หลายคนอาจจะคิดว่า ข้าเป็นเทพแห่งความเจ้าเล่ห์และกลลวงไร้ซึ่งความรู้สึกผูกพันกับใคร ไม่เคยมีความรัก ห่วงหาต่อใคร เอาแต่ใจตนเอง
ข้าคือ โลกิ เทพแห่งความเจ้าเล่ห์ กลลวงแห่งมายารัชทายาทแห่งแอสการ์ด
ผู้ซึ่งเป็นที่เกลียดชังของเหล่าชาวมิดการ์ด.....
ข้าไม่มีข้อแก้ตัวสิ่งที่ข้าทำในตอนนั้น พาพวกชิกทอรี่ถล่มโลกมนุษย์ ที่ข้าทำไป... ก็เพียงแค่พิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่า ข้าก็เป็นคนที่มีคุณสมบัติ
“สิทธิของเจ้าคือตาย ท่ามกลางความหนาวเหน็บ”
อา...ใช่ข้ามิใช่สายเลือด สิทธิโดยชอบธรรมของข้าก็มีแค่ความตายเท่านั้น
แม้กระทั่งสิทธิ์ที่จะรัก....
ข้าเก็บงำความรู้สึกเช่นนี้มาโดยตลอดในบางครั้งมันก็เกิดความรู้สึกเจ็บปวด ถูกบีบรัดภายในอกเวลาที่ต้องเห็นคนที่ข้ารัก อยู่กับคนอื่น....
“มนุษย์เป็นที่สิ่งที่บอบบางพี่ข้า”
ข้าเคยพร่ำบอกเขาถึงความไม่จีรังของมนุษย์แต่เขากลับดื้อดึงมั่นคงที่จะรักหญิงสาวมนุษย์ผู้นั้น
“ข้ารักเจนนางไม่เหมือนใครที่ข้าเคยพบ”
แล้วข้าคนที่ยืนเคียงข้างท่านมาทั้งชีวิต ท่านเคยหันมาสนใจข้าบ้างไหม ?
หรือว่าทุกครั้งที่ท่านเห็นข้าตายไปทุกเสียงที่ตะโกนร้องเรียกชื่อข้า นั่นเป็นเพียงการสูญเสียเล็กๆน้อยๆ
มันคงจะไม่เจ็บปวดเลยในเมื่อข้าไม่ใช่คนที่ท่านรัก ท่านพี่
แผ่นหลังที่สูงใหญ่และกว้างผมสีบลอนด์ซึ่งเคยยาวส่องประกายแสงอาทิตย์ บัดนี้ถูกตาแก่ที่ไหนไม่รู้ในซาคาร์ตัดสั้นแถมยังมีรอยถากไปมาเหมือนรูปสายฟ้าเคราดกหนาสีเดียวกับผมล้อมใบหน้าเอาไว้ ลองนึกดูว่าได้ลูบกรอบหน้าของร่างสูงเบื้องหน้ามันคงจะรู้สึกดีไม่น้อย
โลกิมองแผ่นหลังของผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายบุญธรรมพลางครุ่นคิดเรื่องอดีตที่ผ่านมา เขาตระหนักได้ว่าพี่ชายของเขาเติบโตมากกว่าที่เขาคิดซะด้วยซ้ำ
จากชายนักรบผู้เลือดร้อนกลายมาเป็น....เอ่อ...ฮีโร่??
