- สรุปว่าที่เมื่อวานทั้งวัน ลูกไม่ได้ลืมตาขึ้นมาเลย ก็มาลืมตาแป๋วตอนตี 1 ครึ่ง! ซึ่งก็คล้องกับเวลาที่เขาชอบดิ้นตอนที่ยังอยู่ในท้องนั่นแหละ
- ลืมตาไม่พอ ยังแหกปากร้องอีกด้วย สันนิษฐานกันเพราะว่าหิว เนื่องจากไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่ 9 โมงเช้า ก็ต้องโหยกันบ้างเป็นธรรมดา แต่หิวแล้วยังไม่ยอมกินด้วยนี่สิที่ลำบาก เมย์ยังไม่มีน้ำนมออกมาให้มากพอจะกินได้ ส่วนลูกเองก็ยังดูดไม่เก่ง แถมไม่ค่อยให้ความร่วมมือ พอเอาเข้าเต้าปุ๊บก็หลับ พอวางไปหน่อยนึงก็ตื่นมาเพราะหิว เอาไปจ่อเข้าเต้าก็หลับ เออ วนไปยังงี้
- ตอนตี 3 ก็เลยไม่ไหวละ เพราะกลัวลูกจะหิวมากไปกว่านี้ อีกอย่างคือกลัวว่าตัวจะเหลืองและต้องอยู่รพ.ต่อ จึงเรียกให้ห้องเนอสฯ มาเอาตัวกลับไปให้นม และก็อยู่ที่ห้องนั้นเลยยันเช้า
- เมย์ตื่นขึ้นมาตอน 6 โมงเพื่อปั๊มนม (จริงๆ เป็นการกระตุ้นมากกว่า เพราะปั๊มไปก็ยังไม่ออก) ทุกครั้งในการปั๊มจะใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมง ก็ต้องลุกขึ้นมานั่งทุก 3 ชม. เครื่องมันก็เสียงฟังเพลินดีนะ มันเป็นจังหวะเดียวสลับกันไปมา ฟังก็เหมือนถูกสะกดจิตให้หลับไปด้วย
- วันนี้ทั้งวันถึงเห็นเมย์ปั๊มนมถี่มากๆ ใครมาก็จะเจอว่าเมย์กำลังปั๊มนมอยู่ตลอด ขนาดหมอมาเยี่ยมก็ยังเจอ
- เพราะเมย์ผ่าท้องแล้วก็เป็นแผล จึงต้องหาตัวช่วยให้ท้องมันกระชับเข้าด้วยกัน จะได้ไม่ต้องเจ็บแผลมาก คือเป็นผ้ารัดหน้าท้องไม่ให้มันขยับจากกันเยอะ ราคา 600 กว่าบาท เราซื้อได้ข้างล่างรพ.นี้เลย
- ใส่ไปได้แป๊ปเดียว เมย์นอนๆ อยู่บนเตียง จับๆ ไปตรงก้นทำไมมันเปียกๆ วะ น้ำอะไรเจิ่งเต็มเตียงเลย พวกเราก็คิดว่าอ๋อ น้ำคาวปลาล่ะมั้ง คนท้องก็เป็นยังงี้แหละ แต่พอพยาบาลมาบอกว่ามิใช่ นี่คือฉี่ กลิ่นคือฉี่ชัดๆ! เมย์ก็งงดิ อะไรวะ นี่ฉี่ราดเหรอ เป็นไปได้ไง ปรากฏว่าไอ้สายที่ต่อเข้าไปตรงกรวยไตมันหลุด! หลุดออกมาจากช่องคลอดเลย มันก็เลยทำให้ฉี่ไหลออกมาจากท่อปัสสาวะพรวดโดยไม่รู้ตัว
- ไอ้เราก็ โอย เอาแล้วไงสัส สงสัยได้เข้าห้องผ่าตัด เผลอๆ จะต้องแอดมิดต่ออีกมั้ย พยาบาลก็วิ่งจ้าไปตามคุณหมอโรคไตที่เป็นเจ้าของไข้ของเมย์ ว่าจะต้องทำยังไงต่อ เพราะมีท่อติดกับจิ๊มิ๊อยู่ เป็นภาพที่น่าเวทนามาก แต่สุดท้ายหมอก็บอกว่า ไม่เป็นไร ใช้ชีวิตปกติได้เลย ไอ้ท่อนี่ก็ให้พยาบาลดึงออกได้เลยจ้า หืม...จริงดิ นี่มันกรวยไตนะมึง... แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ปล่อยให้พยาบาลลองทำดู เออ ปรากฏว่าได้จริงด้วยอะ ทำไมมันง่ายยังงี้
