- Chapter 1 -
Paring : Wan x Two
Rate : PG-13
Note : Omega verse, Out of characters
“ห้องของคุณ ขึ้นบันไดแล้วเลี้ยวขวา ฝั่งขวามือ ฝั่งซ้ายคือห้องของผม สุดทางเดินเป็นระเบียงเอาไว้นั่งเล่นได้ ผมเข้างานตอนเก้าโมงเช้า ถ้าคุณอยากออกไปไหนก็บอกแม่บ้าน เขาจะเรียกคนขับรถให้ อ่อ...คนงานที่จะขึ้นมาบนตึกนี้ได้มีแค่พวกเบต้าเท่านั้น เพื่อป้องกันความวุ่นวายต่างๆ” ผมอธิบายยาวเหยียดให้กับคนที่หอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่กับผมนับตั้งแต่นี้ไปฟัง
ร่างสูงที่มีเพียงกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ใบเดียวหันซ้ายหันขวาตามการอธิบาย ท่าทางดูตื่นๆไม่คุ้นชินนั่นก็ดูน่าเอ็นดูดี
หลังจากเหตุการณ์สติแตกคราวนั้นผมก็หายหน้าหายตาไปจากเขาสองอาทิตย์ ก่อนจะทำใจได้ว่าต่อจากนี้ยังไงก็คงต้องอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต เลยให้เลขาฯไปสืบเสาะหาที่อยู่และเบอร์ติดต่อมา ทำให้ผมได้รู้ว่าเขาชื่อ ‘ว่าน’ หรือ ‘ธนกฤต พานิชวิทย์’ อายุ 32 ปี ซึ่งเด็กกว่าผม 5 ปี (นั่นยิ่งทำให้เจ็บใจเข้าไปใหญ่) และแน่นอนว่าผมไม่มีทางย้ายไปอยู่ห้องเขาที่กว้างเท่าแมวดิ้นตายหรอก นั่นเลยเป็นสาเหตุให้เขามายืนอยู่ในบ้านผม เอ๊ะ! หรือจะเรียกคฤหาสน์ดีล่ะ ก็ผมรวยนี่นะ แต่กว่าผมจะเคลียร์งานเสร็จและส่งคนไปรับเขาก็มืดค่ำเอาการ
“เราไม่ได้นอนห้องเดียวกันหรอกเหรอ” เขาถามขึ้นมาด้วยหน้าตาเด๋อด๋านั่น ผมเม้มปากแน่นอย่างอึดอัดใจ ก็เตรียมคำตอบไว้อยู่หรอก คิดอยู่แล้วว่าเขาต้องถาม แต่พอเอาเข้าจริง มันก็ยากที่จะพูดออกไป
"เรามานั่งคุยกันหน่อยดีไหม มีเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกันเยอะเลย" ผมเอ่ยออกไปแบบนั้น ว่านพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะเดินตามผมมานั่งลงที่โซฟารับแขกกลางบ้าน ความเงียบเข้าปกคลุมเราทั้งสองคนเมื่อต่างฝ่ายต่างนั่งมองหน้ากันไปมาสร้างความอึดอัดไม่น้อย ผมพยายามเรียบเรียงคำพูดในหัวก่อนจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน
“เอ่อ...พูดตรงๆนะคุณ ความสัมพันธ์ของเรามันไม่ได้เกิดเพราะความรัก ที่ให้คุณย้ายมาอยู่เพราะผมต้องการรับผิดชอบ มันเป็นความผิดผมเองที่ทำให้คุณไม่สามารถไปคบคนอื่นได้อีก แต่มันก็ยากสำหรับผม ผมมีความฝันที่จะสร้างครอบครัวที่อบอุ่น แต่มันไม่ใช่แบบนี้ คือ...ผมแค่อยากเจรจา ....แบบว่า ถ้าคุณโอเคที่จะเป็นฝ่ายรับมันก็จะดีมาก” เจรจาธุรกิจมูลค่าเป็นล้านก็ทำมาแล้ว แต่ครั้งนี้รู้สึกตัวเองพูดจาติดๆขัดๆยิ่งกว่าตอนเจอลูกค้าวีไอพีอีก เขามองหน้าผม นิ่งไปพักนึงก่อนจะยกมือขึ้นมาเกาหัวแกรกๆแล้วเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง
"ไม่ใช่ว่าผมเป็นโอเมก้าแล้วดันทุรังจะเป็นรุกอะไรหรอกนะคุณ เพียงแต่ผมเพิ่งรู้ตัวว่าเป็นโอเมก้าเมื่อไม่นานมานี้เอง" หน้าผมคงดูโง่มากเมื่อฟังประโยคนั้นจบ เขาจึงเริ่มต้นขยายความมากขึ้น
"อธิบายยังไงดี อย่างที่คุณเห็น ภายนอกผมดูตรงไหนแล้วบ่งบอกว่าเป็นโอเมก้าบ้าง พ่อผมเป็นเบต้า แม่ผมก็เป็นเบต้า ผมเลยคิดว่าตัวเองเป็นเบต้า ใช้ชีวิตเหมือนเบต้ามาตลอดทั้งชีวิต ไม่เคยมีฟีโรโมนใดๆแผ่ออกมาทั้งนั้น เพิ่งรู้ตัวว่าเป็นโอเมก้าก็ตอนที่เจอคุณ .....ตอนที่เจอคุณในผับ อยู่ดีๆก็เกิดอาการฮีท นั่นแหละถึงได้รู้ตัว คุณเข้าใจความรู้สึกที่อยู่ดีๆก็เพิ่งมารู้ตัวว่าตัวเองมีมดลูกป่ะ มันก็ยากสำหรับผมที่จะทำใจยอมรับเหมือนกัน"
กริบบบ จบประโยคของเขาก็แทบจะไม่มีเสียงใดดังขึ้นมาอีก แต่ก็ทำให้ผมเข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้น ลองนึกภาพว่าถ้าอยู่ดีๆมารู้ตัวว่าตัวเองมีมดลูกอยู่ข้างในท้อง ป่านนี้ผมก็คงจะนั่งช็อคอยู่เลย แต่คนตรงหน้ากลับดูมีท่าทีสบายๆ ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนอย่างที่ควรจะเป็น บางทีผมก็สงสัยว่าเขาเป็นคนยังไงกันนะ
"เป็นไปได้ไหมว่าจริงๆแล้วตระกูลคุณมีโอเมก้าอยู่แล้ว คุณเลยมีโอกาสที่จะเป็นโอเมก้า แต่อาจจะแสดงอาการช้า ต่างจากโอเมก้าทั่วไปที่จะแสดงอาการเมื่อร่างกายพร้อมเจริญพันธุ์"
"หมอก็สันนิษฐานแบบนั้น แต่เคสแบบผมก็เกิดขึ้นน้อยมาก ไม่รู้ว่าดวงซวยหรืออะไร"
อยากจะตบไหล่ปลอบใจจริงๆ ว่าคนที่ซวยกว่าคุณก็นั่งอยู่ตรงหน้านี่ไง! เคสแบบเขาถือว่าหายากแล้ว แต่ทำไมผมถึงไปงมเขาจากบรรดาคนเป็นสิบๆจากในผับมาได้วะ
"เอ่อ...งั้นถ้าเราสองคนต่างฝ่ายต่างลำบากใจ ยังตกลงกันไม่ได้ ก็แยกห้องไปก่อนแล้วกันนะคุณ"
"ตามนั้นครับ" ผมมองดูเขาที่มีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อเราพูดจากันอย่างตรงไปตรงมา ความเงียบก่อตัวขึ้นอีกครั้งหลังจากประโยคตกลงของเราสองคน จนกระทั่งผมรู้สึกตัวว่านอกจากขัอมูลส่วนตัวพื้นฐานที่เลขาฯหามาให้แล้ว ผมก็ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
"เอ่อ...ขอถามหน่อยสิ คุณทำงานอะไร"
"กลางวันเป็นเชฟที่โรงแรม กลางคืนรับจ้างร้องเพลงตามผับตามบาร์" ได้ฟังแบบนั้นผมกับขมวดคิ้วมุ่น
"ไปลาออกซะ แค่คุณคนเดียวผมเลี้ยงได้" ใช่ เพราะผมรวยมาก แค่ดูแลเขาคนเดียวขนหน้าแข้งผมไม่กระดิกหรอก
"ไม่เอา!"
