เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I'm not aroundStopp Kitsch
กลุ่มก้อนของความโศกเศร้า
  • ฉันเคยมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งที่รู้จักกันตั้งแต่ตอนที่ฉันเพิ่งเข้ามหาลัยตอนปี1   เขา ชื่อบิ๊ก ถ้าจำไม่ผิดบิ๊กน่าจะเป็นคนแรกที่ฉันรู้จักตั้งแต่เข้าไปอยู่ในมหาลัยจนตอนนี้ฉันก็เรียนจบมาได้ 3 ปีเห็นจะได้

     

    ฉันเป็นคนมีระบบความจำที่แปลกประหลาดมาโดยตลอด ฉันมักจะจำสิ่งที่คนปกติธรรมดามักจะจำไม่ได้ในความสัมพันธ์เช่นฉันจำวันเกิดของบิ๊กได้แบบถูกต้องทุกอย่างเสมอ วัน เดือน ปี เกิด ไปจนถึงส่วนสูงตอนที่เขาอยู่ปี 2 จริง ๆพอคิดดูแล้วสำหรับฉันมันก็ประหลาดเหมือนกัน

     

    สิ่งที่ฉันจำได้ดีเกี่ยวกับบิ๊กเองก็พิลึกพิลั่นอยู่ไม่น้อย ช่วงนั้นเป็นช่วงที่คุณป้าซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารตามสั่งหน้าหอเสียชีวิตด้วยโรคที่เกิดขึ้นตามอายุที่มากขึ้นของเธอซึ่งนั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก ๆ สำหรับฉันซึ่งก็อาจจะเสียดายนิดหน่อยเป็นธรรมดา เพราะเธอทำกับข้าวธรรมดา ๆ อร่อยมากจริงจริงและช่างแตกต่างจากฝีมือของคนอื่นที่ฉันเคยรู้จัก

     

     

    คืนนั้นฉันถูกบิ๊กชวนไปที่หอ แต่ไม่ใช่เพื่อกินข้าวแต่เพื่อไปนั่งเฝ้าเขาทำอาหารแบบที่เขาสั่งจากร้านป้าเป็นประจำอยู่ในครัว

    หลังจากนั้นเขาก็เริ่มชิมสิ่งที่ตัวเองทำลงไป

     

    เขาร้องไห้

     

    และพูดออกมาเบา ๆ ว่า “ห่วยแตก”

     

    คืนนั้นเขาส่งฉันกลับบ้าน พร้อมคำพูดประหลาด ๆ เช่นเดิม

     

    “ถ้าวันนี้แกไม่มาอยู่กับเรา เราคงฆ่าตัวตายไปแล้วแน่ ๆ”

     

    ฉันได้แต่บอกว่าไม่เป็นไรหรอก และเดินกลับหอด้วยความรู้สึกที่ประหลาดที่สุดเรื่องพิลึกแบบนี้คืออะไรกันนะ ฉันไม่เข้าใจเลยซักนิด

     

    หลังจากวันนั้น แทนที่ฉันจะตีตัวออกห่าง ฉันกลับสนิทกับเขามากขึ้นเพราะอะไรฉันเองก็ไม่อาจรู้ได้ ทุกครั้งที่ฉันอยู่ใกล้เขาฉันจะรู้สึกถึงพลังอะไรบางอย่างที่น่าดึงดูดในความแปลกประหลาดเหล่านั้นโดยมิอาจปฏิเสธได้

     

    จนเมื่อปีสี่ อยู่ ๆ บิ๊กก็ลาออกไปเฉย ๆ โดยไม่ได้บอกลาอะไรกันมากนัก ทั้ง ๆที่เราเองก็ค่อนข้างสนิทกันฉันมั่นใจว่าในมหาลัยฉันน่าจะเป็นคนที่สนิทกับเขามากที่สุดแล้ว

     

    หลังจากนั้นฉันก็ได้ยินข่าวลือประหลาดบางอย่าง…..

