Author’s Note : ยังคงเกาะขอบสตอรี่จากในหนังมาเรื่อยๆเรียงๆนะคะ ตอนนี้แอบสั้นนิดนึงน้า
Pairing : Thor x Loki
Rate : G
Warning : Boy's Love , ฟิควาย , *Spoiler Alert* for Thor : Ragnarok
………………………………………………………………..
………………………………………………………………..
177 A ถนนบลีคเกอร์ เป็นหนึ่งในไม่กี่สถานที่ในนิวยอร์ก ที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนสามารถตัดขาดจากความวุ่นวายและเสียงจอแจของผู้คนและรถราบนท้องถนนได้ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในโถง แล้วปิดประตูตามหลัง
…เว้นแต่ว่า...คุณจะพาเอาต้นต่อของความวุ่นวายติดตัวมากับคุณด้วย... และด็อกเตอร์สตีเฟ่น สเตร้นจ์ก็เพิ่งทำข้อยกเว้นที่ว่าไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน แถมต้นตอที่ว่า ก็เป็นระดับเทพเจ้าแห่งความวุ่นวายผู้ซึ่งเกือบถล่มนิวยอร์กจนราบเป็นหน้ากลองมาแล้วเสียด้วย
อาจจะฟังดูแปลกสมชื่อฉายา ‘หมอแปลก’ แต่สตีเฟ่นก็อดภูมิใจเล็กๆไม่ได้ ที่ภารกิจเฝ้าระวังและป้องกันความไม่สงบจากกลุ่มแบล็กลิสต์ในครั้งนี้ของเขาผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
เขาทิ้งร่างลงบนโซฟาหนังตัวโปรด และหยิบหนังสือเล่มหนาซึ่งตนอ่านค้างไว้ขึ้นมาวางบนตัก แม้ความคิดของเขาจะยังวนเวียนอยู่กับคู่เทพเจ้าพี่น้องจากแอสการ์ด ซึ่งสตีเฟ่นเพิ่งส่งตัวผ่านประตูมิติของเขาไปหาโอดินที่นอร์เวย์
‘...ขอน้องชายข้าคืนด้วย…’
สตีเฟ่นลอบถอนใจและส่ายหน้าเบาๆ เมื่อหวนนึกถึงสีหน้าท่าทางและแววตาของผู้พูด ก่อนเปรยออกมาลอยๆกับตัวเอง
“เทพเจ้าสายฟ้าผู้เกือบลืมค้อนโยลเนียร์ แต่กลับไม่ลืมทวงน้องชายคืน...”
ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจหัวอกธอร์ ในเมื่ออาวุธคู่มืออย่างโยลเนียร์ บุตรแห่งโอดินจะเรียกให้กลับมาหาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่น้องชายตัวแสบนี่สิ ที่ผ่านมาต้องไล่ล่าตามหาตัวกันให้ทั่วจักรวาล เจอแล้วก็ใช่จะบังคับพากลับบ้านกันได้ง่ายๆอีก ไม่แปลกที่คนพี่จะทำตัวติดแจกับน้องชายขนาดนั้น
นึกๆดูก็ไม่รู้ว่าเขาพลาดไหม ที่ปล่อยให้เทพแห่งสายฟ้าจัดการพาโลกิกลับแอสการ์ดด้วยตนเองในเมื่อที่ผ่านมาก็ดูท่าจะเอาไม่อยู่ซะเป็นส่วนใหญ่...
เอาเถอะอย่างน้อยตอนนี้สตีเฟ่นก็รู้วิธีจัดการกับเทพจอมก่อเรื่องนั่นแล้ว หากต้องรับมือจริงๆ...
มิติกระจกอันว่างเปล่าซึ่งเขาใช้กักตัวอนุชาของธอร์ไว้ชั่วคราวนั้น เดิมทีเป็นสถานที่ซึ่งเขาใช้อยู่กับตัวเองเพื่อทบทวนและใช้ความคิด พลังของมันจะสะท้อนและขยายสิ่งต่างๆให้ชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพลัง ความคิด เสียงในหัว หรือสิ่งซึ่งซ่อนอยู่ลึกไปกว่านั้นอย่าง...ความทรงจำ...
เขาไม่คาดคิดเลยว่ามันจะทำเอาเทพเจ้าแห่งคำลวงถึงกับฉุนขาดเมื่อมายาที่สร้างขึ้นมาห่อหุ้มปกป้องตนเองไว้ของหมอนั่นถูกฉีกทำลาย
...สุดท้ายแล้ว...มายาที่สร้างขึ้นนั้น...จงใจลวงหลอกผู้ใด...
...สุดท้ายแล้ว...เพลิงโทสะนั้น...เนื้อแท้แล้วโกรธเกลียดผู้ใด...
ล้วนเป็นสิ่งซึ่งโลกิ ลอเฟย์ซันต้องค้นหามันด้วยตนเอง...