“ห๊ะ!” ผมชะงักกึกกับการปฏิเสธทันควันของเขา
“ผมเคยชินกับการทำงาน ให้ลาออกมานั่งเฉยๆ ก็เบื่อตายพอดี อีกอย่างผมมีแม่ที่ต้องเลี้ยงดู ยังไงก็ต้องใช้เงิน ถ้าวันไหนคุณเขี่ยผมทิ้งขึ้นมาก็ลำบากอ่ะดิ่” ไอ้เหตุผลนั่นก็พอจะเข้าใจ แต่ประโยคสุดท้ายนี่ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นตาแก่เลี้ยงอิหนูวะ
“แล้วตอนนี้แม่คุณอยู่ไหน ทำไมตอนที่ผมให้คนไปรับถึงไม่พามาด้วยกัน แค่คุณกับแม่ ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรสักหน่อย บ้านก็ตั้งใหญ่โต ห้องพักเหลือเฟือ”
“งั้นบอกเหตุผลดีๆที่ผมต้องลาออกมาสัก 3 ข้อ” ผมขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินคำต่อรอง ผมพูดอะไรผิด ปกติก็มีแต่คนอยากนั่งๆนอนๆ ใช้เงินไปวันๆไม่ต้องทำงานทำการกันทั้งนั้นแหละ แต่นี่อะไร จะให้อยู่เฉยๆก็ดันไม่ยอมอีก
“ไม่เห็นต้องมีเหตุผลมากมายเลย ก็ตอนนี้คุณได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนของ สุนทรญาณกิจ แล้ว ถ้ายังไปทำงานเป็นพ่อครัวหรือนักร้องตามผับตามบาร์อีก เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าผมดูแลคุณไม่ดี” พอพูดจบเขาก็ทำหน้าสงสัยขึ้นมาอีก อะไร นี่ผมพูดอะไรผิดอีก
"นี่คุณหมายความว่าจะเปิดตัวผมกับคนอื่นเหรอ"
"อย่างน้อยๆลูกน้องผมก็ต้องรู้ว่าคุณเข้ามาอยู่ในฐานะอะไร"
"ผิดคาดแฮะ" เขาพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ
"แล้วที่คุณคาดไว้มันเป็นแบบไหน"
"นึกว่าผมจะโดนฟันแล้วถูกทิ้งขวัาง" ถ้าผมด่าเขาว่า 'ไอ้เวร' ออกมาตอนนี้จะดูหยาบคายไปรึเปล่านะ ใครกันแน่วะที่ถูกฟัน!!!
"ทำหน้าเหมือนกำลังด่าผมในใจอยู่เลยคุณ" เขาหัวเราะน้อยๆพร้อมกับเอ่ยแซว
"ประมานนั้นแหละ"
"โธ่ คุณ หยอกๆ เอาจริงๆ ผมแค่ไม่คิดว่าคุณจะใส่ใจอะไรเล็กๆน้อยๆ ความจริงถ้าคุณจะไปมีคนอื่น ก็โอเคนะ ผมเข้าใจว่าระหว่างเรามันคือความผิดพลาด" ผมหรี่ตามองเขาอย่างจ้องจะหาความน้อยอกน้อยใจในน้ำเสียงนั่น แต่ก็ไม่มี
"คุณโอเค แต่ผม ไม่! คุณคิดว่าที่ผมหายหน้าหายตาไปจากคุณสองอาทิตย์นี่ ผมหนีไปทำใจเรื่องอะไร ผมมีความฝันว่าจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่น ครอบครัวที่อบอุ่นหมายความว่าคนในครอบครัวมีความสุข ถึงคุณจะต่างจากที่ผมเคยนึกภาพไว้ แต่ผมจะไม่สร้างปัญหาใดๆที่ทำให้สมาชิกในครอบครัวต้องเป็นทุกข์ เรื่องหลายเมียเนี่ย เป็นเรื่องน่าปวดหัว และเป็นปัญหาที่ทำให้ครอบครัวแตกแยกเป็นอันดับต้นๆของประเทศ เพราะฉะนั้น ผมขอผ่าน .....