    คืนหนึ่งเพื่อนฉันคนหนึ่งที่มหาลัยโทรมาเล่าถึงเรื่องบางอย่างที่ทำให้ฉันตกอยู่ในภวังค์จนถึงเช้าของอีกวัน

    หลังจากที่บิ๊กลาออกไป ห้องของบิ๊กก็ถูกปล่อยให้นักศึกษาคนอื่นมาเช่าต่อเหตุการณ์ทั้งหมดมันเริ่มจากตรงนั้น
    คนแรกที่เข้าไปอยู่ต่อจากบิ๊กเล่าว่าทุกครั้งที่เธอกลับมาที่หอเธอจะรู้สึกเหมือนข้าวของในห้องครัวถูกสลับที่กันเองอย่างเป็นปริศนาตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองอาจจะแค่คิดไปเอง เธอจึงตั้งใจวางช้อนและส้อมไว้ในจุดที่เธอรู้สึกได้ถ้าหากมีการสับเปลี่ยนเพียงนิดเดียว เธอก็จะรู้ได้ในทันที

     

    และหลังจากที่เธอกลับมาที่ห้องสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นจริง ๆ

     

    ช้อนที่เธอวางไว้ด้านซ้าย ตอนนี้มันถูกสลับมาอยู่ด้านขวา

    หลังจากคืนนั้นเธอคนนั้นก็รีบย้ายออกไปอย่างเร็วที่สุด

    เรื่องยังไม่จบเพียงแค่นั้น แต่หลังจากนั้น ผู้พักคนอื่นก็เจอเหตุการณ์ประหลาด ๆอีกเต็มไปหมด ที่เห็นว่าชวนขนหัวลุกที่สุดน่าจะเป็นเรื่องที่ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งน่าจะมีสัมผัสพิเศษหรืออะไรสักอย่างซึ่งฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน คืนนั้นระหว่างที่เธอกำลังอยู่ในภวังค์กึ่งหลับกึ่งตื่นจากการทำไฟนอลโปรเจคต์ติดต่อกันสองคืนเธอได้ยินเสียงร่ำไห้เบา ๆ ของผู้ชายดังออกมาจากห้องครัวเธอใช้ความกล้าทั้งหมดที่มีอยู่เดินเข้าไปดูในนั้น

    สิ่งนั้นปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางความมืดซึ่งมีเพียงแสงจาง ๆ แซมออกมาจากผ้าม่านส่องให้เห็น…

     

    สิ่งนั้นมืดดำ เงียบขรึม และโศกเศร้า ราวกับอยู่ไกลออกไปจนมิอาจจะเอื้อมถึง

     

    หลังจากคืนนั้นเธอย้ายออกไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองที่นั่นอีกหลังจากนั้นทุกคนก็เล่าให้ฟังว่าเธอกลายเป็นคนอีกคนไปเลย เธอไม่ร่าเริงเหมือนเช่นเดิมกลายเป็นคนยิ้มยากและโศกเศร้าดังเช่นพลังงานในห้องนั้นไม่มีผิด

     

    เกิดอะไรขึ้นกับบิ๊กนะ

     

    วันนั้นจู่ ๆ ความอยากรู้ของฉันก็ทำงานอย่างรุนแรงฉันตัดสินใจเข้าไปเช่าที่นั่นอยู่อีกครั้งเผื่อว่าฉันจะสามารถติดต่อกับบิ๊กหรืออะไรก็ตามแต่ที่อาศัยอยู่ที่นั่นได้ดังเช่นคนอื่น

     

    แต่ไม่เลย

     

    สิ่งเดียวที่ฉันค้บพบคือความว่างเปล่าของที่นั่น

     

    จนข่าวลือเรื่องนี้เงียบหายไป ฉันไม่ได้ยินเรื่องเล่าของห้อง ๆ นั้นอีกอาจเพราะไม่มีใครกล้าเข้าไปอยู่ที่นั่นอีกแล้วก็ได้

    หลังจากนั้นฉันก็ใช้ชีวิตไปตามปกติธรรมดาเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกเลย

     

    เช้าวันหนึ่งฉันได้รับโทรศัพท์จากบริษัทที่ฉันทำงานอยู่ ปลายสายบอกว่าผู้จัดการได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยอุบัติทางรถยนต์ของเมื่อคืนให้ฉันจัดแจงแต่งตัวเพื่อไปร่วมงานศพของผู้จัดการภายในเย็นวันนั้น ให้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับทุกอย่าง

     

    ฉันไปถึงที่นั่นด้วยความว่างเปล่าในจิตใจ ไร้ซึ่งความเศร้าโศก ยินดีหรือยินร้ายใดๆ แต่เรื่องที่ไม่คาดคิดที่สุดเกิดขึ้นที่นั่น

