ผมเคยสงสัยบ่อยๆว่าเราจะทำยังไงถ้าอยู่ดีๆการใช้ชีวิตของเราถูกจำกัดจำนวนประโยคในการพูดเหมือนที่ทวิตเตอร์จำกัดตัวอักษรที่เรากำลังพิมพ์ถ้าการสื่อสารในชีวิตประจำวันของเรามันมีขีดจำกัด เราจะยังพูดคำบางคำหรือประโยคบางประโยคพร่ำเพื่ออยู่ไหมแล้วอะไรคือสิ่งที่เราอยากจะพูดจริงๆจากข้อสงสัยข้างต้นผมได้ทำการทดลองบางอย่างขึ้นเพื่อการวิจัยเป็นโปรเจคต์เล็กๆหรืออะไรก็ตามแต่ที่ไม่มีชื่อเรียกเพื่อคลายข้อสงสัยเล็กๆน้อยๆของผมบ่ายวันหนึ่งผมตัดสินใจเดินเข้าไปในบ้านของครอบครัวหนึ่งซึ่งเป็นคู่สามี-ภรรยาที่แต่งงานกันมาเป็นเวลาสี่ปีแต่ยังไม่มีบุตรนับเป็นบ่ายที่เงียบสงบมากจริงๆนับตั้งแต่ผมก้าวเท้าเข้าไปในอณาเขตของบ้านหลังนี้บ้านเดี่ยวหลังเล็กๆที่มาปลูกอยู่กลางป่าอาจจะเป็นสมบัติของครอบครัวฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงก็ได้ทันทีที่ผมเดินเปิดประตูเข้าไปในบ้านผมก็พบกับภรรยาที่ได้ทำการโทรนัดไว้ล่วงหน้าแล้วเป็นเวลาสองชั่วโมง
“เชิญนั่งก่อนค่ะ”เธอเอ่ยคำพูดทักทายอย่างเป็นมิตรผมสัมผัสได้ถึงความเป็นแม่บ้านและผู้หญิงเรียบร้อยในตัวเธอ แม้จะเป็นแค่ความรู้สึกแต่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจ
“ขอบคุณมากครับ ไม่ต้องเป็นทางการขนาดนั้นก็ได้ถือว่าผมเป็นคนธรรมดาคนนึงเถอะ”
“ปรกติที่บ้านของเราไม่ค่อยมีแขกน่ะค่ะอยู่กันสองคนเท่านั้นจริงๆ”
“ก็อย่างที่ผมติดต่อมาข้างต้นครับผมค่อนข้างสงสัยปนกับสนใจว่าปรกติบรรยากาศของบ้านที่มีสามี-ภรรยาอาศัยกันอยู่เพียงสองคนจะมีบทสนทนาอะไรต่อกันมันอาจจะเป็นการทำวิจัยที่ดูละลายละล้วงไปสักหน่อย แต่ผมค่อนข้างจะสนใจจริงๆครับ”
“ด้วยความยินดีค่ะ”
“งั้นผมขออนุญาตอธิบายถึงขั้นตอนและวิธีการของผมนะครับ”ผมพูดกึ่งทางการพลางหยิบกระดาษที่เขียนกติกาเหล่านั้นยื่นให้เธอ
“ 1.เราจะทำการติดไมโครโฟนไว้ที่บริเวณใกล้ๆปากของคุณทั้งสองคนคุณจะไม่รู้สึกรำคาญหรืออะไรใดๆทั้งสิ้นเป็นไมค์โครโฟนวายฟายขนาดเล็กที่ติดอยู่ริมบริเวณใบหูเพียงเสียงพูดคุยหรือกระซิบเพียงเล็กน้อย พวกเราทุกคนจะได้ยินเสียงนั้น
2.กติกาของเรามีง่ายๆคุณหรือสามีคุณสามารถสื่อสารกันด้วยวิธีใดก็ได้ยกเว้นการเขียนเป็นภาษาสนทนา และที่สำคัญที่สุดพวกคุณห้ามคุยกันเกิดวันละ
3.การทำรีเซิร์ชในครั้งนี้ใช้เวลาเพียงห้าวันเท่านั้น ถ้ามีการผิดกติกาเพียงครั้งเดียว คุณจะพลาดรางวัลจากทางเรา
กติกาเพียงสามข้อคุณจะรักษามันไว้ได้หรือเปล่าครับ?”