- เพราะเมย์ยังลุกไปไหนไม่ได้ และวันนี้เป็นวันที่เนอสฯ จะมาสอนเราอาบน้ำลูก เพื่อที่กลับบ้านไปจะได้ทำเองได้ ก็เลยทำให้เราต้องไปคนเดียว ซึ่งไอ้การอาบน้ำเนี่ย เพื่อนผู้ชายที่มีลูกแล้วหลายๆ คนบอกว่ายากมาก ตัวพวกมันเองก็ยังไม่เคยอาบให้ลูกเลย เพราะว่ากลัว พูดซะกูมีกำลังใจเลยเชี่ย
- เคยคิดจนหลอนว่า ไอ้เด็กอายุไม่ถึงหนึ่งเดือนเนี่ย มีสรีระที่ชวนพังมาก คือมันดูบอบบาง อ่อนไหว อ่อนแอ สื่อสารก็ไม่ได้ ไอ้ปกติแค่นอนอยู่บนเตียงนิ่มๆ แล้วร้องกูก็งงจะตายห่าอยู่แล้ว แต่นี่ต้องเอาเด็กอายุไม่ถึงสัปดาห์มาอาบน้ำ อยู่ใกล้กับแหล่งน้ำที่เหมือนจะสังหารเจ้าตัวเล็กนี่ได้ ไหนจะอุณหภูมิที่ไม่รู้ว่าเท่าไหร่จะดี นี่จะหนาวตายไหม แล้วจะลื่นหลุดมือตกลงไปไหมเนี่ย กลัวไปสารพัด ซึ่งพอได้มาเห็นจริงๆ ก็พบว่า แม่งน่ากลัวจริงๆ ด้วยว่ะ
- ไอ้พวกรูหู ปาก จมูก ตา เราไม่รู้เลยว่าเขาจะระคายเคืองอะไรตอนไหน หรือระคายเลเวลอะไร เพราะมันร้องจ๊ากตลอดเวลาที่อาบน้ำอยู่ เราไม่รู้ว่าเท่าไหร่ถึงจะสะอาดด้วยซ้ำ ไหนจะการที่ต้องใช้คอตตอนบัตแหย่เข้าไปในหู ในปาก(แทนการแปรงฟันเลย รวมถึงแปรงลิ้นไปด้วย) ในจมูกก็ต้องแหย่ เราเป็นผู้ใหญ่แท้ๆ แหย่ๆ เองยังเจ็บได้ นี่ต้องแหย่ให้กับทารก โคตรกลุ้มบ่องตง
- ไม่ใช่แค่อวัยวะปกติ แต่ยังมีไอ้ตรงที่ดูเป็นสิ่งแปลกปลอมอย่างสายสะดือ ซึ่งหน้าตามันเหมือนสิ่งของเละๆ พร้อมจะเน่า เป็นสิ่งที่จะต้องอยู่กับมันไป 7-10 วันก่อนที่จะหลุดออกไปเอง เวลาอาบน้ำเขาบอกว่าโดนไปได้เลย เด็กไม่เจ็บหรอกถึงมันจะถูกตัดมาก็ตามที แต่สำคัญที่จะต้องทำความสะอาดให้ดี ล้างด้วยแอลกอฮอลทุกครั้ง ไม่งั้นจะติดเชื้อและเน่า
- สำหรับเราแจ็กพ็อตไปอีกขั้น คือการอาบน้ำต่อจากนี้อีก 5 วันจะต้องจัดการแผลจากการขลิบไปด้วย โห สัญลักษณ์แห่งลูกผู้ชายของลูกนั้นอยู่ในมือเรา นี่ถ้าเกิดพลาดพลั้งไปทำอะไรให้จู๋มันเออเร่อนี่โตมาจะมองหน้ากันติดไหม กลัวบ้านแตกมากๆ
- ดีหน่อยที่สำหรับเด็กอายุไม่ถึงเดือนเนี่ย เขาจะให้อาบน้ำแค่วันละครั้งตอนเช้า ส่วนตอนเย็นก็ใช้วิธีการเช็ดตัวเอา
- แต่โดยรวมก็คือมันยาก แต่เป็นสิ่งที่จะต้องทำชัวร์อยู่แล้วก็เลยไม่ได้กังวลอะไรมาก รอดูวันพรุ่งนี้ที่เขาจะปล่อยให้เราเป็นฝ่ายทำเอง
- ตัดภาพมาที่ห้อง เมย์ยังคงปั๊มนมอย่างขยันขันแข็ง ถึงไม่มีเครื่องปั๊มติดอยู่กับเต้า มือของเธอก็ยังต้องเค้นนมเพื่อให้หัวนมยื่นมากขึ้น ลูกจะได้กินได้สะดวกๆ เราประทับใจมากๆ เพราะเหมือนว่าเมย์ยอมดูเป็นคนวิกลจริตเพื่อสุขภาวะที่ดีของลูก ดิส อิส กู้ด มัม
