Author’s Note : ฟิคเรื่องนี้มาในแนว SideStory ของ Thor : Ragnarok นะคะ บางช่วงบางตอนอาจจะสรุปๆเพื่อให้ใช้เนื้อเรื่องของหนังมาประกอบกันไป คนที่ยังไม่ได้ดูอาจจะงงๆหน่อยเพราะเนื้อเรื่องแต่ละตอนไม่ต่อกันเป๊ะๆเสียทีเดียว ในตอนนี้อาจจะเล่าเรื่องแบบย้อนไปย้อนมานิดนึง ถ้างงหรือมีอะไรแนะนำ คอมเม้นท์ได้เลยค่า ยินดีรับไปปรับปรุงแก้ไขน้า สุดท้ายก็หวังว่าคนอ่านจะสนุกไปกับเรานะคะ
Pairing : Thor x Loki
Warning : เป็นฟิควายนะคะ แม้ว่าส่วนตัวจะชอบโมเม้นท์คู่นี้ในลักษณะ Bromance แต่ก็ไม่รู้อารมณ์คนเขียนจะพาลากเข้ารกเข้าพงแถวไหน(...) ใครไม่ชอบอ่านวายก็ผ่านไปดีกว่าเนอะ และ *Spoiler Alert* for Thor : Ragnarok ค่ะ
………………………………………………………………..
………………………………………………………………..
สายลมเอื่อยพัดผ่านแพรผ้าบางกรองแสงพลิ้วไหว ละลู่ไปกับลาดไหล่เด็กชายซึ่งนั่งเอนกายอยู่บนกรอบหน้าต่างห้องหนังสือ เขากำลังจดจ่อกับตำราเวทย์โบราณเล่มหนาในมืออย่างเงียบๆ ก่อนจะถูกเสียงหัวเราะโหวกเหวกโวยวายจากเบื้องล่างดึงความสนใจให้นัยย์ตาสีเขียวน้ำทะเลสว่างใสผละจากตัวอักษรบนหน้ากระดาษ
“เจ้ามาหลบอยู่นี่เองโลกิ! โวลสแต็กซ์เจอถ้ำใต้ผาน้ำตกทางชายป่า พวกข้าเลยจะลองไปสำรวจดู มาเร็วน้องข้า!โดดลงมาเลย ข้ารับเจ้าเอง!”
เจ้าคนที่ตะโกนแหกปากคุยอย่างอารมณ์ดีนั่งอยู่บนหลังม้าตรงทางเดินต่ำลงไป อ้าแขนแข็งแกร่งนั่น โดยคาดหวังให้เขากระโดดพุ่งตัวลงไปหาจากหน้าต่างชั้นบนของปราสาท แถมกวักมือเร่งยิกๆ เอาแต่ใจสุดๆแบบนี้ ทั่วทั้งแอสการ์ดจะเป็นใครไปได้อีกนอกจาก ...ธอร์... บุตรแห่งโอดิน...
รอบกายของธอร์ยังปรากฏกลุ่มคนบนม้าอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งก็คือแก๊งค์เพื่อนธอร์ อันได้แก่ เฟนดรัล โวลสแต็กซ์ โฮกัน และเลดี้ซิฟอันเป็นภาพคุ้นตาดีสำหรับโลกิ...
เขารู้ดี...ข้างกายของเชษฐาไม่เคยปราศจากผู้คนที่รักเขา...
...และรู้มานานนักหนาแล้วว่า... เขากับธอร์แตกต่างกันแทบทุกเรื่อง ราวกับมาจากคนละขั้ว
...ธอร์เป็นโอรสองค์โตแห่งโอดิน... เจ้าชายรูปงามองค์น้อยผู้มีเส้นผมสีทองดุจแสงแดดอบอุ่นกลางฤดูหนาว และดวงตาสีฟ้าสดใสราวท้องฟ้ากลางฤดูร้อน รอยยิ้มเจิดจ้าดั่งดวงตะวัน และมีพรแห่งความกล้าหาญซึ่งไม่มีสิ่งใดจักทำให้หวั่นหวาดได้...
