เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
DIARY FOR MY SONNatchanon Mahaittidon
day 14-
  • - เมย์ป่วยเป็นรอบที่สามภายใน 140 วัน จากโรคเดิมคือกรวยไตอักเสบ แต่คราวนี้ถึงจะไม่มีอาการหนาวสั่นอย่างที่โรคเป็น มีแค่ไข้ราว 39 หมอก็ยังฟันว่ามาจากต้นทางเดิม คือมาจากไตและกรวยไตที่ใส่ท่ออยู่ จึงต้องแอดมิดเพื่อเปลี่ยนท่อและให้ยาฆ่าเชื้อและกำจัดเชื้อราที่มีโอกาสเกาะอยู่ตรงท่อที่หมอใส่

    - ก็เลยต้องนอนรพ.อยู่ตั้งแต่วันที่ 29 เพิ่งจะได้ออกวันนี้

    - กำหนดคลอดทีแรกคือวันที่ 7 มกราคม แต่หมอสูติบอกว่าเพราะกลัวว่าแม่จะมีอาการอีก ซึ่งมันมีโอกาสอยู่พอสมควร ได้รับยามากเกินไปก็ไม่ดี คุยกับหมอโรคติดเชื้อ หมอไต ก็เลยตกลงกันว่า คงต้องให้คลอดแล้ว ตอนอายุครรภ์ 36 วีค ก็คือวันที่ 19 ธันวาคม

    - แต่เราคิดว่ามันเร็วไปหน่อย อายุครรภ์ที่สมบูรณ์มันเริ่มตั้งแต่ 37 วีคนี่หว่า อ่านเจอมานิวส์ แต่ปล่อยไปถึง 37 เลยก็กลัวแจ็กพ็อตว่าเมย์จะป่วยอีก เราก็เลยโอเควะ เกิน 36 วีคก็โอเคแล้วมั้ง แต่ยังไงก็ขอตัดสินใจด้วยวิธีการคณิตศาสตร์ก่อน ก็คือการชั่งดวง

    - หลังจากชั่งดวงเสร็จด้วยตัวเองแล้ว ซินแสแบงค์ฟันธงว่าวันที่ดีที่สุดและอยู่ในช่วงที่ดีที่สุดก็คือ 21 ธันวาคม เช็กกับผู้ใหญ่แล้วก็พบว่าดีอยู่ เป็นวันแพะ ไม่ชงกับพ่อแม่ปีฉลูและเถาะ (ล่าสุดซินแสของซินแสมาบอกว่าฉลูชงกับแพะ ไม่เป็นไรซินแสแบงค์ไม่ถือ ถือว่าไม่ชงละกัน) แถมยังเป็นวันไหว้บัวลอย มงคลใช้ได้ เวลาน่ะเหรอหมอ จัดไปจ้ะก่อน 11 โมง แต่ห้ามก่อน 9 โมงนะ

    - กูทำหนังสือจริงใช่ไหม

    - เป็นที่มาของวันที่ 21 ธันวาคม ซึ่งนับตั้งแต่วันนี้คือเหลืออีก 14 วันเท่านั้นแหละ

    - เลยจะบันทึกเอาไว้สักหน่อย ว่าทำอะไรบ้างก่อนจะคลอด

    - พอรู้ว่าจะต้องคลอดก่อนกำหนด หมอก็เลยมีการขยับเขยื้อนเยอะหน่อยหลังจากที่เป็นสายชิลล์มานาน

    - วันที่ 1 ธันวาคม เริ่มจากคุยกันเรื่องน้ำหนักของลูกตอนที่ออกมา เท่าไหร่ถึงจะดีพอและพอดี หมอบอกว่า 2.5 กก.กำลังแจ๋ว ซึ่งตอนที่เช็กอินเข้ารพ.มาเนี่ย อัลตราซาวน์ดูแล้วลูกหนักแค่ 1.9 กก.เองว่ะ ขาดอีกตั้ง 600 กรัมแน่ะ ครึ่งกก.เชียว