หลังจากฟังกติกาจากทางเราหมดทั้งสามข้อเธอก็เปลี่ยนท่าทางจากสบายๆเป็นท่าทางจริงจัง เธอเงียบไปซักพัก
“โอเคค่ะ ฉันคิดว่าฉันทำได้แต่ฉันขอคุยกับเค้าเรื่องกติกานี้ก่อนได้ไหมคะ?”
“ไม่จำเป็นแล้วครับในระหว่างที่เรากำลังคุยกันอยู่นี้ผมก็ได้ส่งคนบางส่วนของผมไปคุยกับเขาที่ออฟฟิศแล้วคิดว่าอีกไม่นานคงได้คำตอบจากเขา”ในระหว่างนั้นก็มีความเงียบปกคลุมเราสองคนอยู่เป็นเวลาพักใหญ่ๆแม้จะยังไม่ได้เข้าสู่กติกาของเกมส์การวิจัยหรืออะไรก็ตามแต่นี้ ซักพักโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นผมรับโทรศัพท์ให้เธอได้ยิน เธอจ้องผมตาไม่กระพริบในระหว่างที่ผมกำลังคุยกับปลายสาย
“สามีของคุณให้ตอบตกลงแล้วครับเขาจะกลับมาที่นี่พรุ่งนี้เช้า พร้อมเริ่มทำตามกฏที่เราวางไว้ทันทีและในระหว่างสามวันนั้น เขาไม่จำเป็นจะต้องไปทำงานครับ”
เธอทิ้งระยะห่างของคำพูดไว้ช่วงหนึ่ง
“ค่ะ”เธอตอบพร้อมกับท่าทีที่ไม่ได้สดชื่นเหมือนตอนที่ผมก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้เมื่อครั้งแรกอีกต่อไป
วันที่ 1
สามีของเธอเดินเข้ามาในบ้านในเวลา 7.00 ตรงตามที่เรากำหนดเอาไว้ตั้งแต่ทีแรกทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบง่าย เขาถอดรองเท้า เดินเข้าบ้านไม่ต่างอะไรจากผู้ชายที่ทำโอทีจนดึกและต้องนอนค้างที่ออฟฟิศจนต้องกลับบ้านในตอนเช้าเป็นธรรมดาเพียงแต่ไม่มีถ้อยคำใดหลุดออกจากปากของเขาเลยก็เท่านั้นเขาเดินขึ้นห้องไปอย่างเงียบๆ เปิดประตูเข้าห้องนอน เขาวางข้าวของลงที่พื้นและนอนลงบนเตียงของตัวเอง เตียงของเขาและภรรยาอยู่ห่างกันหนึ่งช่วงแขนมีโต๊ะเล็กๆที่มีโคมไฟกั้นกลางระหว่างนั้น หนึ่งคำถามเล็กๆผุดขึ้นมาในใจของผมแต่ก็ไม่ได้มีการทักท้วงอะไร เราเพียงเฝ้ามองต่อไปจากจอเล็กๆที่เราได้ทำการติดไว้ที่มุมไหนซักมุมหนึ่งในห้องๆนั้นเขามองไปยังเตียงของภรรยาตัวเอง เตียงที่ตอนนี้กำลังว่างเปล่าในใจของเขาเต็มไปด้วยคำถามแต่ไม่สามารถปริปากตะโกนถามได้เลยว่าตอนนี้ภรรยาของเขาอยู่ส่วนไหนของบ้าน เขาทำได้เพียงหลับตาลงและเผลอหลับไปอีกครั้ง
ระหว่างนั้นเองจมูกเขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นของอะไรบางอย่าง
กลิ่นของอาหาร…
ตอนนั้นเองเราสัมผัสได้ถึงความรู้สึกประหลาดจากสีหน้าของเขาทำไมการได้กลิ่นอาหารซึ่งน่าจะเป็นบรรยากาศธรรมดาของครอบครัวที่อยู่กันมาถึงสี่ปีถึงได้ดูแปลกสำหรับผู้ชายคนนี้เขาลุกขึ้นและเปิดประตูออกมาจากห้อง เขาเดินตามกลิ่นลงมาด้านล่างจนถึงห้องครัว ภรรยาของเขากำลังทำอาหารอยู่ระหว่างที่เธอกำลังจัดเตรียมอาหารหรืออะไรต่างๆอยู่ในครัวเขานั่งรออยู่บนโต๊ะอาหาร เธอค่อยๆจัดวางอาหารสำหรับสองคนลงบนโต๊ะทุกอย่างเป็นไปอย่างเงียบเชียบ มีเพียงเสียงชามและช้อนส้อมกระทบกันเบาๆเป็นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารที่แปลกพิลึก ทั้งๆที่เราถูกปลูกฝังมาว่าบนโต๊ะอาหารควรจะเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือ
ทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไปในความเงียบ
ในระหว่างนั้น
“อร่อยมั้ย” เธอ (พูดไป 3 พยางค์ เหลืออีกสองพยางค์สำหรับวันนี้)
สามีของเธอไม่ได้ตอบเป็นคำพูด เขาเพียงยิ้มให้เธอและหยิบจานชามเหล่านั้นไปล้างด้วยตัวเอง
วันแรกเป็นไปอย่างเรียบๆไม่มีอะไรหวือหวาเป็นพิเศษ แต่ถือเป็นวันเปิดการทดสอบที่น่าสนใจมากๆวันหนึ่งในคืนนั้นที่ห้องนอนของเขาและเธอ คำพูดที่เขาตัดสินใจใช้ในการพูดกับเธอคือคำว่า
“ราตรีสวัสดริ์” เขา (พูดไป 4 พยางค์ เหลือเพียงพยางค์เดียว)
“ฝันดี” เธอ (พูดไป 2 พยางค์ หมดโอกาสในการพูดสำหรับวันนี้)
วันที่2
เป็นเวลาสายของวันกว่าเขาและเธอจะตื่นซึ่งไม่แปลกอะไรสำหรับวันหยุดสบายๆสำหรับสามี - ภรรยาเพียงสองคนที่ไม่จำเป็นต้องเลี้ยงดูบุตร สามีเดินไปเปิดเพลงคลอเบาๆในห้องนั่งเล่นระดับ volume อยู่ที่ระดับเก้า แผ่นเสียงของ Billy Joel กำลังบรรเลงเพลง Just the way you are เขานอนหลับตาอยู่บนตักของเธอบนโซฟาในห้องนั่งเล่นทุกอย่างตอนนี้เมื่อมองจากกล้องที่ทางเราติดเอาไว้เรารู้สึกถึงความสวยงามในเฟรมของหนังญี่ปุ่นหลายๆเรื่อง ทุกอย่างในวันนี้ดำเนินไปตามแบบเหมือนเมื่อวานในระหว่างที่เขาและเธอนั่งอยู่ในห้องเงียบๆกันสองคนในระหว่างนั้นก็มีเสียงที่ดังพอจะปลุกให้เธอและเขาตื่นจากภวังค์เสียดังโครมมาจากทางหน้าบ้านเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเท่าไหร่เธอวิ่งอย่างตื่นตระหนกไปที่หน้าบ้านเหมือนรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรซักอย่างที่ผิดปกติขึ้นข้างนอกนั่นสุนัขพันธุ์ทางตัวหนึ่งนอนสงบแน่นิ่งอยู่บนพื้นมีเลือดไหลออกมาจากตัวมันเป็นหย่อมๆ
note for research / ฝ่ายภรรยาเคยเจอสุนัขตัวนี้ครั้งแรกตั้งแต่ตอนที่ย้ายมาอยู่ใหม่ๆเธอไม่ได้เลี้ยงมันไว้ในบ้าน แต่มักจะออกไปเล่นกับมันและให้อาหารมันอยู่เสมอๆเธอตั้งชื่อให้มันว่าปิ้งย่างมันหน้าตาน่ารักจึงทำให้มันกับเธอค่อนข้างสนิทกันพอสมควร
เธอนั่งมองมันอย่างแน่นิ่งแบบนั้นจนเราไม่สามารถมั่นใจได้ว่าระหว่างเธอกับปิ้งย่างอะไรที่นิ่งสนิทกว่ากันในเวลานี้สามีของเธอยืนมองอยู่ห่างๆ จนมาถึงตอนนี้ก็ยังไร้ซึ่งคำพูดใดๆระหว่างทั้งสองคนเธอลุกขึ้นเดินผ่านสามีกลับเข้าไปในบ้านช้าๆในขณะที่สุนัขตัวนั้นยังนอนสงบแน่นิ่งอยู่ที่เดิมสามีเป็นคนจัดการใส่ถุงมือและเตรียมข้าวของสำหรับนำสุนัขตัวนี้ไปฝังในสวนหลังบ้านเขาอาสาทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แม้ปรกติจะไม่มีเวลาเล่นหรือทักทายกับมันเลยก็ตาม