    ฉันเจอบิ๊กที่นั่น

    หน้าตาเหมือนเดิม ไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ตอนที่ฉันพบเขามีเพียงหนวดหรือผมซึ่งยาวขึ้นตามช่วงเวลาที่ไม่ได้พบกันราวกับว่าตั้งแต่วันที่บอกลากันไป เขาก็ไม่ได้ตัดผมหรือโกนหนวดอีกเลย

    สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เขายังไม่ตาย

    ตอนเจอกันนั้นเขาเองก็ดูตกใจที่พบฉันพอ ๆ กันกับการที่ฉันพบเขาเราจัดแจงเรื่องงานศพจนเสร็จเรียบร้อยฉันชวนเขาไปนั่งกินอาหารหลังจากเสร็จงานในวันนี้ เขาทำท่าลังเลซักสองนาทีในขณะนั้นฉันสังเกตถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขา เขาใช้นิ้วทั้งหมดสามนิ้วในการลูบไล้หนวดเคราของเขาระหว่างครุ่นคิดเหมือนตัวละครในหนังสือการ์ตูนที่ฉันเคยอ่านตอนสมัยอยู่ประถม

    บรรยากาศในรถแท็กซี่ที่นั่งไปด้วยกันนิ่ง เงียบ ไร้ซุ่มเสียงใด ๆ มีเพียงเสียงจากภายนอกที่เล็ดลอดเข้ามาเพียงเท่านั้นเป็นเช่นนั้นไปเรื่อย ๆ จนถึงที่หมาย

    ประหลาดที่ความเงียบนั้นไม่ได้สร้างความอึดอัดใด ๆ ให้กับฉันและบิ๊ก

     

    ตอนถึงร้านอาหารทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติธรรมดา ตอนสั่งอาหารเขาสั่งเมนูเดียวกับที่เคยสั่งสมัยตอนอยู่มหาลัย…

    อาหารที่ร้านป้าร้านนั้น

    ร้านที่เรามาทานไม่ได้หรูหราอะไรมากนัก แต่กลับให้ความรู้สึกเย็นสบายและบนโต๊ะมีตะเกียงที่จุดไฟเล็ก ๆ ไว้ในนั้น ฉันนั่งจ้องมันอยู่ระหว่างกำลังรออาหาร

     

     

     

    “แกสบายดีไหม”ฉันเป็นฝ่ายถามก่อน

     

    “อืม….นี่คือคำถามที่ตอบยากที่สุดในรอบหลายปีสำหรับเราตลกดีเนอะ แล้วแกล่ะ…”

     

    “ก็ดีนะ แต่ก็ตลกดีเหมือนกันชีวิตในตอนนี้แตกต่างจากตอนในความคิดของฉันสมัยอยู่มหาลัยลิบลับเลย ตลกดีไหมล่ะที่การเรียนจบออกมามันทำให้ฉันต้องมาอยู่ในโลกที่ไม่เคยมีในอุดมคติของฉันเลยซักนิดเดียว”

     

    เขาเงียบ

     

    “เกิดอะไรขึ้นบ้างหรอ” ฉันถามเขา

     

    “อยู่ดี ๆ แกก็ลาออกไปแบบนั้น ยังเรียนไม่จบแท้ ๆเหลืออีกแค่ปีเดียวเท่านั้นเอง”

     

    “…..” เขาเงียบไปซักพักหนึ่ง สายตาจดจ้องไปที่จุดเดียวกับฉัน

     

    “ตอนนั้นเราทนไม่ไหวเลย ทรมานจริง ๆแค่คิดก็อยากจะลงไปนอนขดลงไปอ้วกอยู่ที่พื้นแล้ว ให้ตายเถอะ”

     

    “เรื่องอะไรงั้นหรอ”

     

    “……ช่างมันเถอะ”อาหารยกมาเสิร์ฟฉันกับเขานั่งกินกันท่ามกลางความเงียบซักพักก่อนที่เขาจะต่อบทสนทนาขึ้นมาเองอีกครั้ง

     

    “ตอนนั้นเราย้ายไปอยู่ที่ลอนดอน….เราคิดว่าเราหนีพ้นแต่ไม่ …. เราหนีมันไม่พ้น ทุกอย่างมันผิดไปหมด”เขาวางช้อนลงและเริ่มก้มหน้าราวกับจะไล่ความคิดบางอย่างออกจากสมอง

    “ที่ว่าหนี หนีอะไรหรอ”

     

    “เธอเคยได้ยินเรื่องกลุ่มก้อนของความโศกเศร้าบ้างไหมล่ะ”

     

    “…ไม่มันหมายถึงอะไรอย่างนั้นหรอ”

     

    “มวลความเศร้าของเรามันรุนแรงมากจริง ๆ มันก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างราวกับจะกลืนกินเราเข้าไปทั้งตัว มันเกลียดเรา…. เหมือน ๆ กับที่เราเกลียดมัน”

     

    “…..”

