"...กลายเป็น loser เรื่องความรัก สำหรับพวกมันสองคนนั้นแล้ว
ยังจะเป็น loser เรื่องชีวิตการทำงานอีกเหรอ..."
เคยใช่มั้ย ที่ตอนเด็ก ๆ ครูให้เราทำชิ้นงาน เขียนอาชีพที่ใฝ่ฝันลงไป
ส่วนใหญ่เราจะบอกว่าเราเป็นศิลปินวาดภาพ เพราะตอนนั้น ศิลปะ เหมือนเป็นความถนัดเดียวของเรา
ไม่มีครูคนไหนพูดหรอกว่ามันไม่ค่อยได้เงิน แค่ตอนนั้นรู้สึกว่าเท่ห์ดี ไม่เหมือนเพื่อน
เพราะเพื่อนส่วนใหญ่ก็จะตอบตำรวจ หมอ ครู บลา บลา
แต่มีครั้งนึงมั้ง เราเคยเขียนว่าอยากเป็น "อาชีพครู" ด้วย
แต่ก็แบบ เป็นวันที่ขี้เกียจคิด ทำงานส่ง ๆ ไป
แต่ก็เคยมีความอยากเป็นนะ เวลาเจอครูใจดี แต่ก็ไม่กล้าวาดบ่อย ๆ หรอก
เป็นอยากอายเพื่อนและคิดว่าไม่เท่ห์เลย แบบเราก็ไม่ได้เรียนเก่งไง คนอื่นอาจคิด
หน้าอย่างเธออ่ะนะ จะเป็นครู...
ช่วงมัธยม...
วัยรุ่นอ่ะเนาะ หัวเลี้ยวหัวต่อ วัยที่ต้องการการยอมรับ และความสนใจ
ตอนนั้นเราเริ่มรู้สึกว่าเราชอบการเป็นคนสอน ชอบการถ่ายทอดความรู้
เหมือนค้นพบว่าตัวเองมีความสามารถเพิ่มอีกอย่างคือ การนำเสนอ...หน้า...
หน้าชั้นเรียน ????
คือสมัยนั้นอ่ะเนาะ เด็กยุคสองพันต้น ๆ ยุคเปลี่ยนผ่าน ยุคริเริ่มเทคโนโลยี
ในสภาพแวดล้อมที่เราอยู่ ที่เราเรียนอ่ะ น้อยคนนักที่จะมีความสามารถ
ในการนำเสนอหน้าชั้นเรียน ที่ไม่ใช่แค่การออกไปอ่านโพยให้เพื่อนฟัง
ซึ่งบางทีก็สงสัยว่าเพื่อนมันฟังเหรอ หรือแม้แต่ครูอาจารย์ที่ยอมให้นักเรียนนำเสนอแบบอ่านนั้น
เขาฟังด้วยเหรอวะ !?!
จริง ๆ การออกไปพูดข้างหน้า (ตามคำสั่งครู) มันเป็น position ที่ได้เปรียบมากนะ
มันอยู่ในสถานะที่คนอื่นต้องฟัง ทำให้คนอื่นฟังเราได้ง่าย ๆ แต่ก็ไม่ค่อยจะมีใครทำให้เราอยากฟังอะไรขึ้นมาเลย อันนี้ส่วนตัวเลยนะ เพื่อนคนไหนออกมาอ่านจากรายงานให้เราฟัง
เราเหมือนปิดสัญญาณหูทันทีอ่ะ มันก็เลยได้แต่สงสัย และเราก็ดันรู้สึกทนการไม่ฟังไม่ไหว
เราคิดว่า... ถ้าเป็นเราออกไป เราจะทำให้ทุกคนอยากฟัง เรื่องของเราจะน่าฟัง
เออ อันนี้ต้องยอมรับแบบไม่ถ่อมตัวจริง ๆ ว่าเราทำได้ดีอ่ะ
จนเรารู้สึกว่าเออ ชอบว่ะ ชอบการได้ถ่ายทอดสิ่งที่รู้ สิ่งที่มั่นใจ สิ่งที่ถนัดส่งไปให้คนอื่น
พอตอนเข้ามหาลัยยิ่งชัด วัยนักศึกษา และจากที่เราเรียน คือมันเป็นหัวข้อให้ได้พูดคุย
คนที่ไม่เคยเรียนเก่งอย่างเราก็ได้เกียรตินิยมมาจากการเรียนนี้อ่ะ
ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราชอบสอน และการสอนที่ดีและถนัดก็ควรจะเป็นกลุ่มคนเหล่านี้
ที่จะนั่งฟังเงียบ ๆ เป็นมารยาทพื้นฐานก่อนอยู่แล้ว ดีที่งานที่เราจบมาแล้วทำตอนแรกก็สอดคล้องนะ
ทำกับกลุ่มวัยรุ่น จนถึงวัยผู้ใหญ่ วัยชรา
แต่น่าเสียดายที่เราทำอาชีพนั้นได้แค่ 2 ปี เสียดายจริง ๆ
สิ่งที่ไม่เคยคิดหรือคาดฝันมาก่อนก็คือ การต้องสอน... เด็กประถม
คือความเด็กประถมที่การควบคุมมารยาทพื้นฐานในการฟัง การเรียนโดยไม่คุยกัน
ยังเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยากเกินไป การต้องทำเหมือนครูเด็กเล็ก เล่านิทาน ทำท่าประกอบ
ไม่เคยคิดว่าจะทำได้ ไม่เคยจินตนาการภาพตัวเองแบบนั้นออกเลยจริง ๆ
ปัจจุบัน วันนี้ ... เราทำงานเป็นครูสอนประถมต้นมาได้ 3 ปีแล้ว
เราเริ่มอาชีพที่ไม่คาดฝันนี้ตอนภาคเรียนที่ 2 ของปีการศึกษา 2560 ใช่ค่ะ กลางปีแบบนั้นเลย
เรามีเวลาเตรียมตัว เตรียมใจกับอาชีพที่ไม่คาดฝันนี้อยู่ทั้งสิ้น 2 วัน... ใช่ค่ะ สองวันจริง ๆ
ย้อนไป เราออกจากงานเดิม งานแรกที่ทำหลังเรียนจบได้เกือบปี ไม่มีงาน
จนกระทั่งได้มาทำ part time ที่โรงเรียนปัจจุบันที่ทำอยู่นี่แหละ ทำในตำแหน่งผู้ช่วยบรรณารักษ์
เหตุผลที่มาทำหลังจากออกจากงานแรกมาน่ะเหรอ
อยากช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่... ?
อ๋อ นั่นเป็นเหตุผลรองค่ะ
เหตุผลหลัก คือเราอยากมีเวลาได้อยู่ใกล้ ๆ กับแฟนต่างหาก... แฟนมั้ยนะ เราคิดว่าเป็นแฟนแหละ
ไม่ว่ายังไงก็เปลี่ยนความจริงไม่ได้หรอกว่าตอนนั้น... เราเคยเป็นแฟนกัน
แฟนเราก็ทำงานเป็นครูที่โรงเรียนนี้... และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราเข้ามาทำงานนี้
จนกระทั่งมีครูลาออกในเทอม 2 ทางโรงเรียนก็เรียกเราไปคุยว่าอยากทำต่อไหม
ความอดีตโรงเรียน ความโรงเรียนที่รู้จักกันดี ระบบความอุปถัมป์นี้... เราตอบตกลงทำอาชีพนี้
อาชีพครูประถมต้น อาชีพที่ไม่เคยคาดฝัน
สถานะของเราในตอนนั้นนอกจากจะเป็น part time แล้ว ก็ยังเป็นนักศึกษาปริญญาโท
สาขาการบริหารการศึกษาสด ๆ ร้อน ๆ อีกด้วย ตลกเนอะ ไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับครู เกี่ยวกับบริหารสักหน่อย โผล่มาเรียนได้ไงวะ งงมาก โอเค... สถานะ part time สถานะ นักศึกษา ป.โท และอีกสถานะคือ
สถานะที่กำลังจะเลิกกับแฟนค่ะ...
