เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
อิ่มไหนหรือจะเท่า Imperial College LondonYanisa Sunthornyotin
Day 1 ยูนิคอร์นถูกกักตัว
  • หลังจาก 2 ปีที่โลกนี้หยุดนิ่ง

    ก้าวแรกก้าวใหม่ของฉันสู่โลกกว้าง กับเวลาชีวิตที่ต้องเดินต่อ

    สวัสดีค่ะ พบกับมิ่งอีกครั้งในอายุ23ปี ที่ตอนนี้กำลังนั่งรอการBoardingไปยัง London Heathrow Airport สหราชอาณาจักร


    ความรู้สึกแรกไม่ใช่ความตื่นเต้นอย่างครั้งที่ผ่านมา แต่กลับเป็นความกลัวเสียมากกว่า

    กลัวระบบของต่างชาติที่ทำให้เราไม่อาจสะเพร่าได้

    กลัวว่าตัวเราในตอนนี้จะเฉื่อยชาจากการอยู่บ้านมานาน จนเปลี่ยนไป ไม่รอบคอบหรือชินกับการบู๊ล้างผลาญอย่างครั้งก่อน

    ในการมาศึกษาต่อป.โทที่Imperial College London ครั้งนี้ต่างจากการมาต่างประเทศครั้งก่อนด้วยปัจจัยหลายอย่าง

    หนึ่งในนั้นคือการที่ไม่ได้มาด้วยทุนของหน่วยงานหรือบริษัทใด เป็นทุนของทางบ้านล้วนๆเนื่องจากไม่ต้องการทุนที่ผูกมัดให้เราต้องกลับมาทำงานที่ไทย แทนที่จะสามารถหาโอกาสและประสบการณ์ต่างๆต่อยอดได้มากมายจากโลกกว้าง อย่างว่า…ป.โทปีเดียวของอังกฤษคงไม่น่าพอ

    ถ้าหากไทยใจกว้างพอที่จะมีทุนให้เปล่าบ้าง(ปัจจุบันคิดว่ามีทุนเดียว=หนึ่งคนต่อปี) ลงทุนกับการพัฒนาทรัพยากรของชาติ ดูจะสามารถคาดหวังผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากกว่าการลงทุนกับเสาไ…ไม่พูดต่อดีกว่า

    ดังนั้นจึงเป็นอีกหนึ่งเหตุสำคัญให้เราเลือกสละสิทธิ์ทุนกพ.เพื่อไปเรียนต่อที่Imperial College Londonแห่งนี้ค่ะ คิดว่าถ้าหางานที่นู้นได้ซักปีก็น่าจะคุ้มทุนแล้วค่ะ

    การเตรียมตัวมาที่อังกฤษในช่วงโควิดนี้ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก ความแปลกใหม่ที่สัมผัสได้เริ่มขึ้นตั้งแต่การไปยังสนามบินสุวรรณภูมิที่ติดเคอร์ฟิว ทำให้จริงๆแล้วสามารถมีคนไปส่งได้แค่คนเดียว แต่พอถึงสนามบินกลับพบเพื่อนฝูงของเด็กจำนวนมากมาออกันเพื่อส่งเพื่อนไปเรียนต่อ

    สนามบินสุวรรณภูมิที่แต่ก่อนแน่นคลั่กเต็มไปด้วยผู้คนตอนนี้กลับเหลือเพียงสายการบินเดียวคือการบินไทย ที่ไม่เปิดให้นักเรียนonline check in ได้ เลยทำให้เราต้องมาก่อนเวลาพอสมควร

    นี่คือรายชื่อเอกสารที่เราต้องมีเพื่อนที่จะสามารถบินเข้าอังกฤษได้จากประเทศที่ขึ้น Red list นะคะ