- เราเองก็ต้องช่วยด้วยเหมือนกัน คือมันจะมีท่าของเด็กสำหรับการเข้าเต้า เมย์ทำคนเดียวช่วงแรกอาจจะลำบากหน่อย พยาบาลก็เลยให้เราช่วยด้วยเวลาที่ลูกเข้ามาทดสอบการกินนม คือ จิกตรงหัวนมช่วงบนแล้วยกขึ้น เพื่อบี้ตรงส่วนปลายให้เล็กและแหลมที่สุดเพื่อให้ลูกดูดได้ ส่วนอีกมือนึงก็ต้องคอยกระตุ้นให้ลูกดูด ด้วยการแตะๆ ที่เหนียง และคอยกวนอย่างอื่นเพื่อไม่ให้หลับ ส่วนอีกหน้าที่นึงที่ได้รับมาคือพยายามนวดนมให้เมย์ นวดจากฐานนมมาจนปลายนม เป็นการกระตุ้นและลำเลียงจากฐานมาจนปลายพีระมิดอะไรยังงั้น นี่น่าจะเป็นช่วงที่ยุ่งกับนมเมียตัวเองเยอะที่สุด ส่วนเมย์เองก็เป็นช่วงที่ให้มนุษย์สัมผัสและเห็นนมตัวเองเยอะที่สุด จากตอนแรกที่เหวอแดกช่วงมาหาหมอฝากท้องแล้วโดนจับนม ตอนนี้กลายเป็นชินสัสๆ ประหนึ่งเป็นชาวบ้านสมัยสุโขทัย
- หลังจากที่พยายามกันมาประมาณนึง รางวัลที่เราได้วันนี้ ก็คือ เมย์เริ่มมีนมออกมาบ้างแล้ว ตอนปั๊มช่วงเช้า จากเครื่องที่เคยโล่งๆ บรรจุแค่อากาศจำนวนนิดหน่อยเท่านั้นเมื่อปั๊มเสร็จ คราวนี้มันมีนมออกมาหยดนึงเว้ยยย! นี่รีบวิ่งไปหาพยาบาลบอกว่า เราจะทำยังไงกับหนึ่งหยดนี้ได้บ้าง เอาสลิงค์ไปดึงไปแหย่ปากลูกได้ไหม พยาบาลบอกว่าเอาไปแช่ แล้วก็ไม่ได้บอกอะไรต่อ คงไม่อยากหักหาญน้ำใจ
- เมื่อนมเริ่มมา มันจะมาเรื่อยๆ ตอนประมาณสี่ทุ่ม เมย์ก็เริ่มปั๊มนมได้ราว 1 ช้อนชา สัญญาณของน้ำนมเริ่มเห็นชัดเจนขึ้น เราก็สบายใจกันได้ไปเปาะนึง ที่เหลือที่ยังต้องลุ้นก็คือ เมื่อไหร่เจ้าชิมจะให้ความร่วมมือ
- แต่คุยกับเมย์เอาไว้ว่า พรุ่งนี้ตอนที่จะออกจากรพ. หมอจะต้องไปเจาะเลือดเพราะดูว่าตัวเหลืองไหม และเหลืองเลเวลไหน ซึ่งถ้าลูกจะเสี่ยงตัวเหลือง เราก็คงต้องตัดสินใจกันว่าจะเอายังไงกับนมผง และทำไงกับการปั๊มนมต่อ หาทางผสมผสานกันต่อไป
- เพราะมันมีไอเดียบางอย่างที่เป็นแนวคิดเข้าข้างตัวเองได้อยู่บ้าง ถึงจะรู้,เข้าใจไปว่านมแม่ดีที่สุดก็ตาม แต่นี่แม่เราก็นั่งอยู่ด้วยแท้ๆ ก็บอกว่าไม่เห็นจะเคยเลี้ยงด้วยนมแม่ โตมาด้วยนมผงทั้งนั้น ก็รู้สึกว่าแข็งแรงพอประมาณนะ ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรบ่อยๆ จะมีแค่เรื่องท้องไส้ซึ่งก็อาจจะเป็นผลกระทบ ยิ่งพอคิดว่ายุคสมัยมันคงเปลี่ยน ทางเลือกมันเยอะขึ้น จะปรากฏความคิดหรือทฤษฎีใหม่มันก็คงไม่แปลก ความเลวร้ายของธรรมชาติที่อาจทำให้นมผงมันแย่ลงก็คงมีบ้างแหละ แต่เอาเข้าจริงเมื่อเราต้องเลือกเอาว่าต้องให้ทารกไปเสี่ยงในขณะที่เขายังสื่อสารไม่ได้เนี่ย มันอาจไม่ใช่เรื่อง จะนมผงนมแม่มันก็คงขึ้นอยู่กับสถานการณ์และแต่ละปัจจัยของครอบครัวที่คงมีไม่เหมือนกันหรอก บ้านเราก็ยังงี้ เดินไปกลางๆ อย่าไปซ้ายไปขวาเสียมาก เอาตามความเหมาะสม และอย่าเอาแนวคิดของใครมาตัดสินเรา หรืออย่าเอาความเชื่อของเราไปยัดใส่สมองใครนักเลย
- พรุ่งนี้กลับบ้านแล้ว
- ถ้าตัวไม่เหลืองนะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in