ตอนที่ 2 นี้ตอนแรกคิดไว้ว่าจะมารีวิวไปตามสถานที่ แต่ดีเทลมันยิบย่อยมากเลยกะว่าจะเล่าไปตามวันที่เราเที่ยวดีกว่า ว่าไปไหนมาบ้าง
อย่างที่บอกไปตอนที่แล้วว่าเราจะพักอยู่เมือง Strasbourg (สทราซบูร์) เป็นหลัก คือถ้าให้เปรียบ Strasbourg กับบ้านเราก็คงให้ฟีลจังหวัดเชียงใหม่ เพราะเป็นเมืองที่ปั่นจักรยานกันเยอะที่สุดในประเทศฝรั่งเศส และวิถีชีวิตรวมถึงสภาพแวดล้อมน่าอยู่มากกกกกกกก ชอบมากๆ ผู้คนที่นี่ก็จะเดินกันชิลๆ ไม่เร่งรีบ อากาศก็ดีมากด้วย ช่วงที่เราไปตอนนั้นยังไม่ร้อนมากค่ะ เย็นๆ ใส่เสื้อยืดเดินเล่นได้สบายๆ
เมือง Strasbourg เนี่ยเป็นเมืองที่ติดกับประเทศเยอรมัน อยู่ในแคว้น Alsace (อัลซาซ) คือประเทศฝรั่งเศสเขาจะมีการแบ่งเป็นแคว้นต่างๆ ซึ่งแคว้น Alsace จะขึ้นชื่อด้านตลาดคริสต์มาสต์ (Marché de Noël) กับ Wine Road ค่ะ เมืองนี้เคยเป็นเมืองขึ้นของเยอรมันในสมัยก่อนด้วย สถาปัตยกรรมตึกรามบ้านช่องก็จะคล้ายคลึงกับเยอรมัน และชื่อหมู่บ้านนอกเมืองต่างๆก็เป็นภาษาเยอรมันเยอะ รวมถึงชาวฝรั่งเศสแถบชายแดนก็จะพูดภาษาฝรั่งเศสติดสำเนียงเยอรมันด้วย (ฟังยากหน่อย)
หลังจากที่เราถึงตัวเมืองแล้ว เราก็ขนของเข้าที่พักในอพาร์ทเมนต์ของพี่เขย แต่ก่อนที่จะได้เข้าที่พัก พี่เขยก็วนรถรอบตึกเพื่อหาที่จอดอยู่สักพัก เลยทำให้เรารู้ว่าเป็นเรื่องยากมากกับการหาที่จอดรถในฝรั่งเศส เนื่องจากพื้นที่ค่อนข้างจำกัด เลยต้องอาศัยโชคและความอดทน ด้วยความที่มาจากประเทศไทยอ่ะเนาะ ที่จอดมากมาย อยากจอดตรงไหนก็จอด เลยเป็นเรื่องที่ใหม่สำหรับเราเหมือนกัน ในฝรั่งเศสบางที่ก็จะต้องเสียค่าจอด คิดเป็นชั่วโมงเท่าไหร่ก็ว่าไป หรือบางคนเขาก็จ่ายเงินซื้อที่จอดรถกันนะ แต่ราคาก็สูงใช้ได้ เพราะฉะนั้นคนที่นี่และคนฝรั่งเศสส่วนใหญ่เลยปั่นจักรยานกับเดินกันมากกว่าค่ะ
ซึ่งความเก๋ของพี่เขยเราตอนนั้นคือนางชอบฟังวิทยุคลื่นหนึ่ง ชื่อว่า Fip Radio จะชอบเปิดเพลงแปลกๆ แปลกในที่นี้คือที่นู่นเขาไม่ค่อยเปิดกัน และ perception ส่วนใหญ่ของคนฝรั่งเศสเขาจะบอกฝั่งเอเชียว่าเป็นความ exotic คือวิทยุคลื่นนี้จะเปิดเพลงแอฟริกันบ้าง เพลงไทยบ้างแบบเก่าๆ อย่างเพลง ดูเธอทำ คลื่นนี้เปิดบ่อยจนพี่เขยร้องได้ จริงๆก็ร้องได้แค่ดูดูดูแค่นั้นแหละค่ะ แต่ทำนองเป๊ะ 555555 หรือเพลงภาษาเขมรก็มี ซึ่งในขณะที่หาที่จอดรถ ก็มีดนตรีคล้ายเพลงลูกทุ่งไทย แต่สรุปไม่ใช่จ้า เพลงภาษาเขมร เราก็คิดว่าเออดีว่ะ สร้างบรรยากาศให้เหมือนอยู่เอเชียดี จะได้ไม่ตื่นเมืองไรงี้เนาะ
