตาที่นี่บ้าง เพราะที่นี่มักใช้เป็นสถานที่จัดงานแฟนไซต์ โดยเราใช้บริเวณนี้เป็นจุดนัดพบและเราต้องมารวมตัวกันตอนทุ่มครึ่งเพื่อที่บััดดี้จะพาเราไปกินข้าวเย็น และแล้วก็ถึงเวลาฟรีไทม์ที่รอคอยยยยยยยยย 

    ตรอกซอกซอยในย่านดงซองโร
    ในซอยก็มีร้านรวงเต็มไปหมด

    ช่วงเวลาช็อปปิ้งไทมม์ ไม่มีใครห้ามใครกันเลย ด้วยความที่ซื้ออย่างไม่มีสติทำให้ลืมขอ tax refund มาจนได้ ฮือออ ฉะนั้นก่อนจะซื้อของทุกครั้งอย่าลืมถามว่ามี tax refund มั้ยและอย่าลืมขอด้วยนะคะะะ คิดว่าถ้าเป็นในโซลหากเราซื้อครบ 15,000 วอนจะสามารถขอรีฟันได้เลยซึ่งพนักงานประจำร้านส่วนใหญ่จะรู้และทำให้เลย แต่ที่แดกูอาจจะไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวอย่างโซลทำให้บางย่านไม่มีรีฟัน และเวลาจะขอรีฟันต้องพูดว่า tax free เพราะเราพยายามพูดว่า tax refund หลายครั้งแต่เหมือนเขาจะไม่เข้าใจ พอเป็น tax free ปุ๊บเข้าใจทันทีเลย

    ถึงเวลารวมตัวกันแล้ว บัดดี้พาเราไปกินทัคคาลบิที่ร้าน 고기오 ทัคคาลบิเป็นเมนูไก่ที่นำไปผัดกับซอสและข้าวหรือไม่ก็เส้นรามยอนแล้วแต่เราจะสั่ง ร้านนี้ต้องสั่งเป็นเซ็ตอีกเช่นเคย เซ็ตหนึ่งสำหรับ 3 - 4 คน เราเคยกินที่ไทยพนักงานจะมาผัดให้ แต่ที่นี่เขาผัดมาให้เรียบร้อยแล้ว ยังมีสลัดบาร์และเครื่องเคียงไว้บริการตัวเอง ร้านนี้เขากินสลัดโรยคอนเฟลกด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะเข้ากัน

     ทัคคาลบิชีส

    สลัดโรยคอนเฟลก

    ไก่ๆๆ

    อิ่มท้องกันแล้วก็ถึงเวลากลับหอแล้ว นั่งมาลงสถานีเดิม Gangchang แต่ครั้งนี้อาจารย์บอกว่าถ้ามาจากรถไฟใต้ดินให้ออกทางออก 1 จะใกล้หอมากกว่า โอ้โหหห ที่ผ่านมาคือเดินอ้อมสินะ ทำไมทางลึกลับเยอะจัง 
    ดงซองโรยามกลางคืน


    #บันทึกการเดินทาง #แดกู #travel #daegu #korea

  • วันที่ 4 แล้วว ต้อนรับด้วยมื้อเช้าของวัน

    ซุปกิมจิ 

    ตารางของวันนี้ช่วงเช้าเรียนตามปกติและช่วงบ่ายเป็นชั่วโมงเรียนวัฒนธรรมเกาหลี วันนี้พวกเราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับชุดฮันบกและมารยาทของชาวเกาหลีกัน แต่ก่อนจะไปเรียนเราต้องเติมพลังกันด้วยมื้อกลางวันก่อน 

    มันดูรามยอน
    หนักแป้งอีกแล้ว แต่อร่อยนะ กินแล้วถ่ายดีด้วยไม่รู้ทำไมสงสัยว่าคงจะเป็นเพราะน้ำซุป

