เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
otherssean and his nightmares
(Mikkelsewell) ; Some How
  • Title : Some How | ผมร้องเพลงที่เคยรู้จัก แต่สาบานกับพระเจ้าได้เลยว่าคุณคงไม่มีทางได้ยินมัน

    Author :  Sean

    Pairing : Dr.Mongkol x Capt.Ramin 

    Rating : Rate 15+ (คำพูดไม่เหมาะสม)

    Fandom #เมื่อแฟนผมเป็นหมา

    คอมเมนท์ฟิคได้ที่ #seanfic คร้าบ


    ฟิคกาวเรื่องนี้มอบให้พี่พลอยเป็นของขวัญวันเกิดปีที่ 23 ข่าบบบบบ

    มีความสุขมากๆนะฮะ ของขวัญที่ทำให้ได้ก็เท่านี้แหละ อิ้_______อิ้

    หวังว่าจะชอบและมีความสุขนะ คือเรื่องนี้มันกาวจริงๆ ฮือ5555555555



     




    แนะนำให้ฟังเพลงนี้ไปด้วยนะ ถ้าไม่มีเพลงนี้เขียนฟิคเรื่องนี้ไม่ได้เลยจริมๆ ( จิ้มๆ )





     






    I






    เสียงปลายรองเท้าเคาะลงบนพื้นเป็นจังหวะ เหมือนเข็มของนาฬิกาที่เวียนหมุนไปทุกวินาที
    นาทีแล้วนาทีเล่า..เขาก็ยังยืนอยู่ที่เดิม


    นาฬิกาสแตนเลทที่อยู่บนข้อมือถูกยกขึ้นมองอยู่เกือบทุกห้านาที เมื่อรู้ว่านัดของเขานั้นกำลังจะสายเพราะใครบางคน




    โทรศัพท์มือถือเครื่องบางที่ก่อนหน้านี้มักจะสั่นอยู่เสมอเพราะแจ้งเตือนของไลน์กลุ่มที่เด้งอยู่เกือบทุกเวลา บัดนี้มันกลับเงียบเหงาเพราะคนที่ชอบก่อกวนนั้นกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการตรวจคนไข้ที่วันนี้มันเยอะเป็นพิเศษจากการเข้าเวรแทนเพื่อนร่วมงาน (ซึ่งถูกทดแทนจากเมื่อคราวก่อนที่เขาลาพักร้อนไปต่างจังหวัด)



    ทั้งๆที่รามิลก็สวมนาฬิกาอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูนาฬิกาที่อยู่บนภาพพักหน้าจออยู่ดี






    มือถือที่เงียบนิ่งถูกปลดล็อกอีกครั้ง
    รายการแจ้งเตือนที่ว่างเปล่าถูกปัดหน้าจอทิ้ง
    แต่ก็ถูกลากลงมาอีกครั้งเพื่อพบกลับความว่างเปล่าเหมือนเดิม
    หวังเพียงแค่ว่าจะมีข้อความจากใครบางคน










    II





    ชายหนุ่มค่อนไปทางวัยกลางคนกับดีกรีนักเรียนนายร้อยตำรวจ เลทแค่ครึ่งชั่วโมงมีหรือที่เขาจะใจร้อนและอดทนรอไม่ได้ สำหรับวันอื่นคงใช่ แต่เว้นวันนี้ไว้สักวันแล้วกัน รามิลเองก็ไม่อยากทำให้บรรยากาศดีๆนั้นเสียไปเพราะเรื่องงี่เง่าแบบนี้หรอก..



    หากเป็นตอนที่ประจำการอยู่เชียงใหม่ เขาคงใส่ชุดครึ่งท่อนคีบอีแตะเดินไปไหนมาไหนตามใจชอบ อย่างมากก็ตั้งตี้ชวนลูกน้องนายสิบไปกินเย็นตาโฟที่อยู่ตลาดสดหน้าอำเภอแถวๆแฟลตตำรวจด้วยกัน

    ชีวิตเรียบง่ายกับนายตำรวจหนุ่มอย่างรามิลคงไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้แล้วล่ะ



    นึกถึงความหลังสมัยเป็นนายร้อยใหม่ก็ทำให้รอยยิ้มผุดออกมาเสียดื้อๆ





    แผ่นหลังที่ตรงนิ่งเหมือนไม้กระดานทาบเอาไว้ยืนพิงกับขอบรั้วกำแพงเตี้ยๆริมฝั่งถนนเยื้องกับโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในตัวเมืองของจังหวัด รามิลยังคงยึดถือวิชาที่ถูกสอนติดตัวมาตั้งแต่อยู่ในรั้วของโรงเรียนเตรียมทหาร คือการมีระเบียบวินัยอยู่เสมอ