พอเราได้เข้าที่พักแล้วก็จัดการอาบน้ำพักผ่อน อย่างหนึ่งที่ใหม่สำหรับเราอีกก็คือ ห้องน้ำไม่มีที่ฉีดและทิ้งกระดาษชำระลงชักโครกได้เลย จริงๆเรื่องนี้รู้อยู่แล้วแหละ แต่พอเอาเข้าจริงเบลอและตื่นตาตื่นใจไปหมด มานั่งนึกได้ตอนที่เข้าห้องน้ำแล้วงงว่าทำไมถังขยะเล็กจังนะ เกือบโชว์กากแล้วค่ะ 555555555
ในวันแรกเราก็ไม่ได้ไปที่ไหนเยอะมาก พอช่วงเย็นพี่เขยก็พาทัวร์โซนเซ็นเตอร์รอพี่สาวเรากลับจากโรงเรียนภาษา ซึ่งโชคดีที่อพาร์ทเมนต์อยู่ไม่ไกลจากตัวใจกลางเมืองเลย เดินแค่ 5 นาทีก็ถึง ตัวเซ็นเตอร์เรียกว่า Petite France (ภาพบน) ซึ่งเป็นโซนที่มีแม่น้ำล้อมรอบ เหมือนเป็นเกาะกลาง ไฮไลท์ของที่นี่ก็จะเป็นตลาดคริสต์มาสต์กับมหาวิหารสทราซบูร์ (Cathédrale de Strasbourg) เนื่องจากเป็นมหาวิหารที่เคยได้รับการจดบันทึกว่าสูงที่สุดในโลก (พี่เขยเล่าเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ) แต่ตอนนี้มีวิหารอื่นที่สูงกว่าแล้ว
ระหว่างทางไปอพาร์ทเมนต์
ภาพด้านบนก็จะเป็นระหว่างทางเดินเข้าโซนเซ็นเตอร์ อย่างที่บอกว่าคนที่นี่ไม่ค่อยจะขับรถยนต์หรือมอเตอร์ไซด์เท่าไหร่ แต่จะปั่นจักรยานกับเดินกันมากกว่า (ถ้าอากาศและทางเดินที่ไทยเราดีแบบบ้านเขาเราก็คงเดินแหละค่ะ)
สิ่งแรกที่ประทับใจมาก คือ คนขับรถขับราที่นี่มีจิตสำนึกดีค่ะ การข้ามทางม้าลายที่นี่เนี่ย เป็นอะไรที่คัลเจอร์ช็อกสำหรับเราเลย เพราะพอสัญญาณไฟคนเดินเขียวปุ๊บ รถยนต์เบรกทันที เราก็เดินข้ามได้สบายๆไม่ต้องพะวงว่าจะมีอีกคันอีกเลนหนึ่งพุ่งมาหรือเปล่า และที่ประทับใจมากกว่านั้น คือ ทางม้าลายตรงที่ไม่มีไฟบอก รถยนต์เขาก็หยุดให้ทันทีถ้าเขาเห็นว่ามีคนจะข้ามถนน ครั้งแรกเราก็ไม่รู้ค่ะ ก็ยืนรอให้รถผ่านด้วยความชิน เพราะตอนอยู่ไทยขนาดกดไฟคนเดินแล้ว รถบางคันยังจะเร่งเครื่องตัดหน้าเรา พี่เขยเลยบอกว่าที่นี่เธอไม่ต้องรอ เขาให้สิทธิคนเดินถนนก่อน แต่ไม่ใช่ว่าเดินไม่ดูตาม้าตาเรือนะ เพราะเราก็ต้องเคารพสัญญาณไฟคนข้ามถนนเหมือนกัน