แค่คิดก็ทำให้เขาต้องหลุดยิ้มขำออกมาเบาๆแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผู้ถูกแอบมองจากด้านหลังไม่ได้ยิน เพราะห้องนี้มันเงียบกริบมีเพียงแค่ชายหนุ่มเพียงสองคน
“เจ้าขำอะไรโลกิ” ธอร์กอดอกหันกลับมามองหลังจากที่จนชมวิวด้านนอกจากหน้าต่างของยาน“หลังผมของข้ามีอะไรตลกงั้นรึ”
ว่าเสร็จก็ยกมือขึ้นไปลูบหลังศีรษะตนเองที่ถูกจับตัดสั้นเกรียน
“อา...ข้าคิดถึงผมของข้าเสียจริง”
“ข้าว่าทรงนี้ก็เหมาะกับท่าน”โลกิกล่าวแล้วเดินมายืนข้างกายผู้เป็นพี่ชาย มองออกไปยังนอกหน้าต่างที่แสนมืดมิด
“แปลกใจนะที่เจ้าชม”
“มากไปงั้นรึ”
“ไม่ๆข้าดีใจต่างหาก หลังจากผ่านเรื่องมามากข้าไม่คิดว่าเราทั้งคู่จะมายืนอยู่ในจุดเดียวกันเสียด้วยซ้ำ” ธอร์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ข้าเคยบอกไปแล้วว่าโอดินทำให้เราสองคนมาพบกัน”
“และความตายของเขาควรจะพรากเราจากกันใช่ ข้าจำได้ แต่เจ้าก็ยังอยู่ตรงนี้กับข้า น้องชาย” ธอร์ตบบ่าโลกิหนักๆ
ที่พูดไปนั่นข้าก็แค่...คิดจะหนีเท่านั้นการตายของโอดินควรทำให้เขาหลุดจากความรู้สึกบ้าๆกลางอกนี้
“หลังจากนี้คงมีเรื่องต้องทำอีกมากรวมถึงการไปเยือนโลก”
“ถามจริงคิดดีแล้วเหรอที่พาข้ากลับไปที่นั่น” โลกิเอียงคอถาม เผื่อว่าอีกคนอาจลืมไปแล้วก็ได้ว่าน้องชายของเขาได้ทำอะไรไว้กับโลกบ้าง
ธอร์หัวเราะ“ชาวมิดการ์ดรักข้า และแน่นอนสักวันก็ต้องเข้าใจเจ้าแน่”
ความมั่นใจของราชาแห่งแอสการ์ดดูเหมือนจะไม่สามารถทำให้อนุชาวางใจเลยสักนิดแต่นี่ก็เป็นจุดนึงที่โลกิชอบในตัวธอร์ แม้ว่าสถานการณ์จะย่ำแย่เพียงใดอีกฝ่ายมักจะยิ้มออกมาเสมอ
แล้วแบบนี้ข้าจะปล่อยให้ท่านอยู่เพียงลำพังได้เช่นไร
“ข้าจะลองเชื่อท่านดูก็แล้วกันถ้าโลกขับไล่ข้า ถึงตอนนั้นเราทั้งคู่คงต้องลากันจริงๆ” เขากล่าวตามความเป็นจริง
“ข้าไม่ยอมให้เจ้าไปไหนอีกแน่นอนโลกิ” ธอร์ว่า “ข้าสูญเสียหลายสิ่งไปมากมายถ้าเจ้าจากไปอีกคน ข้าคงจะ...”
“ได้โปรด อย่าคิดเช่นนั้น” โลกิรีบตอบไปทันที ทั้งคู่หันมาและสบตา
จริงสิ ตอนนี้ธอร์เหมือนโอดิน บิดาของเราไม่ผิดเพี้ยน.....
“เจ้าคงไม่เป็นอย่างที่ข้าคิดอีก ใช่ไหม...”
นี่เป็นครั้งแรกที่โลกิรู้สึกอึดอัดกับการสนทนาครั้งนี้ ทั้งๆที่มันเป็นการพูดคุยเหมือนอย่างทุกทีมันทำให้เขารู้สึกว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่มันหนักอึ้งกว่าเดิม
สิ่งที่นำมันมาหลังแอสการ์ดถูกทำลาย
โลกิยกยิ้มแล้วมองตาที่เหลือข้างเดียวของพี่ชาย
ไม่ว่ายังไงเทพจอมโกหก ก็ยังเป็นเช่นนั้น ....
“วัลคีรี!! พาทุกคนที่เหลือขึ้นยานแล้วหนีไปซะ
“แล้วฝ่าบาทล่ะ!!” วัลคิรีสาวหันมาถามขณะที่พาชาวแอสการ์ดบนยานที่กำลังถูกโจมตีออกไปจากยาน
เมื่อไม่กี่นาทีก่อน ยานปริศนาลำยักษ์โผล่มาตรงหน้ายานของพวกเขาพร้อมกับโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว ธอร์ไม่รู้ว่าเป็นใคร และต้องการสิ่งใดแต่เขารู้เพียงแค่ว่า เขาไม่อาจสู้ได้แน่ถ้ายังมีชาวแอสการ์ดอยู่ให้ปกป้อง
“ข้าจะอยู่เพื่อถ่วงเวลาให้พวกเจ้าหนี ไปซะ” ธอร์ตะโกนไล่
ทำไมถึงมียานมาโจมตีพวกเราธอร์ตั้งคำถามในใจขณะที่ต้อนชาวเมืองให้ออกไปจากระยะที่ถูกโจมตี
โลกิ หายไปไหนกัน?
