เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
because we get less oxygen at higher altitudesA 24-HOUR TALE
แอร์แขก ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามโดนลากเข้า รพ ที่ดูไบ
    1. เรื่องมีอยู่ว่า ห้าทุ่มเวลาประเทศไทย

      ระหว่าง boarding อยู่ในเคบิน
      มี ผดส คนไทย คนนึง เปิด hatrack แบบไม่ดูตาม้าตาเรือ เปิดแล้วปล่อยลงมา เราไม่เห็น มันเป็นจังหวะที่กำลังหันตัวกลับมาพอดี

      "ตึง+กรึก" เป็นเสียงมุมhatrack (ที่มีกระเป๋าเต็มๆ) ชนหัวข้างคิ้วซ้าย บวกกับเสียงฟันบนฟันล่างกระทบกัน ถามว่าเจ็บมั้ย ..... บอกไม่ถูก รู้ว่าน้ำตาไหลเลย 

      ความสูงตัวเองพอดีมันอยู่ในระดับเดียวกับตอนhatrack เปิดพอดี แบบ อึ้งๆ เซๆ อยู่ตรงนั้น 

      ผดส ที่เปิดhatrackหน้าช๊อค พูดว่า ขอโทษครับ เป็นไรมั้ย ? แล้วนางก็หันไปเก็บกระเป๋าต่อ 

      จะให้บอกว่าไม่เปนไรงี้? ได้ยินอยู่แค่นั้น ผดสแถวนั้นทำหน้าเจ็บแทน เพื่อนที่ยืนอยู่ใกล้ๆก็รีบเดินมารับช่วงต่อบอกให้ไปนั่งในแกลลี่ไม่ต้องออกมาแล้ว 


      ตัดภาพมาในแกลลี่ลูกเรือออสซี่ส่ง Panadol มาให้กินพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กห่อน้ำแข็งเอาไว้ให้ประคบ 

      (ระหว่างที่อยู่บน jumpseat รอเครื่องขึ้น ผดส คุณป้าฝรั่งอยู่ดีๆก็มองหน้าเราแล้วพูดว่า 

      You don't look happy at all อารมณ์ว่าทำไมทำงานหน้ามุ่ย 

      เราก็ตอบว่า oh, sorry if I made you feel uncomfortable but my forehead just got it by the hatrack during boarding and I don't really feel OK right now. 

      ป้าเปลี่ยนสีหน้าจากที่เหมือนจะตำหนิ กลายเป็นอ่อนโยนเลยทีเดียว) 

      เราก็คิดว่าเออคงไม่มึนมั้ง แจ้ง senior เรียบร้อย นางบอกรอหลัง เทคออฟ แล้วดูว่าไหวมั้ย มีการย้ำ ถ้าเทอป่วยเทอไม่โอเค คือเทอไม่โอเค ห้ามฝืนเด็ดขาด (หึ รู้ทันกรูอีก เพราะนี่อยากช่วยเพื่อน ไฟลท์เต็มมาก)

      เทคออฟเสร็จเรียบร้อย มึนอะไรเบอร์นั้น หันคอก็ไม่ได้ ยิ่งหันล่ไมเกรนยิ่งมาหนัก สรุปว่า deadheading ยาวๆจากกรุงเทพถึงดูไบ 

      หลังจากนั้น medlink ก็บอกให้กินยาแก้ปวดชนิดรุนแรงมาก (รองจากมอร์ฟีนหน่อยนึง) นอนยาว 5 ชั่วโมงอยู่ใน CRC จน ส. มาบอกว่า You need to go down for landing. 

      ระหว่างที่อยู่บน จัมพ์ซี๊ท อาการความพินาศเริ่มมา ตอนแรกคิดว่ากินน้ำตอนตื่นขึ้นมาเลยคลื่นไส้ สรุปไปๆมาๆ ไม่น่าใช่ มึนหัวเจ็บแผลไปหมด พอเครื่องแตะพื้นปุ๊ป วิ่งเข้าห้องน้ำปั๊ป จากที่ไม่อยากได้พยาบาลมารับหน้าเครื่อง หันไปบอก ส. I need medical unit please.

      จนจบไฟลท์ ผดส คนนั้นไม่มีการมาถามถึง ไม่มีการมาขอโทษใดๆอีก คนไทยทำอะไรไม่ค่อยยอมรับผิด

      คั่นโฆษณา

      ภัคค์ทิอยากได้ พี่แกก็จัดให้ (ขอข้ามเรื่องความยุ่งยากในการจะเรียก) 
      มารับไปแบบ ของก็ไม่ได้เก็บ ทุกคนลากออกมาให้ทีหลัง ดูรุงรังเล็กน้อย จากนั้นโดนลากไป airport medical center เข้าไปถึง หมอถามคนเข็นรถ เค้าไปโดนไรมา นางบอก "กระเป๋าหล่นจาก hatrack ตกใส่ กินยาไปแล้ว ตอนนี้มึนๆ มาจากไฟลท์ที่กำลังจะไป Bangkok" ...... แย้งแทบไม่ทัน แรงก็ไม่มี คิดในใจ มึงไปรับคนป่วยแบบไม่พาสข้อมูลกันดีๆหรอ แต่งเรื่องเองป่ะเนี่ย นี่เลยยกมือชี้ไปชี้มาเรียกความสนใจ ขอไปนอนที่เตียงก่อนเด๋วเล่าให้ฟัง (ตอนลุกจากรถเข็นไปเก้าอี้นี่เกือบล้ม พยาบาล อด. ผช ยังไม่เดินเข้ามาช่วยเลย แม่งนั่งจ้องอย่างเดียว) 
      ทีนี้ก็เริ่มบอกเค้าว่า I flew from Bangkok. I was on ek419. นางก็ยังคง อ๋อ กำลังจะไป กทม. คิดไรอยู่มึงงงงงงงงง จนพยาบาลอีกคนต้องมาช่วย

      นอนไปนอนมา ป้าพยาบาลเดินมาบอกว่าหมอจะส่งไป รพ. ในเมืองนะ (ขอข้ามเรื่องลำไยในนั้นเนอะ)

      สักพักใหญ่ๆมี paramedic มารับไป บล๊อกคออย่างดี อยากอ้วกเลยจ้า นึกสภาพว่าคนมีอาการ severe nausea โดนจับนอนราบบน stretcher แข็งๆ บล๊อกคอ หืมมมมมมมม เหี้ยมกว่านี้ไม่มีแล้ว พวกพี่แกบอกใกล้ๆๆ หึหึ ร้องไห้เลย ไกลมากกกกก นึกสภาพคนขับรถสไตล์ดูไบไปด้วย ประสบการณ์โดนพาขึ้น ambulance ครั้งแรกในชีวิต พังมาก

      พอไปถึง ตอนนั้นไม่รู้ล่ะว่าโดนลากไปไหนบ้าง เห็นแค่เพดานขาวๆ ขยับคอไม่ได้ โดนล๊อค พยายามขยับก็โดนด่า เลยบอกว่า จะอ้วกล่ะค่าาาาา โดนตอกกลับมาว่า โนว์ อิสท์จัสนอวซี .... ดุชิหายยยยยย พยาบาลไรฟ่ะ!?

      ตั้งแต่มาเป็นแอร์ที่นี่ ไม่เคยร้องไห้ ไม่เคยอยากกลับบ้าน จนถึงวันที่นอนอยู่บนเตียง แขนขาไม่มีแรง ขยับไม่ได้ อยากอาเจียนตลอดเวลา คนข้างๆ ไม่ได้พูดไทย หรือแม้แต่ภาษาอังกฤษ ได้แต่นอนมองเพดานเก่าๆ ได้กลิ่นอับๆชื้นๆแปลกๆ อยู่ดีๆก็ร้องไห้หยุดไม่ได้ จนพยาบาลต้องเดินมาดูบ่อยมาก ไม่ได้เรียกร้องความสนใจหรืออะไร ปากก็ได้แต่พรึมพรำว่า I need to go back home.  Bangkok is my home.

      แน็ตถูกปล่อยให้นอนรออยู่ในแผนกฉุกเฉินอยู่เป็นชั่วโมง มันเป็นเวลาที่นานมากๆ 

      หลังจากนั้นก็มีพยาบาลเข็นเตียงไปนอนรอต่ออีกห้อง นั่นก็รออีกนานเหมืิอนกัน

      จากนั้นก็ไปทำ  CT Scan กลับมานอนรอผล นานมากกกกกกก นอนเค้าดาวน์วินาทีที่จะได้ถอดเฝือกคอออก

      ถึงตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไม แขก ชอบไปหาหมอที่เมืองไทย อะไรๆก็นานๆ และไม่สะดวกสบายเหมือน รพ ไทย 

      พอผลออก โชคดีว่า สมองไม่ได้รับการกระทบกระเทือน อาการคลื่นไส้อย่างรุนแรงเกิดจากผลข้างเคียงที่ได้รับจากยา แต่คุณหมอบอกว่า นอนพักต่อไปเถอะ นอนไปเลย กลับเมื่อไหร่ก็ได้ หมอน่ารักมาก หมอชาวอารบิกคนนี้คือคนเดียวที่เฟรนลี่กับคนไข้ที่สุดแล้วใน รพ นั้น ก็นอนจริงๆ เพราะมึนมากๆ นอนต่อไปถึงบ่ายกว่าๆ โทรหาเพื่อนให้มารับที่ รพ หน่อย 

      พอได้ลุกขึ้นมานั่งรถเข็น ตกใจกับสภาพ รพ มาก ช๊อคหนักกว่าเดิม ดีใจมากที่ไม่ต้องโดนแอดมิด ไม่งั้นคงนอนไม่หลับทั้งคืน

      ถึงวันนี้เราไม่รู้ว่าเราควรจะพูดไรกับผดสคนนั้นถ้าเราได้เจอเค้าอีก 

      เราคงได้แต่บอกเค้าว่า "อย่าส่งลูกหลานมาเป็นแอร์นะค่ะ เพราะความไม่ระวังของคุณอาจทำร้ายเค้าโดยไม่รู้ตัว"

      *หลังจากนั้นก็ต้องกลับไทยมาหาหมอจัดกระดูกรักษาเอง เพราะกลายเป็นว่า กระดูกคอเคลื่อนเล็กน้อย กล้ามเนื้อที่ไหล่ตึงมาก รั้งกันไปรั้งกันมา สุดท้ายเลือดไม่ flow ขึ้นไปเลี้ยงสมองส่งผลให้เป็นไมเกรนบ่อยๆทั้งที่ไม่ได้เครียดอะไรเลย


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in