    ชั่วโมงเรีัยนวัฒนธรรมวันนี้ซอนแซงนิมอธิบายถึงชุดประจำชาติเกาหลีอย่างชุดฮันบกกัน ชุดฮันบกมีหลายประเภทสีสันแตกต่างกัน ปัจจุบันมีฮันบกแบบใหม่ที่ใส่แล้วคล่องตัวและยังร่วมสมัยอีกด้วย โดยผู้ชายสวมเสื้อนอกที่เรียกว่า ชอกอรี  และกางเกงขายาวเรียกว่า พาจิ  ส่วนผู้หญิงสวมเสื้อนอก (ชอกอรี) เช่นกัน และกระโปรงเรียกว่า ชีมา ซึ่งเสื้่อนอกมีลักษณะสั้นและกระโปรงจะยาวเพื่อพลางหุ่นให้ดูสูงขึ้นนั่นเอง นอกจากนั้นซอนแซงนิมยังสอนถึงวิธีการแสดงความเคารพด้วยการโค้งคำนับแต่ละระดับและจำลองพิธีแต่งงานของคู่บ่าวสาวชาวเกาหลีให้เห็นถึงธรรมเนียมปฏิบัติอีกด้วย โดยในพิธีแต่งงานจะมีการรับรองแขกด้วยขนมที่ทำจากแป้งและน้ำชา

    โต๊ะที่ใช้ในพิธีแต่งงาน

    น้ำชา 
    ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นชาขาว เขาบอกว่าดื่มแล้วผิวจะดี 

    น้ำชาและขนมเกาหลี 
    เราว่าคล้ายๆของญี่ปุ่นเลย

    หลังจากจบชั่วโมงเรียนวัฒนธรรมช่วงเย็นเรากลับไปที่ห้าง Shinsegae อีกครั้ง เพราะครั้งที่แล้วไปห้างก็ใกล้จะปิดแล้ว 

    จากห้างชินเซเกะมองลงไปข้างล่าง

    ที่ห้างมีร้าน Kakao Friends ด้วยยย น้องน่ารักมากเลย

    ถ้าจำไม่ผิดอยู่ชั้น 8 ของห้าง 

    นุ้งไรอันนนนนน

    มื้อเย็นเราลองไปกินที่ร้านในสถานี KTX แหละ อาหารอร่อยเลยแหละ เราชอบร้านอาหารเกาหลีที่ช้อนตะเกียบจะอยู่ในลิ้นชักของโต๊ะสะดวกดี น้ำยังฟรีด้วย โต๊ะละขวดไปเลยจ้า

    ข้าวกับเนื้อแฮมเบิร์ก

    #บันทึกการเดินทาง #แดกู #travel #daegu #korea
  • เริ่มต้นวันด้วยมื้อเช้าสุดเฮลตี้

    เนื้ออร่อยอีกแล้ว 

    วันนี้เป็นวันที่มีอากาศร้อนมากทีเดียว ถึงขนาดที่ส่งข้อความแจ้งเตือนเลยและเสียงเตือนที่เหมือนเสียงไซเรนทำเราตกใจมากเพราะมันดังขึ้นพร้อมกันตอนกำลังเรียนอยู่

    ข้อความที่ส่งมาเตือนเรื่องอากาศร้อน

    ที่สำคัญช่วงบ่ายวันนี้เรามีทริป Daegu City Tour กัน!

    เริ่มจากการใช้บริการรถไฟใต้ดินจากสถานี Gangchang ไปลงที่สถานี Banwoldang เหมือนเดิม โดยออกทางออก 18 ซึ่งจะเจอกับห้างฮุนได (Hyundai Department Store)  เนื่องจากช่วงที่เราไปเป็นช่วงหน้าร้อนทางห้างจึงมีการจัดมุมถ่ายรูปหน้าห้างเป็นกระทะไข่ดาว กรวยจราจร รองเท้าแตะที่ละลายแล้ว ซึ่งตอนหลังได้ยกออกไปแล้วเพราะถือเป็นการขีดขวางทางเท้า