คุณยิ้มอะไร" ผมอธิบายยาวเหยียดถึงเหตุผลว่าทำไมผมถึงหนีไปทำใจอยู่นานสองนาน การจะยอมรับว่าต้องสร้างครอบครัวกับคนคนนึงที่ไม่ได้เกิดจากความรัก แถมมีความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ทำเอาผมคิดหนักอยู่หลายตลบ แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมรับความจริงอยู่ดีว่าเป็นเพราะผมเองที่ขาดสติ ทำสิ่งที่ไม่ควรทำลงไป เพราะฉะนั้นการรับผิดชอบการกระทำของตัวเองเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ไอ้การที่ผมอธิบายหลักการ ‘การสร้างครอบครัวที่อบอุ่น’ แบบฉบับของผมเสร็จแล้วหันไปเจอหน้ายิ้มๆของเขานี่มันคืออะไรวะ
"นี่คุณยิ้มล้อผมเหรอ"
"เปล่า! ไปกันใหญ่แล้วคุณ ผมแค่คิดว่าคุณน่ารักดี"
"เดี๋ยวๆขอโทษที หน้าอย่างผมนี่เรียกหล่อเถอะ" หลงตัวเองเหรอ ก็ไม่นะ นี่พูดไปตามเนื้อผ้าทุกอย่างเลย หน้าตาแบบนี้ ฐานะแบบนี้ แต่งตัวภูมิฐาน หน้าที่การงานดี ก็ได้ยินคนเขาพูดกันว่า เพอร์เฟ็กต์ อยู่บ่อยๆ
"ไม่ได้หมายถึงหน้าตาสิคุณ ผมหมายความถึง...ไอ้คำว่า 'สมาชิกในครอบครัว' ฟังแล้วรู้สึกดีขึ้นมาเลยคุณ" ไม่รู้ทำไมไอ้การที่เขานั่งท้าวคางยิ้มๆแล้วมองหน้าผมนี่ทำให้รู้สึกประหม่าแปลกๆ
“แต่คำว่า หลายเมีย เนี่ย ผมให้พูดใหม่” เขาหัวเราะลั่นออกมาทันทีเมื่อผมชูนิ้วกลางให้กับประโยคเมื่อครู่
"อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง สรุปคุณจะออกจากงานไหม ถ้าอยากทำงาน เดี๋ยวผมหาตำแหน่งในบริษัทให้ก็ได้ คุณจบอะไรมาล่ะ"
"ไม่เอา ผมไม่ชอบงานนั่งโต๊ะ น่าเบื่อ" ผมจิ๊ปากอย่างรำคาญใจกับความดื้อด้านของเขา เอาจริงๆก็ไม่ค่อยเจอใครกล้าขัดคำสั่งผมบ่อยนัก
"โอเค ไม่ออกก็ไม่ออก ผมขี้เกียจจะเถียง แต่มีข้อแม้ว่าคุณจะต้องพกยากันฮีทฉุกเฉินติดตัวไปด้วยทุกครั้ง ผมให้แม่บ้านซื้อเตรียมไว้ให้แล้วอยู่ในห้องนอนของคุณ" จบประโยคผม ใบหน้าคมนั่นก็ยิ้มกว้างขึ้นมาอีก
"เป็นห่วง ....พูดแบบนี้ครับคุณภพธร ไม่ใช่ไล่ให้ไปลาออกจากงาน"
"หลงตัวเอง ผมขี้เกียจตามไปช่วยคุณต่างหาก งานผมก็เยอะแยะ ไม่มีเวลานั่งตามแก้ปัญหาให้คุณหรอก" ผมเถียง รู้สึกหน้าร้อนๆ เป็นห่ง เป็นห่วงอะไร ผมก็แค่กังวลว่าถ้าอาการฮีทของเขากำเริบขึ้นมาอีก จะไปไล่ปล้ำอัลฟ่าคนไหนอีกน่ะสิ ยิ่งเขาไม่เคยรับมือกับอาการฮีท ใช้ชีวิตปกติมาตลอด ถ้าไปช่วยไม่ทันจะทำยังไง งานพ่อครัวยังพอว่า แต่งานร้องเพลงกลางคืนนี่มันสถานที่อโคจรชัดๆ เหมือนผมที่ร้อยวันพันปี ไม่คิดจะย่างกรายเข้าไปเที่ยว เพราะเอาแต่ทำงาน แต่พอตั้งใจว่าจะไปปลดปล่อยความเครียดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ก็เป็นเรื่องขึ้นมาเลย แถมไอ้เรื่องที่ว่ายังมานั่งอยู่ในบ้านเขาแล้วตอนนี้ เฮ้อ...