ส่วนต่อมาเป็นโซนไฮไลท์ของที่นี่หรือ Petite France นั่นแหละค่ะ เป็นแลนด์มาร์คที่ใครมาก็ต้องมาถ่ายภาพ ตรงนี้ก็จะพบเจอนักท่องเที่ยวเยอะมาก ด้วยสไตล์ตึกที่มีเส้นขีดเป็นเอกลักษณ์ ที่เราชอบอีกอย่างคือแต่ละตึกจะประดับดอกไม้สีสวยมากมาย ซึ่งในภาพแรกจะเห็นเหมือนเป็นประตูตรงน้ำใช่มั้ยคะ อันนั้นเป็นประตูที่เปิดให้เรือนำเที่ยวผ่าน เรียกว่า Batorama หรือ Bateau Mouche ค่ะ ส่วนในภาพที่สามตรงสะพานที่คนยืนอยู่ก็จะมีเจ้าหน้าที่มากั้นนักท่องเที่ยวออก เพื่อที่จะยกสะพานขึ้นแล้วให้เรือผ่าน ตรงนี้ก็จะเป็นกิมมิคที่เราว่าเก๋มาก คนที่ยืนอยู่บนฝั่งก็จะโบกมือให้นักเที่ยวในเรือ คนในเรือก็โบกกลับ ซึ่งเวลาเราเจอเราก็ทำบ่อยค่ะ เหมือนเหงาเนอะ แต่สนุกดีค่ะ ตื่นตาตื่นใจ เราเลยแปะลิงค์จากช่องแคว้น Alsace ให้แล้วกันนะคะ เพราะขี้เกียจตัดต่อคลิปที่เราถ่ายเอง 555555 (
https://www.youtube.com/watch?v=XvKELCppf3g)
ส่วนต่อมาก็จะเป็นตรอกเล็กๆที่มีร้านกาแฟประปราย ตรอกนี้เราเรียกของเราเองว่าตรอกไดแอกอนค่ะ 55555555 จริงๆมีชื่อถนนนะ แต่เราจำไม่ได้ คือมันเป็นตรอกแคบๆ มีร้านขายของฝากบ้าง ร้านอาหารบ้าง ซึ่งเป็นตรอกที่ต่อมาจากสะพานที่เรายืนดูเรือนำเที่ยวค่ะ เราชอบความชิลของที่นี่ ชาวฝรั่งเศสก็จะมานั่งจิบกาแฟ สูบบุหรี่ชิลๆ บางทีก็จะมีดนตรีเปิดหมวกมาเล่นบ้าง ร้องเพลงเพราะด้วย ไหนจะศิลปินวาดภาพอิสระที่นั่งวาดเงียบๆ เราก็จะชอบไปยืนดู อยากอุดหนุนเขามากแต่เงินที่ติดตัวไปก็ต้องอยู่ให้ได้อีกเป็นเดือนเลยได้แต่ยืนชื่นชมเขา ฮืออออ
คืนวันแรกในฝรั่งเศสของเราก็ไม่มีอะไรมาก ทานอาหารเย็นด้วยอาหารฝรั่งเศสโดยแม่ครัวคนไทย พี่สาวเรานั่นแหละค่ะ เพราะพี่เขยทำอาหารไม่เก่ง หรือถึงทำได้พี่สาวเราก็จะบอกว่า 'จืดเหมือนแกดื่มน้ำเปล่า แกเลือกเอาแล้วกัน' เพราะพี่เขยเราลัทธิบีโอค่ะ 555555555 คือที่ยุโรปเขาจะมีผลิตภัณฑ์บีโอ (Bio) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ใบไม้สีเขียว (แปะรูปให้ด้านล่างค่ะ) พี่เขยเราเชื่อในสิ่งนี้มาก ประมาณว่าเขาศึกษามาแล้วว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย เป็นธรรมชาติ ไร้สารเคมี นางขายเราใหญ่เลย แต่เราก็ไม่ได้เชื่อขนาดนั้น เพราะในประเทศเราก็มีพวกตบตาเยอะอ่ะค่ะ เราก็เลยถามนางว่าแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเขาไม่ได้หลอก พี่เขยก็บอกว่าเชื่อได้ เขาเชื่อในมาตรฐานของประเทศเขา ซึ่งเราคิดว่ามันก็ดีนะ เราเองก็อยากลองเชื่อใจประเทศและรัฐบาลตัวเองได้ครึ่งของพี่เขยบ้าง...