     ร้อนจนไข่สุก


    รองเท้าแตะละลาย

    แต่จุดหมายครั้งนี้ของเราไม่ใช่การเดินห้างแต่อย่างใด แต่เป็นพิพิธภัณฑ์สมุนไพร Yangnyeongsi Museum of Oriental Medicine ซึ่งภายในมีนิทรรศการเกี่ยวกับสมุนไพร ร้านขายยาสมุนไพร และบริการแช่เท้าในน้ำสมุนไพรอีกด้วย (เสียดายตอนไปถึงทางพิพิธภัณฑ์ใกล้จะปิดแล้วเลยไม่ได้แช่เท้า) 

    ทางเข้าพิพิธภัณฑ์

    ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์

    มีให้ชิมน้ำสมุนไพรด้วย กินยาจีนเลยแหละ

    สถานที่ต่อไปเดินไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์ซึ่งที่เราจะไปคือ The First Presbyterian Church of Daegu (대구제일교회) โบสถ์นิกายโปรแตสแตนท์เก่าแก่ถูกสร้างขึ้นในปี 1898 (Daegu Jeil Church, 2561) 
    The First Presbyterian Church of Daegu 

    ตามมาด้วย Gyesan Catholic Church เป็นโบสถ์ศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกที่มีบทบาทสำคัญแห่งหนึ่งในแดกู สร้างด้วยไม้ที่ลักษณะการตกแต่งเป็นแบบเกาหลีภายหลังถูกไฟไหม้ ทำให้หลังจากนั้นไม่นานมีการก่อสร้างขึ้นใหม่และมีการนำเข้าวัสดุก่อสร้างอย่างกระจกสเตนกลาสและเหล็กกันสนิมจากต่างประเทศอย่างฝรั่งเศสและฮ่องกงด้วย (Daegu Gyesan Catholic Church, 2561) 

    Gyesan Catholic Church

    เมื่อข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามของโบสถ์ Gyesan จะพบกับบันไดประวัติศาสตร์ 3.1 Movement Stairs (3.1운동계단) ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำเรื่อง What’s Wrong With Secretary Kim (김비서가 왜 그럴까) บันไดนี้เป็นอนุสรณ์เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกาหลีเคลื่อนไหวต่อต้านญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 
    1 มีนาคม 1919 (3.1 Movement Stairs, 2561)

    จาก Gyesan Catholic Church ข้ามถนนไปจะเจอบันได 
    3.1 Movement Stairs 

    บันได  3.1 Movement Stairs ในเรื่อง What’s Wrong With Secretary Kim

    เมื่อขึ้นบันไดไปจะพบว่าด้านบนสวนเล็กๆร่มรื่น ดอกไม้ต่างพากันเบ่งบานแข่งกันอวดสีสัน และยังมีบ้านที่สร้างจากอิฐแดงตั้งอยู่อีกด้วย ไกด์ของเราบอกว่าที่แห่งนี้ใช้ถ่ายทำซีรีส์หลายเรื่องเหมือนกัน เช่น Love Rain ( 사랑비) ทัี่นำแสดงโดยจางกึนซอกและอิมยุนอา เป็นต้น 

    ดอกลิลี่

    จุดหมายถัดไปเราจะไปเดินตลาดนัดกลางคืนกัน จากที่ที่เราอยู่เดินตามกันไปเรื่อยๆใช้เวลาสักพักก็มาถึง  ตลาดซอมุน (서문시장) หนึ่งในตลาดที่สำคัญในสมัยโชซอน มีชื่อเสียงในเรื่องของประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ปัจจุบันตลาดแห่งนี้ขายของจำพวกเสื้อผ้า ผ้าไหม สิ่งทอ เครื่องเงิน และอาหารทะเลตากแห้ง (Seomun market, 2561) ในขณะที่ช่วงกลางคืนเป็นถนนคนเดินขายอาหารสตรีทฟู๊ด ช่วงที่เราไปถึงก็เป็นเวลาทุ่มนึงแล้วเปิดตลาดพอดี บริเวณที่ขายอาหารส่วนใหญ่จะอยู่ตรงถนนหลักไล่ยาวไปจนสุดถนนอีกฝั่งหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีโต๊ะที่นั่งสำหรับรับประทานอาหารและเวทีคอนเสิร์ตเล็กๆเล่นดนตรีให้ฟังในระหว่างที่ชาวแดกูจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ขณะรับประทานอาหาร ดื่มเบียร์ไปด้วย 