...ว่าที่รัชทายาทแห่งแอสการ์ด... ทายาทเพียงองค์เดียวที่อยู่ในสายพระเนตรของโอดินผู้เป็นบิดา...
...ไม่มีสิ่งใดเหมือนเขาเลยแม้แต่นิดเดียว...
โลกิยกมุมปากให้ดูคล้ายยิ้ม เขาไหวไหล่เล็กน้อยก่อนจะร้องตอบเชษฐา
“ท่านพี่ไปเถอะวันนี้ข้ามีหนังสือที่ต้องการอ่านให้จบ และท่านก็รู้ข้าไม่ชอบขี่ม้ากลางแดดร้อนๆเท่าไหร่”
แต่ไหนแต่ไรมาแล้วที่โลกิไม่ค่อยชอบออกไปผจญภัยโลดโผนนอกปราสาทเหมือนพี่ชายและผองเพื่อนของพี่ บุตรคนรองของโอดินชมชอบใช้เวลาอยู่แต่ในห้องหนังสือ ตัวปราสาท หรือถ้าอากาศดี ก็จะออกไปนั่งเล่นในสวน มีเพียงหนังสือในมือเท่านั้นเป็นเพื่อนแท้ไว้แก้เหงา แตกต่างจากธอร์บุตรคนโตของโอดินซึ่งชื่นชอบการฝึกซ้อมต่อสู้ ขี่ม้า และผจญภัย
ความชอบอันแตกต่างเหมือนจะพาให้สองพี่น้องแยกห่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ไม่ เพราะเจ้าพี่ชายจอมเอาแต่ใจดันชอบมาลากผู้เป็นน้องให้ติดสอยห้อยตามไปทำนู่นทำนี่ไม่ได้เว้นในแต่ละวันซะนี่
นานๆ ทีโลกิจึงจะยอมเอ่ยปากขัดใจ จงใจแกล้งเชษฐาของตนบ้าง แต่ต่อให้เขาพูดเช่นไรสุดท้ายเจ้าพี่บ้านั่นก็ยืนกรานจะให้เขาทำตามใจเกือบทุกครั้งนั่นล่ะ
“ตามใจเจ้า โลกิ...แต่มันจะต้องสวยมากแน่ๆ ข้าก็แค่อยากให้เจ้าได้เห็นมันกับตา...”
โลกิกระพริบตาปริบ เมื่อครั้งนี้อีกฝ่ายกลับยอมตามใจเขาง่ายกว่าทุกครั้งเสียจนเขาไปไม่เป็น ได้แต่มองในแง่ดี ว่าบางทีเจ้าเทพโคถึกนี่ คงเรียนรู้ที่จะหมดความอดทนเป็นเหมือนคนอื่นเขาบ้างแล้วกระมัง...
โลกิยกมุมปากขึ้นปรากฏคล้ายรอยยิ้มจางๆ
ถึงคนเป็นพี่จะยอมตามใจแต่ก็ยังไม่วายจงใจบ่นดังๆ ให้ได้ยิน
“ข้าแน่ใจว่าเจ้าจะต้องอิจฉา เวลาข้ากลับมาเล่าให้ฟัง…โลกิ”
…อิจฉา...? ...แน่นอนพี่ข้า...
…ข้าอิจฉาในทุกๆ เรื่องของท่านอยู่แล้ว...