    ชายหนุ่มเก็บมือถือเข้าไว้ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ของเขาและยืนกอดอกเหมือนที่ตอนแรกเขาทำตั้งแต่มาถึง หลังลงจากรถแท็กซี่.. ใช่.. รถแท็กซี่สีชมพูนั่นแหละ คงไม่อยากยืมรถหลวงมาใช้นอกเวลาปฏิบัติงานสักเท่าไหร่










    III





    “มานานยัง?” เสียงตะโกนดังมาแต่ไกล เป็นเสียงที่ไม่ต้องหันหลังไปมองก็รู้ได้เลยว่าเป็นเสียงของใคร แต่รามิลก็ยังหันหลังกลับไปมองอยู่ดี



    ชายหนุ่มที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงยีนส์ (กับสูทนอกที่ถูกถอดเอาพาดเอาไว้บนแขน) หมุนตัวเป็นรูปครึ่งวงกลม หันไปหาอีกคนที่พาดเสื้อหนังสีน้ำตาลไว้บนแขนก้าวฉับๆกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา



    “ไม่นาน ก่อนมึงมาแปบเดียว” รามิลตอบ



    มงคลใช้มือลูบผมที่ดูเหมือนถูกจัดทรงมาก่อนหน้านี้แต่ถูกลมพัด “โทษที คนไข้เยอะว่ะ”


    ยุ่งวุ่นวายกับทรงผมพอสมควร เสื้อหนังที่พาดอยู่บนแขนก็ถูกสะบัดขึ้นสวมทันที เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา



    “กินไร” ฝ่ายมงคลเอ่ยถาม



    ปลายรองเท้าคู่เดิมเปลี่ยนจากตบพื้นเป็นเคาะปลายรองเท้ากับพื้นปูนทำมุมเก้าสิบองศา “ไม่รู้ มึงอยากกินไร”



    “บะหมี่ปะ”



    “กูหนีจากเย็นตาโฟที่เชียงใหม่เพื่อมาเจอบะหมี่เหรอ”



    “อะ..ไอ้นี่” เจ้าของผมสีดอกเลาเอียงคอแล้วมองบน “แล้วอยากกินไร หอยทอด ชาบู หมูกระทะ หรืออาหารตามสั่ง”



    “....” 


    “มึงมั่นใจแค่ไหนว่าตัวเองเป็นหมอ ไล่มาแต่ละอย่างโคตรทำลายสุขภาพ”



    “เร็วๆ กูหิว”



    “หมูทะก็ได้”





    “เออ ลืมถาม” ช่วงเวลาหนึ่งรามิลสังเกตได้ว่าคิ้วเส้นบางถูกขมวดเข้าหากัน “ละมึงแต่งตัวอะไร จะไปภัตตาคารไง๊”



    ใส่ชุดสูทไปกินหมูกระทะไง ไอซัส! รามิลได้แต่เงียบตอบในใจ “ไม่เสือกสิ...”



    “กูก็ถามดีๆมั้ย” เจ้าหนุ่มผมดอกเลาเกาหัวงงๆ “หัวร้อนง่ายนะเรา”



    “หิวไม่ใช่เหรอ ไม่ไปล่ะ” เป็นรามิลเองที่เปลี่ยนประเด็น ก่อนที่เขาจะหัวร้อนขึ้นมาจริงๆ



    “มอไซค์จอดอยู่นู่นอ่ะ” พูดจบแล้วก็ดึงแขนเสื้อของอีกคนให้ตามไปด้วย “ไปเป็นเพื่อนหน่อย ไกล”



    “ให้มารอแล้วยังให้เดินไปเอารถเป็นเพื่อนอีก” พูดไปอมยิ้มไปกับท่าทางของอีกคนที่แทบจะลากให้ตัวเองเดินตามไปด้วย



    “บ่นเป็นเมียเชียว”



    “มึงอยากให้เป็นเหรอ”



    “งั้นกูเอาหมาดีกว่า”



    “โคตรเหี้...”