    1. Passenger locator form กรอก48ชม.ก่อนถึงอังกฤษ
    2. CTM ใบinvoiceการจองรร.กักตัว (โคตรแพงชนิดที่ว่านอนintercon หัวหินได้2อาทิตย์)
    3. ใบรับรองผลตรวจโควิดเป็นลบด้วยวิธีRT-PCR อันนี้ไปขอให้เวชศาสตร์เขตร้อนออกให้ ราคาค่าตรวจ3000บาท โดยต้องตรวจก่อนขึ้นบิน3วัน สมมติบินศ.ก็ไปตรวจเร็วสุดได้วันอังคาร (ตรวจวันนี้ได้ผลวันถัดไป)
    4. VISA นักเรียน ตอนนี้ออกให้เป็นentry clearance แล้วจะเปลี่ยนให้เป็นstudent visaเต็มรูปแบบเมื่อถึงที่นู้น

    หลักๆประมาณนี้ค่ะ

    ส่วนร้านอาหารในสุวรรณภูมิก็ตามสภาพ ปิดหมดทั้งนอกเกตและในเกต ถ้าใครคอแห้งแนะนำดื่มน้ำมาก่อน เพราะในเกตมีแค่ตู้กดน้ำตู้เดียวที่ถ้าหาไม่เจอก็อดกินนะคับ


    พอขึ้นเครื่อง การบินไทยจะพยายามจัดที่นั่งเป็นที่เว้นที่ ยกเว้นแต่คนที่มาด้วยกันที่เหมือนจะนั่งติดกันได้ แถมคุณแอร์ยังใส่ชุดPPEทับUniformด้วยล่ะ (ไม่ถึงขั้นปิดหน้าปิดตาแบบที่เห็นกันเกลื่อนกล่าน เป็นแค่ผ้ากระดาษโปร่งๆคลุมไว้เฉยๆ)


    อาหารเสริฟ 2 มื้อ 1 ของว่าง ถอดหน้ากากกินได้ตามปกติ

    แต่เที่ยวบินนี้แปลกอย่างค่ะ นอกจากเรื่องที่ทั้งลำแทบจะมีแต่เด็กมาเรียนต่อ ยังมีเรื่องที่ทุกคนไม่ตื่นมาทำนู้นทำนี่กลางดึกเลยแม้แต่น้อย ทุกคนหลับสนิทตลอด1ชม.ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

    เมื่อลงมาถึงสนามบิน Heathrow ก็ประเดิมด้วยอากาศครึมๆและฝนพรำๆ จนอดจะรำพึงในใจไม่ได้

    อา...มาถึงอังกฤษแล้วสินะ


    ตม.ที่นี่ในช่วงการระบาดของโควิดมีพนักงานนั่งประจำอยู่แค่ 3 คนคือคิดเป็น 20% ของช่องตม.ทั้งหมด ทุกคนไม่ใส่หน้ากาก ใช้เวลาร่วม 45 นาทีในการรอต่อแถว เมื่อถึงคิวก็จะถูกถามประมาณว่า เรียนที่ไหน มาเรียนกี่ปี มีที่พักหรือยัง บางคนตรวจใบผลโควิด บางคนก็ไม่ตรวจ


    หลังจากผ่านตม.ไปได้ก็ใช้เวลาไม่นานแล้วค่ะ เราต้องไปแสดงใบCTMให้เจ้าหน้าที่ดูเพื่อรับใบขึ้นรถบัส ส่วนกระเป๋าก็ถูกกองวางไว้รอแล้ว หลังจากนั้นก็ไปขึ้นรถบัสที่ถูกแยกไว้หลายคัน แต่ละคันไปคนละโซนบางคนกระเด็นต้องไปกักตัวแถวสนามบิน Gatwickก็มี

    ตัวรถบัสมีการเว้นที่ ไม่ได้นั่งกันจนเต็ม หนึ่งคันจะวนไปส่งคนตามโรงแรมต่างๆ ของมิ่งที่ได้โรงแรม Millennium Gloucester Kensington แวะเป็นโรงแรมที่ 2 โดยที่ใช้เวลาเกือบ 45 นาทีส่งคนเพื่อลงโรงแรมแรก คิดว่าเขาน่าจะทำเรื่อง check-in อะไรให้เรียบร้อยก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าจะมีคน monitor ต่อ แล้วค่อยออกรถ ไม่งั้นถ้าผู้โดยสารออกมาเพ่นพ่านจะไม่ดี