“โชคดีในการหาคำตอบน้า...บียอนเซ่…”
ด็อกเตอร์สตีเฟ่น เสร้นจ์ยกถ้วยชาในมือขึ้นจิบ นัยย์ตาปรากฏรอยยิ้ม ก่อนจะเริ่มต้นสนใจเนื้อหาบนหน้าหนังสือในมืออีกครั้ง
---ℑ---
กว่าจะมาถึงจุดๆนี้ จุดที่โลกิบุตรแห่งลอเฟย์ได้ชื่อว่า ‘เทพเจ้าแห่งคำลวง’ เขาต้องสั่งสมวีรกรรมมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ จู่ๆจะให้เปลี่ยนมาทำเรื่องตรงไปตรงมากับที่ใจคิดนี่...
ขอเถอะนะ เห็นแก่เคราโอดิน!
ข้อแรก...มันไม่ใช่เรื่องที่จู่ๆใครจะนึกอยากเปลี่ยน ก็เป็นแบบนี้มาเกือบจะครึ่งชีวิตแล้วไหมล่ะ และข้อสอง ต่อให้นึกอยากเปลี่ยนจริงก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ หรือทำได้ทันทีเสียที่ไหน…
ตัวอย่างก็เพิ่งเห็นไป... เขาอาจจะบังเอิญอยากเจอใครบางคนแทบเป็นแทบตาย แต่พอได้เจอตัวเป็นๆ แค่รู้ว่าตนเองกำลังอยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย ยังไม่ต้องหันไปเห็นหน้า ยังไม่ต้องสบตาสีฟ้าหวานเยิ้มของเจ้าบ้านั่นด้วยซ้ำ เขาก็กระอักกระอ่วนจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว ทำอะไรไม่ถูกแล้ว ไอ้เรื่องโผเข้าไปกอดน่ะ ฝันไปเถอะ!
แถมคนอุตส่าห์เป็นห่วง กลับมาเจออีกคน... เอ๊า! ก็ปลอดภัยดี แถมดูดี๊ด๊าสบายใจเมื่อไม่มีเขาเป็นตัวกวนข้างๆ คนเรามันก็พาลหงุดหงิดอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุกันบ้างเป็นธรรมดา…
ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีคดีทำโอดินหายติดตัวเป็นชนักปักหลังอยู่ล่ะก็ รับรองเลยว่าเขาจะป่วนให้อีกคนพลิกทั้งมิดการ์ดเพื่อตามล่าหาตัวเขาให้ดู อย่าหวังเลยว่าเจ้าพี่บ้าจะได้ยืนยิ้มสบายใจเป็นหมีกริซลี่ย์เจอน้ำผึ้งแบบนั้น
น่าเจ็บใจสุดก็เจ้าพ่อมดปลายแถวนั่น... ต้องถือว่าดวงหมอนั่นยังดีที่เปิดประตูมิติได้ทัน ไม่งั้นล่ะก็พ่อมดก็พ่อมดเหอะ ได้เจอเขาคิดบัญชีทั้งต้นทั้งดอกแน่ๆ โทษฐานไปขุดเรื่องไม่น่าจดจำมาใส่ให้รกสมองเขา
...ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ยังไม่พอรึไงกัน...
ในหัวเขายังมีเรื่องของเจ้าพี่บ้านั่นไม่มากพอรึไง!...
...กี่ปีแล้วที่ธอร์หนีไปอยู่มิดการ์ดไม่โผล่กลับมาให้เขาเห็นหน้า ไม่คิดบ้างเหรอว่าทำไมเขาถึงต้องมานั่งดูละครเรื่องโศกนาฏกรรมของตัวเองซ้ำๆ ถ้าไม่ใช่เพราะ...
เปรี้ยง!!
เสียงอสุนีบาตดังกึกก้องจนโลกิสะดุ้ง ช่วยหยุดความคิดฟุ้งซ่านในหัวเขาให้พลันชะงัก วูบหนึ่งที่ประกายสีขาวเป็นแนวยาวจากเมฆดำหนาทึบเบื้องบนทอดตัวลงสู่พื้นเบื้องหน้าไม่ไกลออกไปนัก แต่ไม่มีร่างแกร่งทรงพลังปรากฏออกมาตรงหน้าเขาอย่างที่ใจแอบหวังไว้
“...นึกว่าจะตายยาก...”
โลกิเอ่ยแฝงน้ำเสียงประชดประชัน
‘นี่...เพราะเจ้าเป็นต้นเหตุ…’
คำพูดของธอร์ยังคงดังก้องในหัวปะปนไปกับเสียงครืนบนฟ้า
...โอดินตายแล้ว...และแม้เขาจะใช้เพียงเวทบิดเบือนความทรงจำ และทำการกักพลังของโอดินไว้ ซึ่งนั่นไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตแท้ๆ แต่ธอร์ก็ยังโทษว่าทั้งหมดเป็นความผิดของเขา
...ไม่อยากจะเชื่อเลย กระทั่งเขาหลุดมาอยู่บนดาวดวงนี้ซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดาวอะไร ความโกรธแค้นของเชษฐาเพียงคนเดียวก็ยังตามไล่ล่าเขามาถึงนี่...