ยามคับขันเช่นนี้ เจ้าหายไปไหน
คนที่ถูกถามถึงนั้น อยู่ห่างจากตรงที่ธอร์อยู่ไม่ไกลนักโลกิพยายามไม่ให้ธอร์สังเกต เขาจำต้องเช่นนั้นหลังได้เห็นยานผู้มาเยือนเขารู้ว่าพวกนั้นต้องการสิ่งใด เขาต้องจัดการเรื่องนี้ก่อนจะสาย เขามีแผน
“ดูนั่นสิใครกัน” เสียงปริศนาที่ฟังดูมีอำนาจเหลือล้นเอ่ยขึ้น เบื้องหน้าโลกิเงาชายร่างใหญ่มหึมาประทับกายของโลกิสูงใหญ่ บดบังแสงจากด้านหลัง
“เหมือนจะเป็นใครคนหนึ่งที่ซึ่งยืมของของข้าไปแล้วไม่ได้กลับมาคืน เจ้าใช่คนที่ยืมมณีของข้าไปใช่หรือไม่”
ร่างสูงใหญ่ปริศนาถามอีกครั้งโลกิได้แต่ยืนนิ่งเงียบ
ธานอส....
“ก็แบบว่ามีเหตุสุดวิสัยนิดหน่อยที่ข้าไม่ได้นำกลับมาคืนท่านข้าแต่นายเหนือหัว” โลกิกล่าวน้ำเสียงกลบความสั่นกลัวเอาไว้
“เจ้าคนปลิ้นปล้อน”อีโบนี มอว์ ผู้ติดตามของธานอสเดินออกมาจากด้านหลังผู้เป็นพ่อแล้วกล่าวหยามเกียรติโลกิ
เทพแห่งการโกหกอยากจะเอามีดเสียบเจ้าคนที่หยามเขาเช่นนี้เสียจริงแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากต้องให้อีกฝ่ายไว้ใจเขาเสียก่อน
“นำความล้มเหลวกลับมาแล้วยังจะมีหน้ามาขอความเมตตาจากท่านผู้ยิ่งใหญ่อีก”
โลกิก้มหน้าไม่เถียงแต่อย่างใด
“โลกิ
เทพเจ้าสายฟ้าพุ่งข้ามหัวผู้เป็นน้องชายพร้อมกับเรียกสายฟ้าลูกยักษ์โจมตีฝ่ายตรงข้ามพลันชายร่างบึกบึนพุ่งเข้าหาธานอส ที่ร่างใหญ่กว่านักเพราะเป็นชาวไททันก็ถูกแรงแขนซัดกระเด็นไปพริบตา
เจ้าพี่โง่พุ่งเข้าไปโดยไม่ตระหนักเสีย โลกิด่าในใจเขารู้ดีว่าธานอสแกร่งกว่าเทพอย่างชาวแอสการ์ดยังไง
“โอ้ นี่นะเหรอพี่ชายของเจ้า โลกิ” ธานอสเอ่ย“ได้ยินมาว่าเจ้าร่วมปกป้องโลกเอาไว้จากกองทัพชิกทอรี่”
“ข้าไม่มีธุระอันใดต้องพูดกับเจ้า”ธอร์ลุกขึ้นถ่มเลือดออกจากปาก “ออกไปจากยานของข้าซะ”
โลกิส่ายหน้าเชิงบอกอีกฝ่ายมันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ เขาไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้ยืนมองดูธอร์ต่อสู้กับธานอสกันโดยที่ตนเองถูกสมุนที่เหลือยืนจ่ออาวุธอยู่
ทำเช่นไรก็ไม่สามารถ...
“สิ่งที่ข้าต้องการอยู่ที่ไหน ชาวแอสการ์ด” ธานอสเอ่ยถามหลังจากล้มธอร์ลงได้และจับหัวของธอร์ลากมาตรงหน้าโลกิด้วยมือเดียว
“เทสเซอแรคหรือหัวของพี่ชายเจ้า ข้าให้เจ้าเลือก”
ไม่ดีแน่...