    Seomun Market 

    ตลาดเพิ่งเปิดเลย

    ตอนแรกที่เราเข้าไปดูรูปของตลาดตามเว็บไซต์ต่างๆดูใหญ่มากเลยนะ แต่เอาเข้าจริงเราว่าถ้าเป็นตลาดกลางคืนเจเจกรีนบ้านเราน่าจะใหญ่กว่า ขายของหลากหลายกว่าด้วย บรรยากาศยามค่ำคืนยิ่งดึกคนยิ่งเยอะ ยิ่งคึกคักขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งครอบครัวที่จูงลูกจูงหลานมา กลุ่มวัยรุ่น คู่รักที่เดินมากระหนุงกระหนิงกันไป เราเดินเลือกอาหารกันไปเรื่อยๆ เสร็จแล้วก็หามุมเหมาะๆแล้วนั่งกินของที่ซื้อมา ซึมซับบรรยากาศรอบข้าง นั่งดูวิถีชีวิตของคนเกาหลีที่แดกู 

    เกี๊ยวเห็นสองชิ้นแค่นี้อิ่มเหมือนกันนะ

    ไส้ย่าง

    หลังจากเสร็จภารกิจที่ทำให้อิ่มท้องแล้วก็ถึงเวลากลับหอ โดยขึ้นรถไฟใต้ดินสถานี Sinnam ไปลงที่ สถานี Gangchang เช่นเคย ยังไม่ลืมที่จะออกทางออก 1 เพื่อจะได้เดินกลับหอให้ใกล้ขึ้นกว่าเดิม และแล้วก็จบไปอีกหนึ่งวันในแดกู

    #บันทึกการเดินทาง #แดกู #travel #daegu #korea
  • เช้าวันใหม่ที่ไม่มีเรียน เพราะเราจะไปทัศนศึกษากันที่เมืองใกล้เคียงนั่นก็คือ คยองจู เราออกเดินทางกันโดยรถบัสตั้งแต่เช้าเวลา 8 โมงนั่นทำให้เราต้องตื่นเช้ากว่าปกติ แต่เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาเพราะถ้าเป็นเรื่องเที่ยวล่ะก็...เช้าแค่ไหนก็ไม่กลัว 

    คยองจู (Gyeongju)  ตั้งอยู่ที่ไม่ไกลจากแดกู ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าก็เดินทางมาถึง คยองจูเป็นเมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์เนื่องด้วยเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรชิลลาและอาณาจักรรวมชิลลา เราเริ่มต้นการมาถึงคยองจูด้วยการไปดูหมู่บ้านเกาหลีโบราณฮันอกที่ Gyochon Traditional Village (경주 교촌마을) ซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้เป็นบ้านของตระกูลชเวที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมโดยไม่เสียเงิน

    รอบๆบ้าน

    ลักษณะบ้านฮันอก

    จากหมู่บ้านฮันอกนั่งรถบัสไปไม่นานก็มาถึงพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติคยองจู (Gyeongju National Museum 국립경주박물관) พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงโบราณวัตถุทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในสมัยอาณาจักรชิลลา 

    จารึกอักษรในสมัยนั้น

    ไฮไลท์สำคัญของพิพิธภัณฑ์ มงกุฎทอง  

    หลังจากทัวร์พิพิธภัณฑ์จบเราก็ไปทานข้าวกลางวันกันโดยที่มื้อนี้พวกเราจะเป็นคนลงมือทำเอง นั่งรถบัสไปไม่ไกลก็มาถึงโรงเรียนสอนทำอาหารเกาหลีที่มีชื่อว่า Lasonjae (한국역사문화음식학교 라선재) เมนูที่เราจะทำกันในวันนี้คืิอ บิบิมบัมหรือข้าวยำเกาหลีนั่นเอง วิธีการทำเริ่มต้นจากหั่นผักต่างๆซึ่งประกอบไปด้วย แครอท ถั่วงอก เห็ดหอม แตงกวา ในส่วนของแตงกวาเราจะใช้แค่เปลือกของมัน จากนั้นนำผักที่หั่นแล้วและเนื้อไปผัดกับน้ำมันงา ต่อมาทอดไข่ดาวเตรียมไว้ และสุดท้ายนำวัตถุดิบทุกอย่างวางเรียงกันบนข้าวร้อนๆ  เหยาะซอสโคชูจังและโรยด้วยงาด้านบนเป็นอันเสร็จ จากขั้นตอนการทำฟังดูเหมือนง่ายแต่กว่าจะทำเสร็จใช้เวลาเหมือนกัน เนื่องจากส่วนประกอบยิบย่อยและด้วยทักษะการทำอาหารที่เป็นศูนย์ทำให้ยิ่งช้าไปอีก แต่สุดท้ายก็สามารถทำอาหารกลางวันได้สำเร็จและกินกันอย่างเอร็ดอร่อย
    วัตถุดิบ

    เสร็จแล้ว!

    จบมื้อกลางวันไปต่อกันที่สวนน้ำ! นั่งรถบัสไปใช้เวลาไม่นานก็มาถึง เหมือนว่าสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองนี้จะอยู่ใกล้ๆกันหมด California Beach Water Park จริงๆแล้วที่นี่มีทั้งส่วนที่เป็นสวนน้ำและสวนสนุก แต่พวกเราเลือกที่จะเล่นสวนน้ำกันเพราะอากาศที่ร้อนแรงแบบนี้ได้เล่นน้ำก็คงจะดี จากนั้นก็แยกย้ายกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งตัวเพื่อเล่นน้ำ และสิ่งแรกทำให้เราถึงกับคัลเจอร์ช็อคคือห้องน้ำรวมจ้าาา ไม่มีการปกปิดใดๆทั้งสิ้น อารมณ์เดียวกับไปแช่ออนเซน แต่เราไม่ได้ทำใจมาก่อนไง ต้องปรับตัวนิดนึง สิ่งที่ดีสำหรับท่ี่นี่คือแทบจะไม่ต้องเตรียมอะไรมา ผ้าขนหนู ไดร์เป่าผม ทางสวนน้ำมีให้หมดเลย ยังมีตู้ล็อกเกอร์ไว้เก็บของให้ด้วย หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาเล่นน้ำกันนนน (ไม่ได้เอามือถือลงไปเลยไม่มีรูป) สวนน้ำที่นี่แบ่งเป็นหลายโซน มีทั้งโซนเด็ก สไลเดอร์ 4 แบบ ทะเลเทียมที่ไว้นอนโต้คลื่นชิลๆ ทะเลวนที่จะมีเวลาปล่อยคลื่นยักษ์ และสระน้ำอุ่น พวกเราเล่นน้ำกันจนชุ่มฉ่ำก็ถึงเวลากลับกันแล้ว 

    ส่วนของสวนสนุก 
    สำหรับมื้อเย็นวันนี้จัดหนักจัดเต็มด้วยเมนูเป็ดซัมบับที่ร้านเคียวทงซัมบับ 교동쌈밥 ซัมบับแปลว่าข้าวห่อซึ่งเป็นอาหารเกาหลีประเภทหนึ่ง โดยเนื้อจะนำไปผัดคล้ายๆพุลโกกิ แต่วิธีการกินคือนำเนื้อ ข้าว และเครื่องเคียงไปห่อกับผักแล้วแต่ชอบ คล้ายกับวิธีการกินปิ้งย่าง 
    โอริซัมบับ 

    กินข้าวเย็นกันเสร็จเรียบร้อยเราก็ตรงดิ่งกลับหอกัน ใช้เวลาชั่วโมงกว่าก็กลับมาถึงแดกู
    และพรุ่งนี้จะเป็นวันพักผ่อนสำหรับพวกเรา

    #บันทึกการเดินทาง #แดกู #travel #daegu #korea

     


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in