ประกายตาสีเขียวกระด้างขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มบดบังความรู้สึกวูบไหวในใจตน ก่อนที่อีกคนจะสังเกตเห็นได้
เมื่อเหล่านักผจญภัยตัวน้อยชักม้าเหยาะย่างห่างไป โลกิซึ่งเฝ้ามองตามแผ่นหลังของเชษฐาจนลับสายตา กลับกระโดดลงจากกรอบหน้าต่าง เขาวางหนังสือในมือลงบนโต๊ะ ก่อนจะกลับไปที่ห้องของตนฉวยรองเท้าบินได้มาสวม และแอบไล่ตามกลุ่มของพี่ชายไปยังถ้ำแห่งนั้นด้วยอย่างเงียบๆ
...เรื่องอะไรจะยอมให้เจ้าพี่บ้ามาคุยฟุ้งให้เขาอิจฉาเล่นเล่า บางทีเขาอาจจะแกล้งให้อีกฝ่ายตกใจเล่นกับลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ หรือหาอะไรสนุกๆ เล่นในถ้ำที่ว่านี่ก็ได้หากมีโอกาสเหมาะๆ แน่นอนว่าเทพแห่งการหลอกลวงเช่นเขา ย่อมมีดีกว่าแค่โกหกเจื้อยแจ้วไปวันๆ แน่...
---ℑ---
เมื่อถึงผาน้ำตก โลกิก็ใช้เวทแปลงร่างตนเองเป็นงูเกล็ดสีดำเหลือบเขียว เลื้อยตามกลุ่มของธอร์เข้าไปชื่นชมความงามในถ้ำแห่งนั้นด้วยทันที
มันเป็นถ้ำหินอันโอ่โถงสวยงามจริงดังที่พี่ชายเขาคุยโวไว้ และที่นี่ก็เย็นสบายดีจนโลกิอดเสียดายไม่ได้ ที่โวลสแต็กซ์ดันค้นพบมันก่อนเขา ไม่เช่นนั้นเขาคงได้ใช้มันเป็นสถานที่ลับในการพักผ่อนหย่อนใจได้เป็นอย่างดีทีเดียว
“ดูสิว่านี่ใครตามเรามา!”
เพราะมัวแต่เผลอมองดูรอบๆ งูน้อยโลกิถึงถูกมืออุ่นของใครบางคนคว้าจับเข้าตรงส่วนใกล้หัวด้วยมือเปล่าอย่างระวัง และยกร่างเขาขึ้นมาพร้อมยื่นแขนแข็งแรงให้งูน้อยอย่างเขาได้เกาะเกี่ยว
...เดี๋ยวนะ?! ท่านรู้ได้ยังไงว่าเป็นข้า!??...
โลกิได้แต่นึกในใจอย่างตื่นตระหนก แต่ยังไม่ทันจะกลับคืนร่างประโยคถัดมาของอีกคนก็ทำให้รู้ว่าตนเข้าใจผิด
“เฮ้...คนสวย ถ้ำนี่เป็นบ้านเจ้าหรือ?”
งูน้อยเคลื่อนตวัดส่วนหางพันรอบลำแขนธอร์ แกล้งทำตัวให้สมกับเป็นงูทันที ส่วนหัวเขายังถูกยึดกุมไว้ และดวงตาสีฟ้าสดใสก็ก้มลงมามองสบ แววตาของเชษฐาซึ่งมองมาที่เขาทอแววดีใจและออกจะหลงใหลชื่นชมร่างงูของเขาจนโลกิอดรู้สึกประหม่าแปลกๆ ไม่ได้
แน่ล่ะ... ถ้าเป็นโลกิเทพแห่งคำลวงคงไม่มีวันได้รับสายตาชื่นชมเช่นนี้จากคนเช่นธอร์เป็นแน่...
เทพสายฟ้าตัวน้อยใช้นิ้วหัวแม่มือลูบเบาๆบนหัวงูน้อย ก่อนหันไปหาเพื่อนๆ ซึ่งเดินมาดูใกล้ๆ บ้าง
“ข้ารู้ว่าท่านชอบงูนะธอร์ แต่มันอาจจะมีพิษสงต่างจากที่เห็น” โฮกันเอ่ยเตือน
บุตรคนโตของโอดินได้แต่ยิ้มกว้างตอบ สำหรับธอร์แล้วอสรพิษตัวน้อยบนแขนเขา ช่างไม่ต่างกับสัตว์เลี้ยงแสนสวยน่าทนุถนอมตัวนึงเท่านั้น
“พวกเจ้าว่างูนี่เหมือนโลกิไหม?”