    เมื่อมาถึงโรงแรมเราก็จะได้รับการต้อนรับอย่างดีจากพนักงานโรงแรมที่คอยอธิบายtimelineของ10วันนี้ให้ฟัง


    ระหว่างการกักตัว เราจะต้องทำการตรวจโควิด 'ด้วยตัวเอง' ในวันที่2และวันที่8 ไม่รวมวันแรกที่เข้าพัก ถ้าผลเป็นลบก็ออกจากโรงแรมกักตัวได้ในวันที่10

    ในหนึ่งวันเราสามารถขอทางโรงแรมออกไปเดินเล่นได้20นาทีโดยจะมีคนคอยตามประกบอยู่ ส่วนอาหารเขาจะให้ใบเลือกเมนูมาตั้งแต่แรกเลยเพื่อกรอกเมนูในแต่ละมื้อใน10วันนี้ โดยที่เราจะต้องนำใบที่เราเลือกเมนูเสร็จของวันถัดไปไปวางไว้หน้าประตูห้องก่อน3PM พอถึงเวลาอาหารพนักงานก็จะมาเคาะ+กดกริ่งหน้าประตู เราก็ออกไปเอาถุงอาหารได้


    อาหารไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เห็นใน youtube channel ของอินเดีย คือถึงหน้าตาอาจจะไม่ได้น่ากินนักแต่รสชาติโอเค


    อ่อ แล้วก็ค่าอาหารและเครื่องตรวจโควิดถูกรวมไปแล้วในราคากักตัวนะคะ ถือเป็นข้อดีไม่กี่อย่างที่มาเข้า state quarantine คือไม่ต้องคิดหาอาหารเอง ไม่ต้องหาเครื่องตรวจเอง เสียอย่างเดียวเลย คือมันแพง 5555

    มีทีวี ตู้เย็น เครื่องต้มน้ำร้อน สบู่ กระดาษทิชชู่ ผ้าเช็ดตัวให้ในห้องเสร็จสรรพ อีกทั้งเราสามารถส่งเสื้อผ้าซักได้7ชิ้นก่อนวันที่5 ฟรี!


    เอาล่ะ ทีนี้ก็เป็นภารกิจของเราในการจัดตารางเวลาชีวิตในห้องนอนน้อยๆนี้แล้วล่ะ

    ตอนนี้Routineปัจจุบันของเราคือ

    7:00-7:45 Morning Exercise

    8:00-11:00 Study Human Physiology

    11:00-13:00 Family meeting via Zoom

    13:00-15:00 Study pre-sessional math

    15:00 onwards FREE TIME!

    สามารถสั่งของหรือของกินให้มาส่งที่โรงแรมได้นะ แต่อย่าลืมบอกหมายเลขห้องกับชื่อไปด้วย

    แอบอยากบ่นนิดนึงคือWIFIมีบางช่วงที่ไม่ค่อยเสถียร (ปัจจุบันที่วัดความเร็วอยู่ที่​ 13 Mbps!) ยังหลุดๆบ้างแต่ก็ยังถือว่ารับได้ ใครที่วางแพลนจะมาสตรีมเกมที่นี่คงต้องคิดหนักนิดนึง VDO call ผ่านไลน์นี่คือdelayสุดๆ แต่อาจจะขึ้นอยู่กับตัวโรงแรมด้วยเหมือนกันค่ะ

    ถามว่าJetlackมั้ย?

    ...จะเหลือเหรอคะ...

    สลบไปตอน5โมงยัน3ทุ่ม แถมยังตื่นมาตอนตี4ด้วยล่ะค่ะ 55555




เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in