    - วันที่ 4 ธันวาคม หมอพาไปอัลตราซาวน์แบบละเอียด เพื่อดูดีเทลการทำงานต่างๆ ของอวัยวะลูก เช่น การเต้นของหัวใจ เสียงในอวัยวะต่างๆ ก็เลยได้ข้อมูลเพิ่มมาว่า ตอนนี้ 2.4 กก. แล้ว! ทำไมมันอ้วนไวจังวะ ผ่านไปแค่ 5 วันเองนะ แต่หมอก็บอกว่ามันเป็นการคะเน +/- ได้ อะ...แต่อย่างน้อยก็ 2.2 กก. หมายความว่าตอนนี้ก็เหลืออีกแค่ 300 กรัมเอง

    - การที่น้ำหนักไม่ถึงนี่มีผลอะไรบ้าง? เอาเข้าจริงมันก็ไม่เป็นปัญหาอะไรนักหรอก เพราะเด็กก็สามารถเติบโตได้ปกติ บางคนเกิดมา 2.3 กก.ก็ยังมี ตอนที่แอดมิดอยู่ก็มีชะโงกหน้าไปดูเด็กคนอื่นว่าหนักเท่าไหร่กัน คนที่ต่ำกว่า 3 กก.ซึ่งเป็นน้ำหนักโดยเฉลี่ยก็เยอะเหมือนกันนะ แต่ตัวก็จะเล็กเห็นได้ชัดไปเลย เราก็พอจะคะเนตัวลูกจากตรงนี้นี่แหละ

    - น้ำหนักมีผลต่อการซื้อประกันชีวิตและประกันสุขภาพ บางแห่งเด็กที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 2.4 กก.จะเริ่มมีปัญหาในการพิจารณาประกัน เพราะเชื่อกันว่าอาจมีภาวะแทรกซ้อนได้ ซึ่งก็คิดว่าต้องซื้อประกันอยู่แล้ว ให้มันผ่านเกณฑ์ไปหน่อยก็ดี

    - อะ จึงต้องทำน้ำหนัก พอหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตเขาบอกว่าให้กินไข่ต้ม เนื้อสัตว์ นม กล้วยน้ำว้า อะไรทำนองนี้ในการทำน้ำหนัก เราอยากได้สัก 2.8 กก. กำลังดีกำลังสวย มีเวลาอีก 2 อาทิตย์ในการขุน สู้!

    - วันที่ 5 ธันวาคม พี่นกกับพี่พรสรรค์มาเยี่ยม นั่งคุยกันอยู่ดีๆ พยาบาลเปิดประตูเข้ามาบอกว่าเดี๋ยวเตียงมารับนะคะ / ไปไหน / ไปห้องคลอด / ตกใจเหวอแดกกันทั้งคณะ หมอมึงจะรีบไปไหนแล้วทำไมถึงไม่บอกกู สรุปว่าเปล่า ไปห้องคลอดค่ะไม่ใช่ห้องผ่าตัด ถ้าลูกจะออกมาต้องไปห้องผ่าตัดค่ะไม่ใช่ห้องคลอด โอเค ไปก็ไป

    - ในห้องคลอดเมย์จะถูกเอาเครื่องคล้ายๆ หูฟังมาแปะไว้ 3 อัน แล้วมีอุปกรณ์สักอย่างคล้ายผ้าก็อตพันเอาไว้ ข้างๆ เป็นเครื่องจับความสั่นไหว เป็นกราฟที่แสดงเสียงหัวใจของลูก, การบีบตัวของมดลูก, และชีพจร ปริ๊นออกมาเป็นกระดาษคล้ายๆ กับเครื่องวัดแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวในหนัง พนักงานห้องคลอดมีแท่งให้เมย์ถือเอาไว้ เมื่อไหร่ที่ลูกดิ้นก็ให้กดปุ่ม เป็นการทดสอบว่าแม่รู้ตัวไหมเวลาลูกดิ้น นอนกดอยู่ยังงั้นครึ่งชั่วโมง

    - เรื่องลูกดิ้นนี่ เมย์สบายมาก คือลูกดิ้นเก่งอยู่แล้ว เหมือนเป็นชนเผ่าเมารีบนเกาะฮาวายอวตารมาเกิด อะไรจะดิ้นจะแดนซ์ขนาดนั้น ก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาในการสังเกตสังกาว่าลูกตอบสนองหรือไม่