ธอร์เอ่ยถามพลางชูเพื่อนตัวน้อยบนแขนตนอวดเพื่อนๆ
“แน่นอนธอร์ ใครๆ ก็รู้ว่าอนุชาท่านลิ้นสองแฉก และพิษสงพอๆ กับงูพิษตัวน้อย”
คำตอบของเฟนดรัลเรียกเสียงหัวเราะจากคนที่เหลือ เพราะเป็นที่รู้กันว่า ในบรรดาพวกเขาทั้งหมดนอกจากธอร์แล้ว เฟนดรัลนี่ล่ะที่มักเป็นเหยื่อการแกล้งของโลกิบ่อยครั้ง
ธอร์ลอบระบายลมหายใจออกยาว ยิ้มฝืดๆ ให้กับมุขตลกนั่น
“เขาก็แค่...เฮ้!”
ธอร์ยังไม่ทันได้แก้ต่างให้อนุชา เจ้างูในมือก็ฉวยโอกาสสะบัดหัวสุดแรงจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอ จนหลุดการจากการจับยึด และมันก็ว่องไวเกินกว่าเทพสายฟ้าตัวน้อยจะคาดคิด พริบตาเดียวงูน้อยสีสวยก็คลาดสายตากลืนหายไปกับมุมมืดของถ้ำ
“ไม่นะ!”
เจ้าชายองค์น้อยอุทานออกมาอย่างเสียดาย
---ℑ---
ตลอดบ่ายวันนั้นธอร์ยังคงเอาแต่บ่นงึมงำคนเดียวไม่เลิก ขณะเที่ยวเล่นสำรวจถ้ำกับเพื่อนๆ
“ข้าว่าโลกิน่าจะชอบมัน... เสียดายจัง... ถ้าพวกเจ้าเจองูนั่นช่วยข้าจับด้วยล่ะ”
“ท่านจะพามันกลับวัง?”
โวลสแต็กซ์ถาม
“โลกิไม่ได้มา... ถ้าได้เห็นงูนั่นบางทีครั้งหน้าเขาอาจจะอยากออกมาข้างนอกบ้าง รู้ไหม ข้าว่าขืนเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในวังเช่นนั้น เขาคงตัวซีดเป็นกระดาษเหมือนหนังสือที่เขาชอบถือไปมาเข้าสักวันเป็นแน่”
คนเป็นพี่มุ่นคิ้วเบาๆ เมื่อพูดถึงน้องชายที่ดูจะไม่แข็งแรงเท่าไหร่ในความรู้สึกของเขา
เฟนดรัลจงใจมองบนอย่างล้อเลียน
“อ้า!...ของกำนันแด่อนุชาท่านสินะ... เจ้าชายธอร์แห่งแอสการ์ด... มีใครอีกไหมในเก้าโลกที่ยังไม่รู้...ว่าท่านมัน... ‘ไอ้คนติดน้อง’…”
วาจาของเฟนดรัลยังคงเรียกเสียงหัวเราะให้กับทั้งแก๊งค์ได้เช่นเดิม และเทพแห่งความสำราญคงแซวเพื่อนตนอย่างคะนองปากถึงไหนต่อไหนเป็นแน่ หากไม่เกรงใจเลดี้ซิฟ ซึ่งเริ่มมองค้อนใส่เจ้าชายองค์โตแห่งแอสการ์ดที่ดีแต่หัวเราะตาม ไม่ยอมเถียงคำแซวเหล่านั้นสักคำ
บทสนทนาหยอกเย้าเหล่านั้นกลับไม่ถึงหูคนถูกพูดถึงแม้แต่นิด เพราะทันทีที่หลุดจากการยึดกุมของเชษฐา งูน้อยตัวนั้นก็เลื้อยหลบออกจากถ้ำแห่งนั้น กลายร่างและกลับมาที่ปราสาทแอสการ์ดด้วยรองเท้าบินได้ของเขาทันที
อ๋อ แน่ล่ะ เขาหงุดหงิดสิ หงุดหงิดมากด้วย มันไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมายเลย แต่มันก็ยังกวนใจเขาได้สำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่เคยมีสิ่งใดเป็นของเขา! ไม่มี!...