“โอ้ เอาสิ”โลกิเอ่ยดวงตาช้อนขึ้นมองชายร่างยักษ์ “...ฆ่าเลย”
ทันทีที่เขาเอ่ยเช่นนั้นธานอสก็ใช้มณีที่อยู่บนถุงมือจี้ไปที่ขมับของธอร์แสงสีม่วงประกายเจิดจ้าพร้อมกับเสียงที่เสียงเข้าไปยังหัวของธอร์
“อ้ากกกก
ราวกับมีสว่านเจาะเข้ามาที่หัวเสียดแทงจนหูอื้อไปหมดธอร์ร้องออกมาสุดเสียง พยายามดิ้นให้หลุดจากมือยักษ์ เขาไม่เคยคิดว่าจะต้องมาตายตรงนี้ และไม่ยอมจบลงตรงนี้เป็นแน่
ถึงแม้ว่าธอร์จะเจ็บปวดเพียงใดกับการทรมานโลกิก็ยังนิ่งเฉย เขามองพี่ชายตนไร้สีหน้าอารมณ์ใดๆ
....มีเพียงแสงสะท้อนในดวงตาสีเขียวที่เด่นชัดเจน
“เอาล่ะพอได้แล้ว!” ท้ายที่สุดเทพแห่งกลลวงก็ไม่อาจทนเสียงร้องทรมานของพี่ชาย เขาร้องขอให้อีกฝ่ายหยุดทันทีมือทั้งสองกำหมัดแน่นจนสั่นไม่รู้ตัว
“พวกเราไม่มี...เทสเซอแรค”ธอร์เอ่ยหลังจากที่หลุดจากความทรมาน “มันถูกทำลายไป...พร้อมกับแอสการ์ดแล้ว”
และนี่เป็นครั้งที่โลกิทำลายความเชื่อใจของธอร์
“เจ้ามัน...เป็นน้องที่เลวที่สุดโลกิ” ธอร์สบถอย่างสิ้นหวัง เมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏในมือของน้องชาย
“ข้ารับรองได้พี่ชาย ดวงตะวันจะกลับมาฉายแสงให้พวกเราอีกครั้ง”โลกิกล่าวพร้อมกับก้าวเข้าไปหาและมอบสิ่งที่ถูกต่อรองอย่างจำนน
และธอร์ก็ได้เห็น...หยาดน้ำตาเล็กๆที่เอ่อล้นทับตาสีเขียวของน้องชาย
โลกิ นี่เจ้า...
“เจ้าคิดผิดแล้วชาวแอสการ์ด”
“อ่อ ผิดแล้วข้าไม่ใช่ชาวแอสการ์ด” โลกิเงยหน้ามองก่อนยิ้มมุมปาก “และเราก็มีฮัคส์”
ร่างสีเขียวที่แสนเกรี้ยวกราดพุ่งเข้าใส่ธานอสอย่างรวดเร็วจนทั้งคู่กระเด็นไปอีกทางขณะเดียวกันโลกิก็รีบคว้าร่างของธอร์หลบออกไปให้ห่างจากสนามรบ
ธอร์อ่อนแรงมาก
“เจ้ามัน....เป็นน้องที่เฮงซวยที่สุด”ธอร์ว่าแต่ยังยึดแขนน้องชายเอาไว้
“ข้ารู้ พี่ชายแต่นี่เป็นทางเดียวที่เราทั้งคู่จะรอด”
“รอด?นี่เจ้าคิดจะทำอะไร”
ตาสีฟ้าข้างเดียวของธอร์จ้องลึกลงไปยังดวงตาคู่สีเขียวหลายปีที่อยู่ด้วยกันมา เขาอาจไม่รู้ว่าน้องชายต่างสายเลือดคิดการใดแต่หลังจากที่สูญเสียโลกิไปถึงสองครั้ง เขาตระหนักได้ถึงสิ่งที่จะเกิด
“โลกิ ข้าขอล่ะเจ้าอย่าทำเช่นนั้น มันอันตรายเกินไป”
“ข้าไม่ใช่ฮีโร่อย่างท่านนะ ธอร์ ข้าเป็นวายร้าย เป็นวายร้ายก็มีวิธีของวายร้าย”
“แต่เจ้าเป็นน้องข้า
เมื่อธอร์ย้ำสถานะนั้นโลกิก็ได้แต่ยิ้มเศร้า “สิ่งที่ข้าทำ ก็เพื่อปกป้องท่านทั้งหมดนี้ให้ข้าเป็นวายร้าย ข้าก็ยอม”
มือหนาที่กำแขนเสื้อของโลกิถูกดึงออกธอร์ยังคงมองใบหน้าของอีกฝ่าย เขาไม่อยากสูญเสียอะไรไปอีก
“ข้ารักท่านเหนือกว่าสิ่งอื่นใด ท่านพี่”
ร่างของผู้เป็นน้องชายตรงหน้ากลายเป็นมายา
ฮัคล์สลบไปแล้วก็เหลือเพียงแต่ธอร์ที่จะจัดการ
แต่สุดท้ายก็ถูกซัดหมอบไม่เป็นท่าแถมยังถูกตรึงแขนขาเอาไว้ไม่ให้ขยับไปไหนธอร์จำต้องมองเห็นเพื่อนรักอย่างฮัมดัลล์ถูกเสียบทะลุหัวใจ โดยที่ทำอะไรไม่ได้
อย่าออกมา....โลกิ อย่าได้ ออกมา...