ตราสัญลักษณ์บีโอ
พี่เขยเราจะซีเรียสเรื่องสารเคมีหรือสารปรุงแต่งมาก เขาบอกว่ารับไปเยอะๆมันไม่ดีต่อร่างกาย ซึ่งอันนี้เราเห็นด้วยค่ะ แต่พี่แกเล่นทำอาหารไม่ใส่แม้แต่เกลือหรือปรุงอะไรเลย หน้าที่งานครัวเลยเป็นของพี่สาวเรา ต้องแอบปรุงด้วยนะคะ เพราะถ้าพี่เขยเห็นนางจะบ่น แต่พอทำอาหารเสร็จไปเสิร์ฟทั้งๆที่ก็ปรุงฉบับคนไทยเลย นางก็กินปกติค่ะ แถมชมว่าอร่อยด้วย เลยเข้าใจว่าพี่เขยน่าจะเป็นมนุษย์ประเภท ไม่เห็นคือไม่มี 555555555 คือดูเหมือนเป็นคนรักสุขภาพใช่มั้ยคะ แต่นางเป็นคนย้อนแย้งนะ เพราะนางดื่มหนักดื่มเก่งมาก
หลายคนคงทราบว่าคนฝรั่งเศสเขาจะให้ความสำคัญกับอาหาร ซึ่งก่อนไปฝรั่งเศสพี่เราก็บอกว่าเตรียมตัวให้ดีนะ คนที่นี่ทานยิบย่อย หลายพอร์ทชั่น เราก็อ่ะ สายแดกจากเมืองไทย เพื่อนให้ฉายาฟู้ดไฟท์เตอร์ ชาบูหมูกระทะถี่ๆอย่างเราไม่กลัวหรอก สบาย แต่พอเอาเข้าจริงคือท้อเลยนะ โชคดีที่ตอนอยู่กับบ้านพี่เขยเขาไม่ยิบย่อยเท่าไหร่ แต่พอไปงานเลี้ยงอะไรแบบนั้นคือกินจนยัดไม่ไหว ยกธงยอมแพ้
คนฝรั่งเศสเขาจะให้ความสำคัญกับมื้อเย็นมากๆ เขาจะเปิดมื้อด้วย L'apéro หรืออาหารเรียกน้ำย่อยกันก่อน ซึ่งอาหารเรียกน้ำย่อยก็จะเป็นพวกขนมขบเคี้ยวต่างๆ นอกจากขนมก็จะเป็น Saucisson อารมณ์ไส้กรอกแห้งอ่ะค่ะ มี Chorizo ด้วย ลักษณะคล้ายกันแต่จะผสมพริกเลยเผ็ดๆ เราชอบอันนี้มาก คือมันจะมาในรูปแบบคล้ายๆกุนเชียง เวลากินก็จะหั่นเป็นชิ้นๆแล้วทานดิบๆกับเบียร์หรือไวน์เลย ซึ่ง เ ร า รั ก ม า ก ถามเพื่อนที่ไปเที่ยวเหมือนกันชอบทุกคนเลยค่ะ มันดีจริงๆทุกคน กับอีกอย่างคือ Jambon cru อันนี้เป็นแฮมแดดเดียว เค็มแต่อร่อยมาก รสชาติของเนื้อจะละมุนไปกับเครื่องดื่มเลย เป็นช่วงเวลาเรียกน้ำย่อยที่เรารักมาก
Saucisson
Chorizo
Jambon Cru
ช่วงแรกที่เราไปเราดื่มไม่เก่งค่ะ วันแรกแค่ไวน์แดงแก้วเดียวก็มึนแล้ว ประกอบกับเริ่มมีอาการ jetlag คือไทยจะเร็วกว่าฝรั่งเศส 5 ชม. แล้วกว่าจะเริ่มทานอาหารเย็นก็ช้านาน เริ่มหนึ่งทุ่มบ้าง สองทุ่มบ้าง บางวันก็สี่ทุ่ม เพราะฤดูร้อนที่นู่นพระอาทิตย์ตกสี่ทุ่ม ไม่รู้ว่าแสงแดดเกี่ยวข้องกับเวลากระเพาะเราด้วยมั้ย เพราะจะหิวช้า 5555555