    IV





    “มึงง่วงเหรอ” เสียงอู้อี้ฟังไม่ค่อยได้ใจความเอ่ยถามในขณะจอดรถพักเครื่องอยู่บนถนนที่มีไฟจราจรสีแดงกำลังเด่นหราสะท้อนไปทั่วทั้งพื้นถนน


    ชายหนุ่มใช้ข้อมือดันกระจกที่กั้นระหว่างดวงตากับอากาศภายนอกขึ้น เขาหันไปหาอีกคนที่กำลังพิงหัวอยู่กับแผ่นหลังของเขา



    หัวทุยๆ(ซึ่งถูกสวมทับอีกทีด้วยหมวกกันน็อค)ส่ายไปมาเชิงปฏิเสธ “เปล่า..รถติดเหรอ”



    “อือ..ช่วงนี้เขากำลังเลิกทำงานกัน” พอเห็นว่าเจ้าคนดีไม่ได้เป็นอะไร มือข้างที่หมายว่าจะเอื้อมไปสัมผัสหน้าตักอีกคนก็เบนเข็มไปบิดแฮนด์เร่งเครื่องเหมือนเดิม “หิวยัง”



    “ไม่เท่าไหร่”



    “แต่กูหิวแล้ว” … “นี่ก็ไฟแดงนานจังเลยอีเหี้ย! ไปสิโว้ย!”



    “………”










    V





    เสื้อของมงคลยังมีกลิ่นของน้ำหอมติดอยู่..บางทีอาจจะเพิ่งส่งซักมาหมาดๆ ..หรือบางทีเจ้าตัวอาจจะพรมน้ำหอมก่อนออกจากบ้านก็ได้ สังเกตได้จากการที่ไม่ต้องเอาจมูกแนบสาบเสื้อก็ยังคงได้กลิ่นน้ำหอมของเพื่อนรักอยู่ดี


    อย่างไรก็ตาม รามิลยังคงนับถือใจมงคลที่ยอมใส่เสื้อเชิ้ตเป็นทางการมาทำงานกับเขาบ้าง..ดีกว่าใส่เสื้อยืดคมกลมสีกรมท่าซีดๆที่รามิลย้ำหนักย้ำหนาว่าใส่เสื้อหมายังดีกว่า





    “ชวนไอ้คิณกับน้องแฮมปะ” ขาตั้งรถถูกส้นรองเท้าหนังเตะออกทันทีเมื่อถึงจุดหมาย มงคลถอดหมวกกันน็อกเต็มใบออก ส่ายหัวไปมาเพื่อระบายความร้อนที่สะสมมาตลอดทาง



    ชายหนุ่มที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังเป็นคนลงจากรถก่อน เขาถอดหมวกและใช้มือลูบผมตัวเองเบาๆ “เห็นว่าสองคนนั้นเช็คอินที่โรงหนังนะ จะให้กูชวนไหมล่ะ”



    “แหวะ เหม็นความรัก ไม่เอา” มงคลทำเป็นอ้วกลมใส่แล้ววางหมวกกันน็อกไว้บนถังน้ำมัน “กินแม่งสองคนนี่แหละ”



    “แต่มันบุฟเฟ่ต์ไหม สองคนคุ้มหรอ”



    “มากับพี่ไม่ต้องห่วงว่าไม่คุ้ม ไปห่วงเจ้าของร้านนู้นว่าจะเจ๊งหรือเปล่า”




    อีเหี้ย.. กูกลับบ้านตอนนี้ได้เลยไหม..










    VI





    “มึง..”


    “อือ ว่าไง”


    “ขอบคุณนะวันนี้ที่คีบหมูให้ ไม่มีมึงนี่หมูกูไหม้หมดแน่ๆ”


    “ไม่เป็นไร เห็นมึงกินกูก็อิ่มแล้ว”


    “ถึงว่า ทำไมวันนี้มึงกินไม่ค่อยเยอะเลย”


    “กูหมายถึงอิ่มทางใจ”


    “อะไรคืออิ่มทางใจ กูก็ว่ากูกินทางปากนะ”


    “เออ เรื่องของมึงเถอะ” .. “รีบกลับบ้านได้แล้วไป ดึกแล้ว”


    “นี่ก็ไล่กูจังเลย แล้วพรุ่งนี้ไปไหนไหม”


    “ไม่ไป พรุ่งนี้วันเสาร์”


    “ดูหนังปะ”


    “?”


    “วาคิณมันบอกว่าหนังสนุก เลยชวนมึง เผื่อมึงอยากไปดูไง”


    “ถ้าวาคิณไม่บอกก็จะไม่ชวนกูไปงั้นสิ”


    “ไม่ชวนมึงแล้วกูจะไปชวนหมาที่ไหนล่ะครับ”


    “งั้นกูไม่ไปละ”


    “โอ๊ย อีเหี้ย ขี้งอนฉิบหาย” .. “ก็กูอยากดูหนัง ไปดูกับกูไม่ได้ไง๊”


    “ชวนดีๆดิ ชวนคนไปดูหนังมึงชวนแบบนี้เหรอ”


    “เรื่องมากเว่อ .. อะ ไปดูหนังกับผมนะครับรามิล ได้โปรด..”