     

    “จนถึงตอนที่อยู่ลอนดอนแล้ว สิ่งนั้นก็ยังเกาะติดเราราวกับเป็นคำสาป เราตื่นขึ้นมาตอนตีสองของทุกๆ คืน แต่ที่ที่เราตื่นขึ้นมานั้นไม่ใช่ห้องที่ลอนดอน….มันเป็นที่นั่น…ห้องนั้น….. ห้องที่หอเราสมัยอยู่มหาลัย”

     

    ฉันนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไร ในหัวสมองของฉันทำงานอย่างสับสนและจับถึงที่มาที่ไปได้ไม่ชัดเจน

     

    “เราตื่นขึ้นมา เดินเข้าไปในครัวพยายามที่จะทำอาหารแบบนั้นซ้ำ ๆ แต่ทำไมกันนะเราทำไม่ได้เลยซักครั้ง บางครั้งสิ่งที่เราทำได้คือการนั่งอยู่ตรงนั้นและร้องไห้ซ้ำๆ ไปมาราวกับไม่มีจุดสิ้นสุดของความเศร้าหมอง”

     

    “ทุกอย่างมันไม่ใช่ความผิดของแกหรอก” ฉันพยายามจะปลอบใจเขาแม้รู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลยก็ตาม

     

    ในระหว่างนั้นความเงียบลูกใหญ่ก็ถาโถมสู่ฉันและเขาอีกครั้ง

     

    “ฉันพูดตรง ๆ ฉันไม่คิดว่าฉันจะได้พบแกอีกแล้ว”ฉันเป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้นก่อน

     

    “เราก็เหมือนกัน….” คำพูดนั้นขาดห้วงไปซักพักหนึ่งราวกับเขากำลังรอจังหวะที่คำอีกคำจะมาต่อท้ายได้อย่างถูกต้องเหมาะสมตามความหมายที่สุด

     

    “เราไม่คิดว่าฉันจะได้พบใครที่นี่อีกแล้ว”

     

     

    “แล้ว….แกรู้จักกับผู้จัดการยังไงหรอทำไมถึงอยู่ที่นั่น” ฉันชวนคุยเรื่องปกติธรรมดา ให้ทุกอย่างคลายจากความเศร้าไปได้บ้าง

    “เขาเป็นเพื่อนสนิทแม่ของฉันน่ะ…” เขาตอบ

     

    หลังจากนั้นเราก็คุยกันเรื่องสารทุกข์สุขดิบกันเป็นปกติไม่มีเรื่องรุนแรงหรือเศร้าหมองโผล่ขึ้นมาระหว่างบทสนทนา ประหลาดตอนที่เขาไม่พูดเรื่องเศร้า ๆ นั้น เขาเหมือนบิ๊กคนเดิมแทบทุกอย่าง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย

    หลังจากเราสองคนจัดแจงเรื่องอาหารทั้งหมดเรียบร้อย

    เราต่างเดินออกมาจากร้านอาหาร ฉันจำบทสนทนาก่อนจะแยกย้ายกันได้ดี

    โดยไม่คิดว่าจะลืมได้ลง ไม่ว่าวันใดก็ตาม

     

    “เธอกลับยังไง”

     

    “ฉันคงนั่งรถจากแถวนี้แหละ ระยะทางจากร้านนี้กลับไปถึงบ้านฉันไม่ไกลมากนักหรอก”

     

    “ถ้าเราทำอาหารที่อร่อยขนาดป้าคนนั้นได้วันนั้นเราคงได้นั่งกินมันด้วยกันตรงนั้นแล้วล่ะ”

     

    เขาเปลี่ยนเรื่องกระทันหัน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนตามไปด้วย

    “วันนั้นคงจะเป็นวันที่ดี”

     

    “คิดมากหน่า วันนั้นมันไม่ใช่วันที่แย่อะไรนักหรอก” ฉันยิ้มให้



    เขามองดูนาฬิกาและหันกลับมาบอกฉัน

     

    “เราคงต้องไปแล้วล่ะ ไว้เจอกันนะ”

     