วันแรกนั้นพอเสร็จมื้อเย็นก็ประมาณสามทุ่ม ด้วยความที่พี่เขยเราอยากพาไปดูนั่นนี่ นางเลยพาไปหลังอพาร์ทเมนต์ ซึ่งเป็นโมเดิร์นอาร์ทมิวเซียม (Strasbourg Museum of Modern and Contemporary Art) วันนั้นเขามีฉายหนังกลางแปลงที่หน้ามิวเซียมค่ะ เราก็ไปแบบง่วงๆ นั่งรอนานมากจนประมาณสี่ทุ่มเขาถึงเปิดจอ ตอนนั้นคือเราเริ่มมีวูบๆบ้างละ ลืมตาแทบไม่ไหว แล้วระบบขัดข้องจนผ่านไปยี่สิบนาทีก็ยังไม่ได้ดู พี่เขยเห็นสภาพเราแล้วสงสารเลยกลับไปนอน สรุปวันนั้นก็ไม่ได้ดูหนังกลางแปลงกับคนฝรั่งเศส ฮือออออออ
เราชอบความฝรั่งเศสอย่างหนึ่ง ในเมืองจะชอบมีงานหรือมีเทศกาลครื้นเครงให้ผู้คนออกมาจอยกัน ไม่ได้เป็นแค่เมืองนี้เมืองเดียวค่ะ เราไปมาหลายๆที่ก็จะเป็นแบบนี้หมด เราชอบมาก สนุกและได้พบปะผู้คนเยอะเลย คือสมแล้วที่เป็นประเทศแห่งศิลปะ เพราะทั้งดนตรี ภาพวาด สถาปัตยกรรม และศิลปะอีกหลายแขนงรุ่งเรืองมาก ผู้คนเขาก็ให้ความร่วมมือด้วยแหละ
จบในส่วนของวันแรกแล้วค่ะ เล่าผสมเมาท์มอย คือในทริปนี้เนี่ย พี่เขยมีส่วนสำคัญในชีวิตเรามากๆ ด้วยความต่างความคิดและต่างวัฒนธรรมกัน เราเลยจะเล่าถึงนางบ่อยหน่อยนะคะ เพราะเป็นคนจัดทริปให้เราด้วย 555555555
ในตอนหน้าเราจะยังอยู่ที่ Strasbourg อยู่ค่ะ คือเราจะมีแว้บไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่บ้าง แต่ก็เบสอยู่เมืองนี้หนึ่งเดือน ก่อนที่เราจะออกแคมป์ไปเมืองต่างๆ ช่วงแรกๆชีวิตเราจะยังไม่พีคเท่าไหร่ แต่ก็จะมีเหตุการณ์ความต่างทางวัฒนธรรมซึ่งเราอาจจะโชว์โง่ไปในหลายๆเรื่องบ้างนะคะ 5555555 หวังว่าจะชอบกันนะคะ ขอบคุณที่ติดตามกันค่า /ไหว้
ปล. หากมีข้อมูลไหนผิดพลาดยังไงคอมเมนต์บอกไว้ได้เลยค่ะ เพราะผ่านมาก็หนึ่งปีแล้วอาจจะมีลืมๆไปบ้าง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in