ตลอดมามีแค่ ธอร์! บัลลังก์ของธอร์! ประชาชนของธอร์! เพื่อนของธอร์!
และเขา...โลกิ...ก็เป็นเพียงอนุชาของธอร์...
ต่อหน้าทุกคนอาจทำเหมือนเขาเป็นเจ้าชายอีกคนของแอสการ์ด แต่ลับหลังไม่ว่าใครก็เห็นเขาเป็นเพียงติ่งเล็กๆไร้ค่า ไร้ความสำคัญสำหรับทุกคนที่นี่ ในขณะที่ใครต่อใครมองธอร์บุตรคนโตของโอดินอย่างชื่นชม ในฐานะว่าที่กษัตริย์แห่งแอสการ์ด... เจ้าชายรัชทายาทผู้แข็งแกร่งและกล้าหาญ เขายังคงเป็นได้แค่ โลกิ... อนุชาของธอร์... เทพจอมลวง ปลิ้นปล้อนไม่ต่างจากอสรพิษร้าย ซึ่งคอยอาศัยเกาะหลบอยู่ใต้เงาผ้าคลุมของธอร์ผู้เป็นเชษฐาเท่านั้น!
ข้าวของตรงหน้าถูกแขนเล็กเหวี่ยงกวาดลงจากโต๊ะ จนตกแตกกระจายเกลื่อนพื้นเพื่อระบายอารมณ์ ก่อนเจ้าของห้องจะเรียกกริชอาคมขึ้นมาบนฝ่ามือ และซัดใส่แจกันดอกไม้ใหญ่ตรงมุมห้องจนแตกกระจาย
โลกิหยุดยืนเงยหน้าขึ้นเพื่อให้หยาดน้ำอุ่นร้อนไหลกลับเข้าไปข้างใน เขายืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ปล่อยให้ดวงตาที่พร่ามัวจับอยู่บนกลีบดอกไม้ซึ่งกำลังปลิดปลิวลอยคว้างในอากาศราวกับละอองหิมะอันหนาวเหน็บแห่งโยธันไฮม์อย่างเงียบงัน
---ℑ---
หลังจากวันที่ไปสำรวจถ้ำ ธอร์ไม่ได้เจอหน้าโลกิมาหลายวัน ไม่ว่าเขาจะเพียรตามหาอนุชาองค์น้อยของเขาทั่วทุกสถานที่โปรดของอีกฝ่ายเท่าที่นึกออกแล้วก็ตาม จนกระทั่งเจ้าชายแห่งแอสการ์ดเริ่มหงุดหงิดหนัก ถึงขนาดเพื่อนๆในแก๊งค์ของเขาและเลดี้ซิฟเองก็ยังเข้าหน้าไม่ติด
ธอร์ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ดูเหมือนโลกิจงใจหลบหน้าเขามาตั้งแต่วันนั้น
...กะอีแค่ไปเที่ยวเล่นข้างนอก... และก็ใช่ว่าเขาไม่เอ่ยปากชวน...
ธอร์นึกในใจอย่างหงุดหงิด
วันนี้เขาลองมาดูที่สวนข้างปราสาท ดวงตาสีฟ้าสอดส่ายมองหาเด็กน้อยผอมบางผมดำขลับและดวงตาสีเขียวสุกใส คนที่เคยติดสอยห้อยตามไปกับเขาในทุกๆ ที่ แต่ก็ไม่เจอ
เขาหันไปทุบต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ ด้วยกำปั้นเพื่อระบายอารมณ์ที่เริ่มพลุ่งพล่าน มิคาดร่างสีดำเป็นเกล็ดเลื่อมสีเขียวสะท้อนประกายแดดของงูน้อยคุ้นตาจะร่วงตุ้บลงมาที่พื้นตรงหน้าเขา
ธอร์ก้มลงคว้าจับช่วงหัวของงูน้อยไว้ได้อย่างชำนาญ ใบหน้าเขาปรากฏรอยยิ้มซึ่งหายไปนานช่วงหลายวันมานี้
“เฮ้!...ดูซิว่าใครหลบมาอยู่ที่นี่...”