ธอร์พยายามขืนกายทั้งหมดแต่ก็ไม่สามารถขยับได้มันเป็นความทรมานที่เจ็บปวดเหลือเกิน
ให้มันได้มณีไปแล้วไปซะ... ไปซะตอนนี้
“มณีอีกสองชิ้นอยู่บนโลกไปเอามาให้พ่อที่ดาวไททัน”
“พวกข้าจะไม่ทำให้ท่านพ่อผิดหวัง”พร๊อกซิม่า มิดไนท์โค้งคำนับ ก่อนจะหันหลังเตรียมตัวออกเดินทาง
สิ่งที่ธอร์ภาวนาไม่ให้เกิดขึ้นมันก็เกิด...
“เดี๋ยวก่อนถ้าข้าไม่ได้เข้ามาขัดจังหวะ ถ้าพวกท่านจะไปที่โลก ก็ควรมีไกด์ อย่างข้าซึ่ง...มีประสบการณ์นิดหน่อยที่นั่น”
ธอร์ร้องเสียงอู้อี้จากเครื่องพันธนาการตนเขาดิ้นไม่หยุด มองที่โลกิ
“ประสบการณ์แห่งความล้มเหลวของเจ้างั้นรึ”ธานอสหันมาเย้ยหยัน
“ใช่ ข้ามี โอ้ท่านธานอส ข้า โลกิ เจ้าชายแห่งแอสการ์ด”ชั่วขณะนึงเขามองไปยังธอร์ที่ไม่ได้ละสายตาจากเขา “บุตรแห่งโอดิน”
“....”
“ว่าที่กษัตริย์แห่งโยธันไฮร์มเทพแห่งกลลวง”
ในมือของโลกิมีดเล่มสั้นโผล่ออกมา ธอร์เห็นแล้ว เขายิ่งดิ้นมากขึ้น
โลกิหยุดทำเรื่องบ้าๆเดี๋ยวนี้!!!
“ข้าสัญญาข้าจะจงรักภักดีต่อท่าน—“
ธานอสยิ้มมองปลายมีดที่จ่อบนคอตน“จงรักภักดีงั้นเหรอ?”
มีดในมือของโลกิถูกพลังของถุงมือยับยั้งเอาไว้เขาไม่สามารถขยับได้ดั่งใจ
“บางทีเจ้าควรเลือกคำพูดให้ถูกเสียหน่อยนะเทพตัวน้อย”
เคร้ง
มือใหญ่ค่อยเคลื่อนมากำรอบคอบางของโลกิโดยที่เขาไม่อาจขัดขืนได้
“อ่อก..”
ธอร์เห็นเช่นนั้นก็ยิ่งดิ้นจากห่วงโซ่ที่รัดตรึงเขาอยู่เขากำลังมองดูน้องชายถูกดึงวิญญาณออกไปโดยละสายตาไม่ได้
...ปล่อยน้องข้าเจ้ายักษ์โสมม แล้วมาสู้กับข้า...
ภายในใจเขากรีดร้องเหลือเกิน
ร่างของโลกิดิ้นไม่หยุดทันใดนั้นเองมันก็เงียบสนิท
เพียงชั่วอึดใจที่ธอร์หวังว่านี่เป็นกลลวง
“ไม่มีฟื้นคืนอีก”ธานอสกล่าว
ร่างของโลกิร่วงหล่นตรงหน้าธอร์ใบหน้าด้านข้างที่ธอร์เห็นขาวซีด ดวงตาเบิกกว้าง
หลังจากที่ธอร์สูญเสียหลายสิ่งมามากในตอนนี้เขาได้เสีย ...สิ่งที่เป็นดั่งหัวใจที่รักของเขา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in