“อ๊ะ! เกือบลืม ....เรื่องแม่คุณ” ผมอุทานออกมาเมื่อเกือบลืมเรื่องสำคัญไป
“แม่ผมอยู่บ้านพักคนชรา” เขาพูดออกมาเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา และนั่นทำให้ผมตกใจไม่น้อย
“นี่คุณ.... ทำไมเป็นคนแบบนี้! นี่แหละนะที่เขาว่า ลูกตั้งหลายคนแม่ยังเลี้ยงได้ แต่ลูกเลี้ยงแม่คนเดียวยังเลี้ยงไม่ได้เลย คุณเองก็ยังหนุ่มยังแน่น ดูท่าแล้วก็ไม่ได้ขัดสนเงินทองถึงขนาดนั้นด้วย ทำไมใจร้ายกับแม่แบบนี้ห๊ะ!”
“โอยยยย คุณ! ไปกันใหญ่แล้ว ทำไมขี้บ่นอย่างนี้”
“ก็ดูคุณทำตัวสิ คุณรู้ไหมว่าการมีครอบครัวมันดีขนาดไหน แล้วทำไมคุณถึงทอดทิ้งเขาอ่ะ”
“เนี่ย! ขี้โวยวายอ่ะเรา ฟังผมอธิบายก่อนดิ่” ผมนิ่งเงียบ เป็นสัญญาณบอกเขาว่าผมกำลังฟังอยู่
“เมื่อก่อนผมหาเงินจ่ายค่าเทอมเอง รับจ๊อบหลายอย่าง ไหนจะเรียน ไหนจะทำงาน ไม่มีเวลาดูแลแม่ แม่ผมก็แก่แล้วแถมอยู่บ้านคนเดียว ผมกลัวว่าถ้าเกิดหน้ามืดแล้วล้มขึ้นมาตอนผมไม่อยู่บ้านจะอันตราย เลยเอาแม่ไปฝากไว้ที่บ้านพักคนชราแถวบ้านระหว่างผมไปทำงาน ทำไปทำมาแกก็มีเพื่อนเยอะแยะอยู่ที่นั่น เลยย้ายไปอยู่ที่นั่นแทน แล้วให้ผมไปเยี่ยมเอา ผมก็แวะไปหาทุกวันก่อนไปร้องเพลง ไม่ได้ทิ้งขว้างอย่างที่คุณเข้าใจ” ผมฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว นั่นก็เพราะเขาทำงานหนักจนไม่มีเวลาดูแลแม่นั่นแหละ แถมยังมาดื้อกับผม ให้ออกจากงานก็ไม่ยอมออกอีก
“หน้าตาคุณดูยังไม่พอใจกับคำตอบของผมนะ” เขายังมองผมยิ้มๆ บางครั้งผมก็คิดว่าตัวเองเป็นคนแสดงออกทางสีหน้าขนาดนั้นเลยเหรอ เจอกันครั้งสองครั้งเขาดูจะอ่านออกหมดว่าผมรู้สึกอะไรหรือคิดอะไรอยู่
“ผมถึงบอกคุณอยู่นี่ไงว่าให้ออกจากงาน แล้วทำงานที่บริษัทผม รายได้ดีกว่า แถมมีเวลาดูแลแม่ แต่คุณมันดื้อไง” เขาทำหน้าเบ้ มือใหญ่ยกขึ้นมาเกาหู ท่าทางกวนประสาท!