    “เออ..อีง่าว พูดแบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบไหม”


    “อีง่าวแปลว่าอะไร”


    “โง่”


    “นี่ด่ากูหรือคำแปล”


    “คำแปล”


    “นึกว่าด่ากู”


    “..จะไปไหนก็ไปเหอะ”


    “ไล่กูเหรอ”


    “เออ”


    “งั้นไปก็ได้”


    “จะไปไหนก็ขับรถดีๆ มึงน่ะขับเร็วนะ”


    “ห่วงเหรอ”


    “อือ”


    “จ้ะพ่อ จะขับยี่สิบตลอดทางเลยจ้า”


    “ให้รถอ้อยสอยท้ายมึงเหรอ”


    “ขับช้าก็ว่า ขับเร็วก็ว่า แม่กูยังไม่บ่นเท่ามึงเลย”


    “แม่มึงบ่น แต่มึงฟังที่ไหนล่ะ”


    “มีมึงก็เหมือนมีแม่นั่นแหละ ไม่รู้บ่นห่าอะไรทุกวัน”


    “กูบ่นก็เพราะกูห่วงไหม”


    “แล้วไม่รักหรอ”


    “ไม่ กูเกลียดมึง”


    “เกลียดที่แปลว่ารักอะนะ”


    “มึงไปเอาความเชื่อผิดๆนี้มาจากไหน”


    “ก็ไม่รู้ บางทีคำว่ารักมันอาจพูดยากไปสำหรับมึงก็ได้”


    “..พูดเรื่องไรของมึงเนี่ย กลับบ้านได้แล้วไป ดึกแล้ว อันตราย”


    “คำก็ไล่ สองคำก็ไล่”


    “เอาตีนกูไล่ด้วยไหม จะได้ไปสักที”


    “ร้าย.. เดี๋ยวนี้ร้าย”


    “ไปได้แล้วมันดึก..” .. “ถึงแล้วไลน์มาบอกด้วย”


    “โทรไม่ได้เหรอ”


    “เออ เรื่องของมึง ถึงแล้วบอกด้วย”


    “งั้นกูไปแล้วนะ”


    “ขับรถดีๆ”


    “จะไม่ยื้อหน่อยเหรอ”


    “ยื้อเหี้ยอะไรล่ะ ดึกแล้ว จะนอน”


    “....”


    “อะไร”


    “กอดหน่อยดิ”


    “กอดอะไร ทำไม”


    “เหงา”


    “อือ..กอดดิ”


    “ขอบคุณนะ”


    “ไม่เป็นไร”


    “งั้นกูกลับจริงๆแล้วนะ”


    “อือ..”





    .....
    ....

    ..
    .





    “มาร์ค เดี๋ยวดิ”


    “ว่าไง”


    “มันดึกแล้วอ่ะ จะกลับได้เหรอ”


    “คงได้แหละมั้ง”


    “นอนบ้านกูก่อนไหมล่ะ พรุ่งนี้ค่อยกลับ”


    “ได้เหรอ”


    “ได้ดิ ทำไมจะไม่ได้”


    “ก็กูรอมึงชวน จนกูจะกลับบ้านแล้วเนี่ย แม่งไม่ชวนกูสักที”


    “แล้วทำไมไม่บอกว่าอยากนอนตั้งแต่แรก”


    “แหม่..เห็นแบบนี้ผมก็มียางอายอยู่นะครับคุณราม”


    “ไปๆเข้าบ้าน ยุงกัดหมดแล้ว”










    VII





    “กอดหน่อยดิ”


    “กอดอะไร ทำไม”


    “เหงา”


    “อือ..กอดดิ”


    เหงาเหมือนกัน..