“ไม่ต้องทำกับข้าว” เขา (พูดไป 5 พยางค์หมดสิทธิ์แล้วสำหรับวันนี้)
บรรยากาศข้างต้นเปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควรตั้งแต่เหตุการณ์สะเทือนขวัญเกี่ยวกับปิ้งย่างผ่านไปอาหารสำหรับวันนั้น คือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสองถ้วยสำหรับทั้งสองคนด้วยสถานการณ์หลายๆอย่างทำให้โต๊ะอาหารเงียบๆมีบรรยากาศที่เคร่งขรึมมากกว่าเมื่อวานไม่มีการมองตากันเกิดขึ้นด้วยซ้ำระหว่างทานอาหาร
คืนวันนั้นก่อนเข้านอนเขากอดเธอภายในห้องนอนเธอตัดสินใจใช้คำพูดที่ตนเองเก็บสะสมไว้ทั้งวันเพียงเพื่อพูดคำว่า “เราไม่เป็นไร”
แต่หลังจากแยกย้ายเข้าสู่เตียงของตน เขาได้ยินเสียงเธอร้องไห้เพียงเบาๆจนถึงเวลาประมาณตี 4
วันที่ 3
บรรยากาศของวันนี้เป็นสีเทาโดยสมบูรณ์แบบไม่มีเสียงเพลงคลอเบาๆอีกต่อไปมีเพียงภรรยาที่กำลังเปิดอัลบั้มรูปถ่ายเก่าๆอัลบั้มหนึ่งอยู่บนโต๊ะอาหารเงียบๆเขาเดาว่าในอัลบั้มนั้นน่าจะมีภาพถ่ายของเจ้าปิ้งย่างที่เขาและเธอเคยถ่ายเล่นไว้ด้วยกันเขาเฝ้ามองดูเธอจากบนโซฟาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามเขาไม่รู้เลยว่าสำหรับเธอแล้วการสูญเสียครั้งนี้มันสำคัญมากน้อยเพียงใดเขาไม่เคยมีความรู้สึกหรือเข้าถึงความรู้สึกของผู้หญิงมาก่อน ถ้าจะให้นึกถึงสัตว์เลี้ยงคงมีแต่ปลาทองที่แม่เขาเคยเลี้ยงไว้ตอนเด็กๆซึ่งแน่นอนว่าเขากับปลาแทบไม่มีสายสัมพันธ์ในรูปแบบใดๆต่อกันเลยวันนั้นเขาเป็นฝ่ายอาสาทำอาหารจากการเปิดดูสูตรจากในเว็บไซต์ทั่วไป ด้วยความเป็นมือใหม่และดูเหมือนจะไม่เคยเข้าครัวมาก่อนอาหารในวันนั้นรสชาติเค็มจัดจนสุดท้ายก็ต้องเททิ้งเป็นจำนวนมาก และระหว่างทำอาหาร แม้ในความระมัดระวังเหล่านั้นก็ยังทำให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นจนได้เขาทำจานกระเบื้องใบโปรดของเธอตกแตกละเอียด เธอยังคงรักษาคำพูดทุกอย่างเอาไว้ในใจโดยไม่พูดอะไรออกมาและเดินไปเข้าห้องน้ำไปเงียบๆ
note for research / เธออาจะเป็นประจำเดือนในวันนั้นเธอเข้าห้องน้ำบ่อยๆและดูไม่สดชื่นเลยซักนิด
บรรยากาศของบ้านดูผิดปรกติไปเสียสนิทแล้วในตอนนี้ฝ่ายที่อยากพูดมากกว่าดูจะเป็นสามี ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาหกโมงเย็นภรรยานั่งดูทีวีอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ตอนนั้นกล้องของเราจับไปที่ภาพสารคดีอะไรบางอย่างในโทรทัศน์รายการประหลาดเกี่ยวกับฤดูกาลติดสัตว์ของงูเหลือมในป่าอเมซอน สายตาของเธอเหม่อลอยเขานั่งลงข้างๆเธอ พยายามจะจ้องมองลงลึกเข้าไปในสายตาของเธอเพื่อหาว่าอะไรดำรงอยู่ในนั้นเขาเขยิบเข้าไปหาเธอ เอามือของเขาโอบเอวของเธอแล้วซบลง เขาถามเบาๆว่า
“โอเคมั้ย” เขา (พูดไป 3 พยางค์ เหลืออีกสอง)
เธอยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบอะไรเธอดูเหม่อลอยจนน่าขนลุกในเวลานี้ เมื่อถึงเวลาเขาละเธอก็เข้าสู่ห้องนอนแสงไฟสรัวในห้องชวนขนลุก เขาลุกจากเตียงของตัวเองไปยังเตียงของเธอเขากอดเธอจากด้านหลัง หัวใจของเธอเต้นระรัวผิดจังหวะเขาไม่รู้ว่าอะไรที่ผิดปรกติในตอนนี้ แต่เขารู้ว่าสำหรับเธอนี่ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาแน่ๆเขาไซร้คอเธออีกครั้งและเอื้อมมือลอดผ่านกางเกงนอนของเธอเข้าไปเขาใช้เวลาเล้าโลมเธออยู่ซักพักใหญ่ๆจนเธอเริ่มมีน้ำไหลออกมาน้อยๆตรงบริเวณที่เขากำลังลูบคลำมันอยู่ในขณะนี้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนทุกอย่างเราไม่แน่ใจว่าคืนนั้นเธอและเขามีการสอดใส่เกิดขึ้นหรือเปล่าแต่เมื่อทุกอย่างหยุดลง เวลาตีสอง อยู่ๆภรรยาก็ลุกขึ้นจากเตียงเธอเดินออกไปที่สวนหลังบ้านโดยไม่เปิดไฟซักดวง เธอทำทุกอย่างด้วยความเงียบเชียบเธอค่อยๆขุดหลุมตรงนั้นและเริ่มร้องไห้ เธอร้องและขุดมันไปเรื่อยๆเหมือนเธอตั้งใจจะฝังตัวเองลงตรงนั้น
จนถึงตอนนี้ทุกอย่างในหัวของพวกเราเต็มไปด้วยคำถามเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวนี้มากกว่าที่เราเห็นหรือได้ยินรึเปล่า จริงๆแล้วเราอาจจะได้อะไรมากกว่าที่คิดจากการทำผลวิจัยของสามีภรรยาคู่นี้
วันที่4
เช้าวันรุ่งขึ้นชายหนุ่มลุกกลับขึ้นมาอยู่บนเตียงตัวเอง เป็นอีกเช้าที่เขาตื่นมาด้วยคำถาม - เขามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ตอนไหนเขาเดินลงบันไดมาข้างล่างใช้สายตาสอดส่องทั่วบ้าน ห้องนั่งเล่น ห้องครัวห้องรับแขก
เธอไม่อยู่บ้าน
เขาไม่ได้เอะใจอะไร เธออาจจะออกไปเดินเล่นคลายเครียดหรืออะไรก็ตามที่มันทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นในสภาวะที่ดูจะบีบคั้นเธอจนแทบจะทนไม่ได้อีกใจเขาก็นึกคิดว่าทำไมเขาและเธอถึงตกรับปากมาอยู่ในกติกาของการทำวิจัยในครั้งนี้ นั้นสิทำไมกันนะ ยังไม่มีคำตอบ เขานั่งลงบนโซฟา ด้วยความคิดที่ว่างเปล่าไม่ได้รู้สึกกับอะไรทั้งสิ้นเขาเปิดช่องภาพยนตร์ช่องหนึ่งที่กำลังฉายหนังที่แสดงถึงความรุนแรงในยุคสงครามไม่รู้สิ ปกติคงไม่ใช่หนังแนวที่เขาดูแต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะนั่งดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย จากนั้น ฉากฉากหนึ่งในหนังเรื่องนั้นก็ทำให้เขาคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้เขาตื่นตระหนก ร้อนรนลุกขึ้นจากโซฟา วิ่งขึ้นไปยังห้องนอนด้านบนของเขาเขาค้นลิ้นชักใต้โต๊ะที่อยู่ระหว่างเตียงสองเตียง ชั้นแรก ไม่ ไม่มี ชั้นที่สองไม่มี ไม่ ไม่มี ชั้นที่สามซึ่งเป็นชั้นสุดท้าย ไม่ ยังไม่มี บัดซบ มันหายไปเธอเอามันไปด้วย ต้องใช่แน่ๆ เขารีบวิ่งออกจากบ้านไปดูที่รถยนต์รถยังจอดอยู่ที่เดิม เธอไม่ได้ขับมันไปเขารีบวิ่งเข้าไปหยิบกุญแจด้วยท่าทางร้อนรน ตอนนี้ปัญหาหลักของเขาคือเขาจะหาเธอเจอได้ยังไง เราไม่รู้ว่าสิ่งนั้นที่หายไปจากลิ้นชักใต้โตะคืออะไรแต่ภาพภาพนั้นที่ปรากฏอยู่บนจอตอนที่เขานึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ ภาพนั้นคือภาพของทหารนายหนึ่งกำลังพยายามจะฆ่าภรรยาของจนเองจากการเสียสติจากสงครามเขาสตาร์ทรถ เริ่มขับไปในสถานที่ที่น่าจะพบเธอ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล สวนสาธาณะหรือร้านหนังสือร้านโปรดที่เธอชอบไป แต่ไม่มีที่ไหนเลยที่เขาหาเธอพบเขาไม่สามารถปริปากถามอะไรจากใครได้เลย เขากลับถึงบ้านอย่างสิ้นหวังเขานอนคอยเธออยู่ตรงโซฟา ได้แต่หวังว่าเธอจะกลับมาในสภาพปลอดภัยคืนนั้นเขาเผลอหลับไปแต่ไม่แน่ใจว่ากำลังตื่นหรือฝัน เธอกลับเข้ามาในบ้านเงียบๆเธอจูบเขาและกระซิบข้างๆหูด้วยคำพูดที่ไม่ถึงห้าพยางค์
“ลาก่อน”
เขาลุกขึ้นมาตอนเวลาตีสี่ เดินกลับไปที่สวนหลังบ้านแล้วเริ่มขุดเฉกเช่นเดียวกับที่ภรรยาของเขาเคยทำตรงบริเวณเดียวกันเพียงแต่เขาไม่ได้ร้องไห้ มีเพียงเหงื่อที่ไหลซึมมาเป็นทางบนใบหน้า
ทันใดนั้นเองเขาก็อุทานออกมา “บัดซบ!”
วันสุดท้าย
เขาเดินเข้าไปในห้องครัวหยิบจานของเธอที่เขาทำแตกออกมาจากถังขยะเขาค่อยๆนำมันมาประกอบกันทีละส่วนๆและใส่กาวลงไปเขานั่งจ้องมันอยู่แบบนั้นด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เขาเดินออกมาจากครัวเดินขึ้นไปยังด้านบนเขาค่อยๆจัดที่นอนของเธอและเมื่อมันดูท่าว่าจะสมบูรณ์เขาก็นอนลงไปและทำให้มันยับยู่ยี่อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้งทุกอย่างดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ ทรมาน และลำบากลำบนเขาช่วยตัวเองบนเตียงของเธอสองครั้งกับหมอนข้างของเธอเมื่อถึงจุดสุดยอดเขาหลับตาลง น้ำตาหนึ่งหยดไหลลงบนแก้มของเขาเหตุการณ์บางอย่างรีพีทไปมาในหัวของเราผู้เฝ้ามองเหตุการณ์ในครั้งนี้อะไรกันนะที่อยู่ในลิ้นชักนั้น อะไรบางอย่างที่เหมือนจะสำคัญหรือไม่สำคัญอะไรเลยนั่นสิ ชายหนุ่มผู้ที่ดูเหมือนจะเป็นสามีคิดสิ่งที่หายไปจากลิ้นชักนั้นคืออะไรกันนะมันส่งผลต่อความรักหรือชีวิตคู่ของเขาและเธอหรือเปล่า เขาลุกจากเตียงและเดินออกไปยังจุดที่เขาทำการขุดหลุมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ เขานอนลงข้างๆหลุมและจับมือกับอะไรบางอย่างพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ว่างเปล่าเหมือนจิตใจของเขาในตอนนี้
“พ่อขอโทษ” เขา (พูดไป 3 พยางค์ เหลืออีก 2 พยางค์)