“เนี่ย คุณบ่นยาวกว่านี้อีกนิด ผมจะคิดถึงแม่ละ”
“เพิ่งสำนึกเหรอ”
“เปล่า! บ่นเก่งเหมือนแม่ผมเลย ไหน แม่ครับ มากอดที” จบประโยคนั่นวงแขนแข็งแรงก็ทำท่าจะพุ่งเข้ากอดผมจริงๆ จนยกเท้าขึ้นมายันไว้แทบไม่ทัน
“โห ชอบใช้ความรุนแรงอ่ะเรา แค่นี้ถึงกับต้องถีบกันด้วย” ใบหน้าคมบิดเบี้ยวราวกับเจ็บหนักหนา แต่ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอยากยกเท้าขึ้นมาถีบอีกสักทีสองที
“คุณเลิกไร้สาระซะทีสิ นี่ผมจริงจังนะ คุณก็เล่นอยู่ได้”
“เอาจริงๆนะคุณ เรื่องแม่ผมนี่ช่างไปก่อนเถอะ ท่านอยู่ที่นั่นก็มีความสุขดี ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร ที่น่ากังวลคือเราสองคนมากกว่า ไอ้สิ่งที่คุณพูดมามันดูเหมือนง่ายนะ การสร้างครอบครัวอะไรของคุณนั่นอ่ะ แต่ความจริงมันไม่ได้ราบรื่นไปทุกอย่างเหมือนที่คุณวาดฝันไว้หรอก ดูแค่นี้ก็ยังรู้เลยว่าเราสองคนต่างกันมาก เอาเป็นว่าอยู่กันไปก่อน ดูกันไปก่อนว่าจะรอดหรือรุ่งริ่ง แล้วค่อยไปรับแม่ผมได้ไหมคุณ ผมไม่อยากให้แม่มานั่งกังวลรับรู้ปัญหาไปด้วยถ้าเกิดเราสองคนไปกันไม่รอดขึ้นมา”
ผมคิดตามที่เขาพูด อันที่จริงมันก็สมเหตุสมผล ผมอาจจะใจร้อนเกินไป แค่รู้สึกว่าไม่อยากให้แม่เขาไปอยู่บ้านพักคนชรานั่น แต่คงจะน่าหนักใจกว่าหากต้องมารับรู้ปัญหาของลูก อย่างน้อยๆอยู่ที่นั่นท่านก็มีความสุขดี ผมเหลือบมองสีหน้าจริงจังของว่าน พูดจาจริงๆจังๆกับเขาก็เป็น เสียแต่ไม่ชอบทำ
“เอางั้นก็ได้.... งั้นก็ตกลงตามนี้ แยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะคุณ วันนี้ผมถูกผู้ถือหุ้นสูบวิญญาณไปในการประชุมจนแทบจะหลับคาโต๊ะได้แล้ว” ผมพูดพร้อมกับยืนขึ้นก่อนจะก้าวยาวๆขึ้นบันได ในหัวคิดแต่จะอาบน้ำนอน แต่เสียงเรียกของเขาก็ดึงความสนใจให้ผมหันกลับมาเสียก่อน
“เดี๋ยวคุณ ....คุณกินข้าวเช้าตอนกี่โมง”
“หืม...ผมไม่ทานข้าวเช้า ปกติกาแฟแก้วนึงแล้วออกไปทำงานเลย ถ้าคุณทานก็บอกแม่บ้านไว้ได้ว่าจะให้ตั้งโต๊ะตอนกี่โมง”
“แล้วคุณออกจากบ้านไปทำงานกี่โมง”
“เจ็ดโมงตรง” เขาทำตาโตเหมือนตัวเองได้ยินอะไรผิดไป
“บริษัทคุณอยู่ไกลขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงต้องเผื่อเวลาตั้งสองชั่วโมง”
“ไม่ได้ไกลมาก แต่ผมไม่ชอบทำอะไรรีบๆ เผื่อไปจัดเอกสารนู่นนี่ด้วย ผมชอบจัดเอง เวลาจะหาอะไรมันง่ายกว่าคนอื่นจัด”
“อ่อ... โอเค แค่นี้แหละครับ กู๊ดไนท์” ว่านทำหน้าเข้าใจก่อนจะทำท่าเดินนำผมขึ้นบันไดไป