    VIII





    “นอนได้ไหม” พื้นเตียงยุบลงตามน้ำหนัก รามิลเอ่ยถามเพื่อนของตัวเองที่นอนอยู่บนเตียงของเขา



    “ทำไมจะนอนไม่ได้ เตียงมึง มึงยังนอนได้เลย” พูดไปก็ยีผมที่เปียกน้ำไป



    “ก็เตียงมันแข็ง เผื่อนอนแล้วจะปวดหลังไง” รามิลดึงผ้าขนหนูที่พาดอยู่บนคอ วางไว้บนมือทั้งสองข้างแล้วขยี้ผมตัวเองบ้าง



    “ถ้าเป็นเมื่อก่อนกูก็คงชอบเตียงนุ่มๆ แต่พอแก่มาก็ไม่ไหว ทุกวันนี้อยู่บ้านกูนอนพื้น” ไม่รอให้เรียก มงคลก็ขยับเข้าไปหารามิลแล้วก้มหัวให้



    “..อะไร”


    “เช็ดให้ด้วย”


    “เช็ดเองดิ ผ้าอยู่ในห้องน้ำ”


    “แค่นี้ทำให้เพื่อนไม่ได้เหรอ”


    “แบบนี้ไม่ได้เรียกว่าเพื่อนแล้ว มันยิ่งกว่าเมียอีก”


    “เดี๋ยวนี้ชอบพูดเรื่องเมียบ่อยๆ อยากเป็นเหรอ”


    “ไอ้เหี้ยมาร์ค มึงเช็ดเองเลย!”

    ผ้าขนหนูผืนนุ่มถูกปาใส่หน้าทะเล้นของอีกคนอย่างจัง


    “หูย..ใจร้ายเว่อ” .. “อะ ไม่แซ็วแล้ว..เช็ดให้หน่อยเร็ว”


    “มีมือมีตีนก็ทำเอง”


    “ด่าเก่ง..” .. “จะทำไม่ทำ”


    “ไม่โว้ย---!!”





    “ไอ้เหี้ยมาร์ค!!! ปล่อย!!!”


    “ไม่ เช็ดผมให้กูก่อน”


    “ไม่ปล่อยกูถีบ”


    “ยอมให้ถีบเลยถ้ากูได้กอดมึงแบบนี้อะ”


    “อีเหี้ยมาร์ค!”


    “ขนทั้งสวนสัตว์มาด่ากู กูก็ไม่ปล่อย”


    “นี่คนหรือเหาฉลาม โว้ย! ปล่อย!”


    “ม่ายยยยยยยยยยยย”


    “ปล่อยก่อน จะได้เช็ดผมได้ไง”


    “ห้ามตุกติก”


    “ไม่ตุกติกแต่จะติดตีนกูแทนเนี่ยไอ้เหี้ย”


    “ด่าอีกละ คำก็เหี้ยสองคำก็เหี้ย สงสารเหี้ยด้วย กูรู้สึกผิดแทนเหี้ยแล้ว”


    “…เรื่องของมึงเลยครับ”


    “ปล่อยก็ได้ครับ”


    “ดีครับ แล้วนั่งอยู่เฉยๆนะครับ ถ้าขยับกูดึงผมมึงร่วงกว่าเดิมแน่”


    “ครับแม่”


    “แม่มึงสิ”


    “ครับเมีย”


    สะบัดฝ่ามือเข้าที่ท้ายทอยดังป้าบใหญ่ “ไอ้ควายเอ้ย รำคาญ”










    IX





    “กูปิดไฟแล้วนะ” เป็นฝ่ายของหนุ่มผมสีดอกเลาเอ่ยถาม เพราะโคมไฟที่ตั้งอยู่และเปิดสว่างอยู่ฝั่งทางเขา



    “อือ..” รามิลตอบรับในลำคอแล้วปิดหน้าจอโทรศัพท์มือถือ
    เครื่องสี่เหลี่ยมบางถูกวางไว้ข้างๆกันกับหมอนที่เจ้าตัวหนุนอยู่



    “นี่.. เคยอ่านวิจัยไหม ที่เขาบอกว่าไม่ให้วางโทรศัพท์ไว้ใกล้หูเวลานอน เพราะมันเสี่ยงต่อการได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีอยู่ในโทรศัพท์ของเรา”



    “กูฉลาดพอที่จะเปิดโหมดเครื่องบิน”



    “เพื่อนก็หวังดี” .. “แหม่..พูดงี้รู้สึกโง่เลย”


    “รู้แล้วน่า.. ห่วงก็บอก”


    “อือ นอนแล้วนะ”


    “ฝันดีนะมาร์ค”


    “ฝันดีราม”










    อ้อมแขนอุ่นที่ไม่คิดว่าจะได้รับมันอีกครั้งถูกสวมกอดเข้าที่ด้านหลังของเจ้าของผมสีดำสั้น มันเป็นกอดธรรมดาที่พิเศษกว่ากอดไหนๆในโลกใบนี้


    ขอบคุณนะ..กอดคุณมันอุ่นมากๆเลย


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in