    ทันทีที่เขาบอกลาฉัน ฉันรู้สึกถึงอะไรสักอย่าง อะไรที่มีพลังมาก ๆฉันจำพลังงานนี้ได้ดี

     

    ตอนที่ฉันพบเขาครั้งแรก

     

    “แล้วเจอกันนะ”

     

    ฉันโบกมือให้เขาและเดินหันหลังออกมา ความพลังงานที่รุนแรงจนทำให้ฉันไม่สามารถยืนอยู่ตรงนั้นได้อีกต่อไปมันสอดแทรกเข้าไปในร่างกายของฉันผ่านทางผิวหนัง และซึมซับเข้าไปทั่วทั้งร่างกายจนแทบจะหายใจไม่ออกทั้ง ๆ ทุกอย่างนิ่งง่าย ไม่มีอะไรตื่นเต้นหวือหวาหรือผิดปกติระหว่างฉันกับเขา

     

    มันอาจจะฟังดูประหลาด นี่เป็นการบอกลาที่ราบรื่นจนทำให้ฉันกลัว

     

    แล้วมันก็เป็นไปดังที่ฉันคิด

     

     

    หลังจากวันนั้นฉันก็ไม่ได้พบเขาอีกเลย

     

    วันถัดมาบิ๊กก็ไม่กลับไปที่งานศพอีก เขาหายไปอีกครั้งเช่นเดิมราวกับว่าเย็นวันนั้นที่ร้านอาหารไม่เคยมีอยู่จริง เหมือนร้านอาหารเป็นเพียงฉากปลอมๆ ในความฝันของฉันเท่านั้น งานศพนั้นก็เป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเช่นกันฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่าที่งานวันนั้นเพื่อนร่วมงานฉันพูดคุยกันอย่างไรโศกเศร้าเสียใจกันบ้างไหม ฉันจำไม่ได้ว่าพ่อแม่ของผู้จัดการร้องไห้หรือเปล่า หรือภรรยาของเขาได้อุ้มลูกน้อยมาหรือไม่ทันทีที่ฉันพบเขาที่นั่น ฉันเองก็ตระหนักได้ในทันทีว่าชีวิตที่ปกติธรรมดาของฉันได้ถูกฉกฉวยไปเสียแล้ว

     

     

    เขายังคงลึกลับเช่นเดิม เป็นปริศนาทั้งการมาถึงและการจากไปไม่เคยมีคำร่ำลาที่ชัดเจนเกิดขึ้นระหว่างเรา เขาหายไปแล้ว

    สิ่งที่อยู่ในห้องห้องนั้นคืออะไรกัน มันเคยได้ขยับหรือเคลื่อนย้ายไปที่ไหนบ้างหรือไม่

     

    การพบเจอของฉันกับเขาในวันนี้เองยังดูแปลกประหลาดจนน่าตกใจ

    มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา

    ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย

     

    มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาทิ้งไว้ให้กับฉันในวันนั้น ฉันไม่แน่ใจนักว่ามันคืออะไรแต่มันได้ก่อตัวขึ้นในร่างกายของฉันทีละเล็กทีละน้อย กัดกินความรู้สึกความสำนึกคิด และความทรงจำของฉันเป็นอาหาร ฉันไม่รู้ว่ามันมีตัวตนจริง ๆ ไหมหรือเป็นไปแค่ในจินตนาการของฉัน แต่สิ่งเดียวที่ฉันรู้สึกได้เสมอมาจนถึงตอนนี้ คือในร่างกายของฉันไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่แล้วนอกจากความว่างเปล่า และความเศร้าโศก

     

    …..

     

    ตรู๊ดดดดดดดดด ตรู๊ดดดดดดดดดด

     

    “ว่ายังไง”

     

    “เกิดเรื่องประหลาดขึ้นที่ห้องนั้นอีกแล้วล่ะ”

     

    “เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรอ”

     

    “เธอจำเรื่องเงาของผู้ชายที่อยู่ในห้องนั้นได้ใช่ไหมล่ะ”

     

    “ต้องจำได้สิ”

     

    ตอนนี้คนที่เข้าไปอยู่ล่าสุดบอกว่าพบร่างเงาของผู้หญิงอีกคนหนึ่งอยู่ที่นั่นด้วยล่ะ

     

    ฉันเดาว่าร่างเงาของผู้ชายคนนั้นได้หายสาปสูญไปจากที่แห่งนั้นแล้ว

     

    ตลอดกาล

    ……

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in