ในหลุมนั้นเราจับภาพของศพเด็กชายอายุราวสามขวบนอนแน่นิ่งสภาพศพไม่นานนัก แต่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง เขาโอบกอดเด็กชายคนนั้นคนที่เขาเพิ่งเรียกว่าลูก เขาจูบกระหม่อมเด็กน้อยเหมือนที่พ่อทั่วไปมักทำกับลูกทันใดนั้นกริ่งของบ้านก็ถูกกด ชายหนุ่มลุกขึ้นเพื่อไปดูว่าใคร ใช่เธอกลับมาแล้วในสภาพที่ปรกติธรรมดาที่สุดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่มีคำถามขึ้นมาว่าเธอหายไปไหนและคืนก่อนนั้นเธอได้กลับมาจริงๆหรือเป็นเพียงแค่ความฝันแต่เขาวิ่งเข้าไปกอดเธอแน่นที่สุด ครั้งนี้เธอทำเพียงยืนเฉยๆแต่ฝ่ายที่ร้องไห้ออกมาคือเขา ทุกอย่างเงียบสงบมีเพียงเสียงสะอื้นไห้เบาๆของชายหนุ่ม
“คุณรักฉันหรือเปล่า”(เธอถามเขา 5 พยางค์)
ชายหนุ่มไม่ตอบทำเพียงร้องไห้ต่อไปเรื่อยๆแบบนั้นแต่เธอตอบสนองเพียงยืนเฉยๆตอนนั้นคำพูดมากมายพรั่งพรูวนเวียนอยู่ในสมองของคนทั้งสอง แต่ไร้ซึ่งการเปล่งเสียงภาพทุกอย่างดูประหลาด อะไรกันคือสิ่งที่ซ่อนอยู่ในความเงียบของคนสองคนนี้ ไม่สิ - สามคน เขาเธอ และลูกน้อย เวลาของการทำวิจัยในครั้งในใกล้เข้าสู่เวลาจบลงทุกอย่างจะจบลงภายในเวลา 18.00น. ตรงเวลาเริ่มนับถอยหลัง หลังจากจบการทำวิจัยในครั้งนี้มันจะเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ไม่มีใครล่วงรู้ได้ เราจะหยุดการติดตามชีวิตของเขาทั้งคู่ทันทีเมื่อถึงเวลาที่กำหนดมาจนถึงตอนนี้ เราคงตั้งคำถามแล้วละสิว่าอะไรทำให้เราสนใจในครอบครัวนี้เราเริ่มสนใจมันตอนที่เราค้นพบว่าทางกฏหมาย คนสองคนนี้อยู่ร่วมกันโดยไม่มีลูกเป็นระยะเวลา 4 ปี ซึ่งอาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่นั่นก็เป็นความฝันของแม่บ้านส่วนใหญ่ที่ไม่จำเป็นต้องทำมาหากินอะไรการเลี้ยงลูกน้อยอาจทำให้เธอเป็นมนุษย์ที่รู้สึกว่าธรรมดาสามัญที่สุดบนโลกคนนึงแต่เรื่องประหลาดคือมีเพื่อนบ้านของเธอบอกกับเราว่าเคยได้ยินเสียงเด็กร้องมาจากบ้านหลังนั้นนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราสนใจใน
มาถึงห้องนั่งเล่นนาทีนั้นเพลงเพลงหนึ่งก็ดังขึ้น เราจับใจความได้ลางๆว่าเพลงนั้นอาจจะเป็นเพลง Don’t Throw It All Away ของ Andy Gibb ใครซักคนเปิดเพลงนั้น ภาพสุดท้ายที่เราเห็นคือภาพชายหนุ่มยืนเพียงลำพังอยู่บริเวณเดิมภรรยาของเขาหายไปอีกครั้ง หรือเธออาจไม่เคยกลับมา ไม่มีคำตอบที่แน่ชัดแต่ครอบครัวนี้ทำสำเร็จตรงตามที่เราต้องการทุกอย่าง
ถึงสุดท้ายจะมีอะไรหลายๆอย่างที่ยังคงคาใจผมอยู่แต่นั่นก็ยังคงเป็นคำถามต่อไป
เขา เธอ เด็กคนนั้น ความเงียบความว่างเปล่าในลิ้นชัก
ผมไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงหัวใจของตัวผมเองขอบคุณที่ร่วมสังเกตการณ์กับผมมาจนถึงตอนนี้จริงๆครับ อ้อ ผมเกือบลืมเรื่องสำคัญรางวัลสำหรับเกมส์นี้ไม่ใช่เงินหรือของมีค่าที่จับต้องได้ครับ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in