แต่โลกิไม่ได้กลัวว่าธอร์จะโกรธและโทษเขาอีกแล้วในตอนนี้
เขานึกถึงภาพโยลเนียร์ซึ่งถูกบีบแตกกระจายเป็นกองหินด้วยน้ำมือเฮล่า พี่สาวซึ่งเขาและธอร์เพิ่งได้รู้ว่ามีตัวตนก็วันนี้ และระหว่างที่สู้กันในไบฟรอสต์เขาก็ถูกพี่สาวจอมโหดโยนออกมา เป็นสาเหตุให้เขามาโผล่บนดาวอะไรก็ไม่รู้อย่างที่เห็นนี่... ในขณะที่ธอร์ยังคงต้องรับมือกับนางเพียงลำพังโดยปราศจากอาวุธคู่กาย...
…การสูญเสียบิดาไป แล้วยังต้องมาสูญเสียโยลเนียร์ ในคราวเดียวกันต่อหน้าต่อตาแบบนั้น...แน่นอนว่าพี่ชายเขาคงต้องเจ็บปวดใจมากแน่ๆ...
...แล้วในเวลาแบบนี้...
...ทั้งที่เขาน่าจะได้อยู่เยาะเย้ยข้างๆ...เขากลับต้องมาติดแหงกอยู่ที่ดาวบ้านี่ และบางทีอาจจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มโง่ๆบนใบหน้าเจ้านั่นอีกแล้วก็ได้
...นั่นต่างหากที่เขากลัว...
“...เจ้าพี่บ้านั่น...”
…ถูกฆ่าตายไปแล้วรึยังนะ...
เทพแห่งคำลวงนั่งเหม่ออยู่พักใหญ่ จนกระทั่งสายฟ้าฟาดเปรี้ยงดังสนั่นอีกครั้งนั่นล่ะ เขาถึงแหงนหน้ามองก้อนเมฆสีดำมะเมื่อมบนหัว
ดูท่าอีกไม่นานเขาคงต้องเจอฝนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โลกิทอดสายตามองดูเศษซากทับถมเป็นกองขยะกองมหึมากินอาณาบริเวณกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา หวังเพียงหาสิ่งใกล้ๆตัวอันพอจะใช้กำบังฝนชั่วคราวก็ยังดี แต่รอบตัวกลับไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆให้เขาเข้าไปพักหลบฝนได้เลย... มีเพียงแง่งหินใหญ่ที่เอนตัวพาดเหนือเนินขยะ ซึ่งพอมีหลืบเล็กๆให้เขาพอเข้าไปนั่งหลบได้เท่านั้น
เมื่อได้ที่หมายโลกิก็ยันพื้นเพื่อลุกขึ้น จากนั้นก็ใช้สองมือเกาะเกี่ยวลากร่างกายในสภาพดูไม่จืดของตนไปทางแง่งหินซึ่งหมายตาไว้… นึกขอบใจเฮล่าที่ไม่ได้โยนธอร์ลงมาพร้อมกัน จะได้ไม่มาเห็นเขาในสภาพน่าสมเพชเช่นตอนนี้
ที่แท้ตอนตกลงมา ขาข้างหนึ่งของโลกิบาดเจ็บจากการถูกแท่งโลหะแท่งหนึ่งแทงทะลุเข้าบริเวณโคนขา แม้จะดึงเจ้าแท่งนั่นออกไปได้แล้ว และฉีกชายเสื้อคลุมตนมามัดปากแผลไว้เพื่อห้ามเลือด แต่ขืนโดนฝนเทซ้ำลงมาตอนนี้ เขาคงได้นอนตายแถวนี้ไม่ต่างจากหมาตัวหนึ่งแน่…
โลกิกัดฟันลากสังขารตนจนไปล้มแปะหมดแรงหน้าแง่งหิน จังหวะเดียวกับที่เม็ดฝนเริ่มโรยตัวเปาะแปะลงมากระทบใบหน้าของเทพหนุ่มชาวแอสการ์ด และไม่กี่อึดใจต่อมาสายฝนก็เทซู่ลงมาอย่างหนักจนเขาเปียกปอนตั้งแต่หัวจรดเท้า หลืบหินนั่นดูจะกำบังอะไรไม่ได้มากนัก เนื่องด้วยสายฝนเทลงมาหนักกว่าที่คาดคิดไว้ จนรอบตัวกลายเป็นภาพเบลอๆคล้ายม่านสีเทากางกั้นไว้
“วันนี้วันอะไรนะ... ทำไมต้องมาซวยติดๆกันด้วย”
เขาแค่นขำอย่างปลงๆ ก่อนหลับตาลง สดับฟังเสียงลั่นครืนและเสียงฟ้าผ่าของท้องฟ้าสีหม่นเหนือศีรษะ ปล่อยให้ใจคิดถึงผู้ซึ่งเคยปรากฏกายพร้อมๆกับสายฟ้า ท่ามกลางความหนาวเย็นของเม็ดฝนที่ชะเอาพละกำลังของเขาให้อ่อนจางลงไปทีละน้อย... ทีละน้อย...
==TBC.==
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in