    - วันที่ 6 ธันวาคม วันนี้ขอหมอออกจากรพ.เสียที เพราะไม่ไหวแล้วกับค่ารักษา มันเจ็บจนเกินที่ใจจะทน เจ็บจนหมดแรงแม้ยืนก็ล้ม น้ำตาท่วมท้นทุกข์ทนทั้งใจ หมอครับผมขอกราบลา ประกันทะลุไปแล้วครับ ตอนนี้ขอให้ผ่าน phase ของลูกออกมาให้ได้ก่อน แล้วเดี๋ยวจะกลับมารักษาตัวแม่อีกทีอย่างละเอียด เมื่อบ๊ายบายกับหมอ จ่ายเงินเรียบร้อยด้วยน้ำตาที่รินไหล พยาบาลก็เริ่มมานัดแนะวันคลอด

    - ก่อนหน้านี้เมย์มีส่งลิสต์ของที่จะต้องเตรียมไปวันคลอดมาให้ช่วยดูว่าต้องเติมอะไรไหม ซึ่งพอได้เห็นแล้วก็โอ้โหมึง นี่มันลิสต์ย้ายบ้าน แทบจะขอน้ำไฟให้ไหลเข้าไปในห้องพักฟื้นแล้ว เยอะมาก ดูแล้วน่าจะสักสองกระเป๋าเดินทางได้

    - ปรากฏคุณพยาบาลบอกว่าคุณแม่ไม่ต้องเอาอะไรมาเลยค่ะ ทุกอย่างรวมอยู่ในแพคเกจเรียบร้อย / เสื้อผ้า? / ไม่ต้องอะค่ะ มีหมด / เสื้อที่ใส่วันกลับบ้านล่ะ? / มีให้ค่ะ / สบู่ที่จะใช้ / ทางเราจัดไว้แล้วค่ะ / เครื่องปั๊มนม? / มีค่ะ ถามนู่นนี่อะไรก็มีให้หมด กระทั่งพวกเอกสารทำสูติบัตรทางรพ.ก็จะทำเรื่องกับเขตที่เราจะให้ลูกไปอยู่ให้ เราก็มีหน้าที่แค่ไปรับเท่านั้นเอง

    - อ่อ เขาให้เตรียมทะเบียนบ้านไปด้วยวันคลอดอะ บัตรปชช.ของพ่อ ของแม่ ไรงี้

    - สรุปที่ต้องเตรียมมาก็คือกางเกงในเอวสูงสำหรับเมย์ เพราะหลังจากผ่าคลอดแล้วจะใส่กางเกงในที่มันขนานกับบิกินี่ไลน์ไม่ได้ จึงต้องใส่กกน.อาม่า เออ ก็วินเทจอินดิโก้ใช้ได้อยู่หรอก

    - แล้วก็มีเรื่องเล็บที่จะต้องเน้นมาก คือต้องตัดให้สั้น เพราะการเลี้ยงเด็กต้องสะอาดมาก จะไว้เผื่อฟ้อนนี่ไม่ได้ มือก็ต้องล้างก่อนจับตลอด (นี่เลยมีคิเรอิวางเต็มบ้านเตรียมพร้อม)

    - วันที่ 21 จะต้องมาตั้งแต่ 6 โมงเช้า หมอจะเริ่มเซ็ตอัพตอน 8 โมงเช้า ห้ามกินอะไรตั้งแต่เที่ยงคืนเป็นต้นไป คือตื่นมาปุ๊บก็บึ่งมารพ.เลย

    - รายละเอียดระหว่างคลอดเป็นอะไรที่น่าสนใจ หลักๆ จะอยู่ระหว่างการซักประวัติก่อนจะเข้าห้องคลอด ตรงนี้แหละที่เราจะย้ำกับหมอว่าอะไรที่เราอยากได้,ไม่ได้อยากได้ ตรงไหน concern และตรงไหนที่มีกังวล คือไอ้ชาวบ้านอย่างเราก็ฟังคนอื่นมาน่ะนะ ก็อยากให้ลูกได้อะไรที่ดีที่ชัวร์ อย่างไอ้การดูดนมแม่ทันทีเมื่อออกมาจากท้อง นี่ก็ต้องย้ำเป็นเคสไปว่าเราจะเอายังงี้ บางคนผ่าออกมาปุ๊บหมอก็แยกเด็กออกจากแม่เลย ซึ่งว่ากันว่ามันส่งผลต่อน้ำนมของแม่ ธรรมชาติเขาอยากให้มันมีไปกระตุ้นก่อน กูก็ไม่รู้หรอกว่าจริงไหม เรียนศิลป์อังกฤษมาอะมึง แต่ก็ขอหมอเอาไว้หน่อยแล้วกัน พยาบาลบอกว่าอะไรเหล่านี้ไปดีลตอนซักประวัติเลย เพราะเขาจะถามว่าเราวางแผนการเลี้ยงลูกเอาไว้ประมาณไหนบ้าง แล้วเขาจะทำให้มันเข้าทางกับเราไปด้วย เออ ก็ดี เพราะตอนที่อยู่ในห้องผ่าตัดคลอดเนี่ย เราไม่ได้อยู่ด้วยตลอดเวลา ดังนั้นจะไปชี้บอกตอนที่ลูกออกมาแล้วว่าให้เอาปากไปจู้นมมันก็ไม่ได้