ก่อนหน้าที่จะมาคบกับเขา เรามีแฟนมาแล้วทั้งหมด 4 คน เขาคือคนที่ 5
ในช่วงเรียนมหาลัย เป็นช่วงชีวิตที่เราแทบไม่เคยจะเป็นโสดเลย เราเป็นมนุษย์ที่จะต้องมีแฟนอยู่เสมอ เราใช้ชีวิตกับแฟนแทบทุกวัน ติดกันมาก และมีแฟนอยู่ในชีวิตเสียจนคิดถึงช่วงเวลาตัวคนเดียวไม่ออก
กับแฟนคนนี้ จริง ๆ มันมีหลายอย่างซับซ้อนมาก แต่คงไม่ลงรายละเอียดมากนะ
เพราะนี่ไม่ใช่การบันทึกชีวิตรักกับเขา แต่ที่ต้องพูดถึงเรื่องเขา เพราะเขาเป็นหนึ่งในเหตุผลของการมาทำอาชีพนี้ของเรา เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเดินมาทางนี้ และกลายเป็นอย่างทุกวันนี้
ไม่สามารถข้ามเรื่องของเขาไปได้จริง ๆ
ก็นั่นแหละค่ะ เราตอบตกลงทำงานห้องสมุดเพราะเขา อยากอยู่ใกล้เขามากขึ้น
แต่ก็เห็นได้ชัดว่าการมาทำงานในโรงเรียนเดียวกัน (แต่คนละฐานะ) ยังไม่ช่วยอะไรในเรื่องความสัมพันธ์ของเรากับแฟน เราเดินทางมาถึงจุดระหองระแหงมาก จุดที่เลิกกันรึเปล่า ยังรักกันรึเปล่า หรือควรกลับไปเป็นพี่น้องกันรึเปล่า มันเป้นช่วงห่างกันสักพักของตอนปิดเทอม 1 / 2560
เราแยกย้ายกันไปใช้เวลา... และในช่วงเวลาที่กำลังจะหมด
เราก็ตอบตกลงกับคำถามที่เป็นจุดเปลี่ยนใหญ่ในชีวิต มันคือการเริ่มทำงานอาชีพที่ไม่คาดฝันมาก่อน
ไม่เคยคิดว่าจะทำได้เลย ก่อนตัดสินใจ เราปรึกษาเขาแหละ แม้เราก็รู้อยู่แล้วว่าเขาต้องเชียร์ให้เราตกลง เราโทรถามทุกคนในครอบครัวของเรา แต่ความจริงเรารู้สึกเหมือนจะฟังแค่เขา และเพียงแค่เขาตอบมา เราก็ตอบตกลง...
2 วันก่อนเริ่มงานจริง
เราคิดว่าเราทำทุกอย่างได้แหละ แค่มีเขาอยู่ข้าง ๆ เราจำคำสัญญาว่าเขาจะคอยช่วยเราให้ผ่านพ้นไปได้ เราต้องทำได้แน่ ใคร ๆ ก็อยากจะเป็นความภาคภูมิใจของแฟนกันทั้งนั้นแหละ ถูกมั้ย
เราจึงมั่นใจว่าเราทำได้แหละ ... เขาจะพาเราผ่านไปได้ ไม่มีอะไรต้องกังวล
แต่รู้มั้ยคะ...
ความมั่นใจนั้นพังทลายแทบจะในทันที เพียงอาทิตย์แรกของการทำงาน
มันเหมือนการถูกทำให้พังลงจากจุดที่สูงที่สด แตกสลายลงมาจนแทบไม่เหลือ ด้วยเหตุผลที่ว่า
"เรา ไม่ อาจ มี เขา ใน ชีวิต อีก ต่อ ไป แล้ว"
คิดว่าคนอกหักที่พึ่งตัดขาดกับแฟนที่คบกันมาเกือบ 3 ปี มันมีความ hurt ขนาดไหน
แต่อาทิตย์นั้น มันไม่ได้มีแค่การอกหักไง....