เขายื่นลำแขนให้งูน้อยพันเกาะ แต่ดูเหมือนคราวนี้งูน้อยจะจงใจทิ้งตัวนิ่งไม่ตอบสนอง
“….”
เมื่อแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตตัวเล็กตรงหน้ายังจงใจหมางเมินใส่เขา ธอร์ก็เลยเปลี่ยนมาช้อนอุ้มร่างงูน้อยไว้ในวงแขนตนแทนอย่างจ๋อยๆ ลงไปถนัดใจ
“เอ้า!...ไม่พันก็ไม่พัน... นี่... กระทั่งเจ้ายังเมินข้าด้วยเหรอนี่?...”
เจ้าชายองค์น้อยสบตาสีเขียวสุกสกาวที่เขารู้สึกคุ้นเคยของเจ้างู ดวงตาของมันทำให้เขาไพล่นึกไปถึงใครอีกคนอย่างประหลาด แววตาสีฟ้าของเทพเจ้าองค์น้อยหม่นเศร้าและดูเหงาๆ ก่อนริมฝีปากจะหลุดพึมพำออกมาเบาๆ
“…โลกิ...”
“…ใช่ข้าเอง..!”
งูน้อยในอ้อมกอดคืนร่างกลับมาเป็นโลกิอนุชาองค์น้อย และนาทีนั้นทุกอย่างกลับเกิดขึ้นเร็วมาก เมื่อจังหวะที่อีกคนคืนร่าง ธอร์บุตรแห่งโอดินกำลังก้มลงไปจูบงูน้อยในมือพอดี ริมฝีปากของคนเป็นพี่จึงแตะประทับนุ่มนวลลงบนริมฝีปากของอนุชาซึ่งเพิ่งคืนร่างกลับมาอย่างประจวบเหมาะ
!!!
เทพแห่งคำลวงชะงักค้าง ถ้อยคำที่เตรียมไว้สาดใส่เย้ยหยันเจ้าพี่โง่ของตนคล้ายถูกหยุดไว้ด้วยเวทอันทรงพลังกว่า ใบหน้าเขาพลันร้อนวูบ และทันทีที่รู้ตัว เขาก็รีบสะบัดหน้าออกด้วยความความตกใจ สับสน ระคนอับอายอย่างบอกไม่ถูก เขาเรียกกริชอาคมออกมาแล้วปักมันใส่อกเชษฐากึ่งผลักอีกฝ่ายออกห่างอย่างรวดเร็ว
“อุก!! โลกิ?”
ธอร์ขมวดคิ้วพร้อมปล่อยมือจากอีกฝ่ายและเซถอยไปด้านหลังก้าวหนึ่ง จากสีหน้าและแววตาบ่งบอกได้ว่าอีกฝ่ายประหลาดใจไม่แพ้กัน
...การล่อลวงสัมฤทธิ์ผลอีกครั้ง...
...ตลกร้าย...สมกับมาจากอสรพิษ...เช่นเขา...
โลกิเหม่อมองใบหน้าตื่นตระหนกและสงสัยของเชษฐา หลุบมองมือของอีกคนที่กดกุมบาดแผลไว้ ก็เห็นโลหิตของว่าที่กษัตริย์แอสการ์ดหลั่งรินซึมออกมาตามรอยแยกนิ้วมืออุ่นซึ่งเพิ่งสัมผัสเขา สุดท้ายโลกิก้มมองกริชอาคมเปื้อนเลือดในมือตน ก่อนจะทำให้มันหายวับไป
...โทษของกบฏแอสการ์ด คืออะไรนะ?...
…ใช่ประหารรึเปล่า?...
...อยู่ในห้องหนังสือมาตั้งนาน ทำไมเขาถึงไม่เคยหาอ่านเรื่องนี้มาก่อนเลยนะ...