“ถามผมเสร็จก็จะหนีเลยเหรอ ไม่บอกผมเกี่ยวกับตัวคุณบ้างเหรอ” ผมค้านขึ้นมาบ้างเมื่อยืนให้เขาเป็นฝ่ายซักถามอยู่นาน แต่พอถามเสร็จก็จะชิ่งขึ้นห้องเลยซะงั้น
“อ้าว! ก็เห็นคุณบอกง่วง”
“ผมง่วง แต่ผมก็อยากรู้เรื่องคุณด้วย”
“งั้นป่ะ! ไปนอนคุยกันบนเตียง เดี๋ยวจะเล่าตั้งแต่ผมเกิดจนโตมาเจอกับคุณเลยเป็นไง เนี่ยมีนิทานก่อนนอนฟัง แถมฟรีกอดอุ่นๆจากผมด้วย หูยยย คุ้ม!” เจ้าของร่างสูงพูดไปก็คว้าแขนผมขึ้นบันไดไปอย่างเร่งรีบ จนกระทั่งมาถึงหน้าห้องนอนนั่นแหละผมถึงจะสะบัดมือปลาหมึกนั่นออกไปได้
“อย่ามาเนียน!” เสียงทุ้มหัวเราะเอิ้กอ้ากราวกับชอบใจที่แกล้งแหย่ผมได้ รู้สึกน่าโมโหอยู่หน่อยๆ
“ผมเข้างานสิบโมงเลิกหกโมงที่ร้านอาหารของโรงแรม หลังจากนั้นไปร้องเพลงที่ร้านอาหารกึ่งบาร์อีกที่ตอนสองทุ่มเลิกสี่ทุ่ม ....ทีนี้ ผมไปนอนได้ยัง” คนตัวสูงยืนยิ้มแฉ่งรอคำอนุญาตจากผม ดูๆไปก็คล้ายโกลเด้นรีทริฟเวอร์ตัวโตที่กระดิกหางรอคำอนุญาตจากเจ้านายอยู่เหมือนกันนะ
“อืม...ไปนอนเหอะ” ผมหันหลังกลับคว้าลูกบิดประตูห้องตัวเองแล้วก้าวเข้าไปข้างในแต่ยังไม่ทันจะได้ปิดประตูก็มีมือหนาๆมาดันเอาไว้อีก
“อะไรอีกอ่ะคุณ คืนนี้ผมจะได้นอนไหมเนี่ย” ผมบ่นออกมาติดรำคาญ แต่ทันทีที่ได้ยินประโยคถัดมาของเขา หนังตาที่ปรือๆจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ของผมก็เบิกโพล่งทันที
“Goodnight kiss ล่ะคุณ”
“อะ...อะไรนะ!?” ผมถามย้ำอีกครั้งเผื่อว่าเมื่อกี้ผมจะหูฝาดขึ้นมากระทันหัน
“Goodnight kiss ไงคุณ เนี่ย เป็นการกระชับความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวรูปแบบหนึ่ง หลักการง่ายๆของการสร้างครอบครัวที่อบอุ่น” ข้ออ้างแถมชักแม่น้ำทั้งห้าก็มา ผมยืนกอดอกหรี่ตามองคนพูดที่ยังยืนยิ้มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวก่อนจะคิดอะไรดีๆออก
ผมขยับเข้าไปใกล้เขาหนึ่งก้าว จับบ่าเขาไว้เป็นหลักยึดก่อนจะยืดตัวขึ้นให้ความสูงพอดีกันเนื่องจากความสูงของเขาที่มากกว่าผมเล็กน้อยแล้ว...
จุ๊บ!
แตะริมฝีปากลงกลางหน้าผากเหม่งๆนั่นหนึ่งที ก่อนจะกระซิบติดริมหู
“Goodnight babe~”
ถอยตัวออกมาแล้วปิดประตูใส่หน้าปล่อยให้อีกฝ่ายยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นเป็นการตัดบทสนทนาในคืนนี้…
จะเล่นกับพี่ ยังเร็วไปสิบปีไอ้หนู ;p
TBC
Talk : หายไปนานนนน ลืมกันไปรึยังคะ แงงงงงง ฝากแท็ก #WTmaythisbelove ด้วยน้า พูดคุยติชมได้จ้า
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in