มันคือครั้งแรกจริง ๆ กับการเผชิญงานที่ไม่เคยทำ ไม่เคยคิดว่าจะได้ทำ และยังไม่ใช่งานที่รัก
มันมีความไม่ชิน ความต้องปรับตัว ความไม่รู้เรื่อง ความไม่เคยเจอ ไม่เคยรับมือ
และไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงกับเด็กประถมที่ อห... (ที่ไม่ได้แปลว่า โอ้โห) นี่มันยุคอะไรกันเนี่ย
เกิดมาจากไหนกัน ทำไมตอนเราเด็ก ๆ ไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่เคยเจอแบบนี้
มันมีแต่ความรู้สึกว่าทำไม่ได้ ความมั่นอกมั่นใจ ความชื่นชอบในการสอน การนำเสนอของตัวเอง
ถูกทำลายไปเสียสิ้นทั้งหมดแทบจะในอาทิตย์แรกของการเริ่มทำงาน
ยิ่งพอรู้ว่าไม่มีเขาอยู่ด้วยแล้ว ยิ่งรู้สึกไม่ไหว ทำไม่ได้แน่ ๆ
จนเหมือนกับว่าทนต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่ไหวแล้ว
ลาออกดีไหม ทำไมต้องฝืนทำอะไรขนาดนี้
ยังไงพ่อแม่ก็เลี้ยงเราได้อยู่แล้ว พ่อบอกเอง ไม่ต้องห่วงเลย...
แต่ความเจ็บปวดจากชีวิตที่สูญเสียคนรัก ที่คิดว่าเขาเป็นทุกอย่าง และรักมาก ๆ ในตอนนั้น
ความทรมานจากการต่อว่า หรือทำร้ายตัวเองด้วยเหตุนั้น มันมีอีกเสียงหนึ่งพูดออกมาว่า
"กลายเป็น loser เรื่องความรัก สำหรับพวกมันสองคนนั้นแล้ว
ยังจะเป็น loser เรื่องชีวิตการทำงานอีกงั้นเหรอ"
นั่นเป็นครั้งแรก ในชีวิตที่มีแฟนมาตลอด และมีแฟนเป็นทุกอย่างของชีวิต
เป็นครั้งแรกของเราที่ไม่เคยจินตนาการถึงชีวิตที่ไม่มีแฟนมาก่อน
เป็นครั้งแรกที่... เราพยายามจะใช้ชีวิต "ด้ ว ย ตั ว ข อ ง ตั ว เ อ ง"
มันเป็นช่วงเวลาที่ทรมานและหนักหนามากที่สุดสำหรับเราเลยตอนนั้น
กลางวันร้องไห้เพราะ เด็กนักเรียน...
ตกกลางคืนร้องไห้เพราะ คนที่เคยรักและไปจากกันแล้ว.....
ทั้งร้องไห้อยากได้เขากลับมา
และร้องไห้หนักขึ้นไปอีกเมื่อยิ่งรู้ว่า ยังไงเขาก็ไม่กลับมา...
ร้องไห้บัดซบกับชีวิตที่ถูกเขาทิ้งเอาไว้
ร้องไห้ที่เมื่อคิดได้ว่า พอไม่มีเขาแล้ว เรามันไร้ค่าขนาดไหน
และร้องไห้หนักที่สุดให้ตัวเอง
ที่หลังจากนี้ ต้องอยู่โดยที่ไม่มีเขาให้ได้ ทั้งที่ตอนนั้นคิดว่ายังไงก็ทำไม่ได้
ก็ผ่านมา 3 ปีแล้วค่ะ วันนั้นถึงวันนี้
เรื่องดี ๆ ส่งท้ายของ EP1 นี้คือ...
ในที่สุด มันก็มีวันที่เราหยุดร้องไห้ เพราะคิดได้ว่า
เราควรจะใช้ชีวิตอย่างมีค่า "ด้วยตัวของเราเอง"
ไม่ว่าจะมีเขา หรือไม่มีเขา
ในที่สุดเมื่อเราคิดอย่างนั้นได้... กำลังจะทำได้... ใกล้จะทำได้
ไปจนถึงวันที่เราทำได้....
น้ำตาที่เคยคิดว่ามันจะไม่หยุดไหล
ความเจ็บปวด ทรมาน ที่เราเคยคิดว่ามันจะไม่จางหาย
วันนี้มันหายไปแล้ว....
วันนี้ทำอาชีพครูนี้ได้ 3 ปีแล้วค่ะ... ?
#END #EP1
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in