…แล้วเขาจะมีโอกาสได้เจอหน้าแม่อีกไหม?…
ความคิดไหลพรูเข้ามาในหัว จากนั้นจำได้แค่ตนหันหลังวิ่งหนีไปทางชายป่าอย่างไร้ทิศทาง โดยมีเสียงของธอร์ไล่ตามมาเบื้องหลัง
...เชษฐาคงตามมาเพื่อจับกุมเขา บางทีบาดแผลของธอร์อาจจะไม่ลึกนักก็ได้ ...
โลกินึกปลอบใจตนเอง เพราะแม้ว่าเขาจะเร่งฝีเท้าสักเท่าไหร่คนที่น่าจะบาดเจ็บคนนั้นก็ยังคงไล่ตามเขามาได้อย่างไม่ลดละ
...บางทีธอร์อาจให้อภัยเขาเหมือนทุกครั้ง และพวกเขาก็จะกลับไปเป็นเช่นเดิมเหมือนเมื่อก่อนได้อีก...
แต่ไหนแต่ไรมา เขาไม่เคยหวาดกลัวเชษฐาเท่านี้มาก่อน... เพราะไม่ว่าจะเสียงดังใส่เขาแค่ไหนธอร์ก็ไม่เคยโกรธเขาจริงจังได้นาน... แต่ครั้งนี้ไม่ใช่... ธอร์...คงจะโกรธเกลียดเขาแล้วจริงๆ...
“โลกิ!!”
“โลกิ!”
เสียงตะโกนเรียกชื่อเขาจากผู้ไล่ล่าถูกเปลี่ยนเป็นแรงผลักให้เด็กชายตัวน้อยวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตเข้าไปในป่าลึกจนกระทั่งพลัดตกลงไปในบ่อร้าง...
---ℑ---
แล้วฝันร้ายก็ตามกลับมาหลอกหลอน ภาพร่างอ่อนแรงและเต็มไปด้วยคราบโลหิตของธอร์ท่ามกลางเหล่านางกำนันเบื้องหน้า คล้ายกับค้อนยักษ์ที่ทุบใส่โลกิตัวน้อยจนสติขาดผึงและพลันดับวูบลง…
...เขาเป็นเทพแห่งคำลวง... และคนที่เขาพยายามหลอกก็คือตัวเขาเอง... เขาเป็นคนแทงธอร์ และไม่ว่าเขาจะหลับและตื่นขึ้นมาอีกกี่ครั้ง มันก็ยังคงเป็นความจริงที่หนีไม่พ้น...
แต่โลกิคิดผิด... ความทรงจำอันน่าพรั่นพรึงของเขาถูกฝังกดไว้ในส่วนลึก ความหวาดกลัวและเสียใจสร้างกำแพงเก็บกักความทรงจำครั้งนั้นไว้อย่างแน่นหนามายาวนานทีเดียว
หลังจากถูกช่วยขึ้นมาจากบ่อน้ำในครั้งนั้น เขาก็เป็นไข้สูงอยู่สองวันเต็มๆ เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขากลับจดจำได้ลางๆ เพียงว่า เขากับเชษฐาพลัดหลงกันในป่า และจากปากคำของนางกำนันซึ่งเขามารู้ในภายหลัง ธอร์เล่าให้ใครต่อใครฟังว่า ตัวเขาได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุขณะหล่นลงไปในบ่อน้ำนั่น
ช่วงสองวันที่เขาเป็นไข้ เชษฐาผู้บ้าพลังของเขาพยายามจะขอมาเยี่ยมเขาให้ได้ แต่ก็ถูกนักเวทซึ่งทำการรักษาพระอาการสั่งห้ามไว้ เดือดร้อนคนเพิ่งหายไข้อย่างเขาต้องถูกย้ายเข้าไปพักฟื้นอยู่ในห้องเดียวกันกับคนเจ็บแทน ทันทีที่เขาลุกไหว
โลกิซึ่งจดจำเรื่องราวใดๆ ไม่ได้มากนัก หลังจากฟื้นขึ้นมาก็วนเวียนอยู่เฝ้าดูแล อยู่เป็นเพื่อนเชษฐาซึ่งยังต้องนอนพักรักษาตัวในห้องต่ออีกหลายวัน และนั่นก็ให้ผลดียิ่งกว่าเวทรักษาใดๆ เมื่อเทพเจ้าสายฟ้าองค์น้อยดูจะสดชื่นและอารมณ์ดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด
ตลอดช่วงเวลานั้น ธอร์กลับไม่เคยปริปากบอกใครหรือแม้แต่ถามไถ่ให้เขาระแคะระคายถึงที่มาของบาดแผลนั่นเลย
และถ้าถามโลกิ... มันก็เป็นช่วงเวลาเดียวที่เขารู้สึกเหมือนมีดวงอาทิตย์อันอบอุ่นเป็นของตัวเองท่ามกลางราตรีอันมืดมิดและหนาวเย็น ภายใต้ผ้าห่มผืนอุ่น... ในเตียงของพี่ชาย...