    - ซึ่งก็เพิ่งรู้ว่าเรา(พ่อ)จะไม่ได้เข้าไปตอนที่ผ่า แต่จะเข้าไปตอนที่ลูกออกมาแล้ว ซึ่งหน้าที่ที่เข้าไปก็คือ แค่เข้าไปถ่ายรูปร่วมกันแล้วก็จบ เอ้า ตลอดมาก็คิดว่าจะได้เข้าไปกุมมือ ช่วยกันเบ่ง คลายความกังวลจากคมมีด โอ้โห โรแมนติกสัด โมเมนต์ออฟมายไลฟ์ บัทฟักยูการแพทย์ ทำไมมาแยกกันยังงี้

    - พยาบาลเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนมันก็ยังงั้นแหละ แต่ทีนี้มันเคยมีพ่อบางคนเข้าไปแล้วเสือกเป็นลมไง พอเป็นลมคนอื่นเขาก็ทำคลอดอยู่ ก็ช่วยไม่ได้ ตัวก็หนัก ล้มไปทีข้าวของเขาก็เละเทะ ไม่มีคนไปช่วยอีก เวทนามาก รูปก็ไม่ได้ถ่าย รพ.ก็เลยออกกฎเสียเลยว่าให้พ่อเข้าไปหลังจากเอาตัวลูกออกมาแล้ว

    - พอลูกจะมาเร็วกว่ากำหนด ทำให้แผนเปลี่ยนไปพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงินหรือการงาน เลยใช้เวลาช่วง 2-3 ที่ผ่านมานี้ในการรวบรวมสติเชื่อมงานเตรียมนู่นนี่เอาไว้ให้พร้อมต่อการหายตัวไปเป็นเดือนของเรา (บายนะครับทุกคน) และเร่ิมวางแผนของปีหน้าแล้วว่าจะทำยังไงให้ชีวิตมันดีขึ้นและมั่นคงได้ อะไรที่ตกหล่นไปก็เริ่มปะติดปะต่อได้ ที่เคยมองแบบเบลอๆ ก็เริ่มชัดเจน ได้เห็น phase ต่อไปของทุกอย่างมากขึ้น การอยู่รพ.ครั้งนี้ทำให้เราเห็นชีวิตจริงของตัวเองมากขึ้นเยอะ และเมื่อเห็นความจริงแล้วก็จะเดินต่อไปได้ในทางที่คิดว่าถูกต้องที่สุด อย่างน้อยก็ตอนนี้

    - ไม่ใช่แค่ลูก แต่เป็น 7 วันในรพ.ที่เราเองก็โตขึ้นมาก เรียบเรียงได้แล้วว่าอะไรสำคัญบ้างในชีวิต เป็นครั้งแรกที่สัมผัสได้ถึงคำว่า ลูกเมียต้องมาก่อนเป็นยังไง รวมถึงได้เห็นสิ่งที่พี่คนอื่นๆ บอกกับเรามาตลอดว่ามันจะเกิด “แหล่งพลังงาน” ทันทีเมื่อเรามีลูก เออ ได้เห็นแล้ว ที่เครียดๆ นอยด์ๆ คิดว่าทำเพื่อครอบครัวแล้วหายเหนื่อยเลย มาเลยพวกมึง กูพร้อมสู้แล้ว

    - และตั้งใจว่านี่แหละจะเป็นสิ่งเดียวที่พยายามจะไม่เครียดใส่มัน ไม่ว่ายังไงก็ตาม
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in