---ℑ---
กระแสลมอุ่นพัดเอื่อยๆจากที่ใดมิอาจรู้ได้ไล้สัมผัสไปบนเปลือกตาขาวซีด ปลุกให้เจ้าของดวงตาสีเขียวอมฟ้าอ่อนจางตื่นขึ้นจากการหลับใหล หากแต่รอบกายและเบื้องหน้ายังคงมีเพียงความมืดอันเวิ้งว้างของเขตอาคมโอบล้อมร่างเขาไว้
“โธ่โว้ย!”
โลกิเริ่มสบถอย่างหงุดหงิดทันทีที่เริ่มรู้สึกตัวว่าเขาอยู่ที่ใด ความทรงจำมากมายที่จู่ๆก็ทะลายกำแพงหนาออกมาให้หวนรำลึกถึง ทำเอาเขาอ่อนล้าอย่างประหลาดเมื่อไม่รู้ว่าคนที่นึกถึงป่านนี้จะเป็นเช่นไรบ้าง เขาตะโกนด่าทอเจ้าคนที่กักขังเขาไว้ที่นี่พักใหญ่ ก่อนจะกลายเป็นเสียงเรียกหาใครอีกคน
“ธอร์ โอดินซัน!!”
แต่ไม่ว่าเสียงด่าหรือเสียงตะโกนเรียกของเขา ต่างล้วนถูกเขตอาคมดูดกลืนหายไปอย่างง่ายดาย แต่นั่นกลับทำให้โลกิบุตรแห่งลอเฟย์ยิ้มออก... มันเป็นรอยยิ้มดูเศร้าๆที่สุดจะคาดเดาความหมายของมัน
โลกิเริ่มตะโกนเรียกอีกคนดังขึ้น... และดังขึ้น
“เทพเจ้าสายฟ้า!”
…อยากเจอ...
“ธอร์!!”
...ข้าอยากเจอ...
“เจ้าอยู่ที่ไหน!!”
...ข้าอยากเจอท่าน...
“…พี่ข้า...”
“ท่านพี่!!!”
==TBC.==
Note : ได้ข่าวว่าในหนังออกจะเป็นซีนตลก ไหงมาเป็นฟิคแล้วหมู่เฮายัดดราม่าใส่รัวๆก็ไม่แน่ใจค่ะ 55555 แงงงงงง
ในหนังนี่ซีนตลกจริงๆค่ะ 5555 แต่พอเอามาทำแบบนี้แล้วก็ดีเหมือนกันนะ >< น้องก็ไม่ได้ตั้งใจจะแทงพี่ซะหน่อย พี่น่ะแหละมาจูบน้องเอง! (เอ้า พี่ผิดเฉย5555)
ร่วมด้วยสูดกาวด้วยคนค่ะ กาวให้สุดอย่าหยุดที่อินฟินิตี้วอร์ 555555
ปล. อาจจะเม้นฟิครัวๆหน่อยนะคะ อย่าพึ่งรำคาญกันน้า><