เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My Italian memoriesPATNAKAN
My Italian memories : EP.7 มันมาแล้ว..
  • เรื่องเล่าจากปีแลกเปลี่ยนเกือบจะสองปีที่แล้ว เรายังอยากขุดมาเล่า ฮ่าๆ เพราะจดไดอารี่ไว้เยอะมาก
    เผื่อใครอยากอ่านตอนเก่าๆก็เชิญได้นะคะ > My Italian Memories

    รูปปกสดใสมาก แต่เรื่องเล่าทำไมเศร้าละคะ /วิ่งหนีไปสะอื้นที่มุมห้อง

    สุขกันเถอะเราเศร้าไปทำไม

    07/10/2015

    ชีวิตผ่านมาอย่างปกติสุขได้เดือนกว่า

    วันนี้ที่โรงเรียนเพื่อนช่วยกันลิสต์ชื่ออิตาเลียนมาให้เราเลือกเพราะที่อิตาลีจะมีวันเฉลิมฉลองชื่อตามนักบุญต่างๆ สมมติ คนที่ชื่อ Luca ก็ฉลองในวันที่18 ตุลาคมตามนักบุญ ซาน ลูก้า เป็นต้น

    ทำไมต้องยกตัวอย่างชื่อผู้ชายที่ตัวเองชอบด้วยหืม ไหน ตอบซิ

    ยังไงก็แล้วแต่เพื่อนอยากให้เราได้มีโอกาสฉลองชื่อแบบคนอิตาเลียนบ้าง เลยคัดมาประมาณ 62 ชื่อแต่ละชื่อก็สวยทั้งนั้น เราเลือกไม่ได้ค่ะ ต้องค่อยตัดโหวตออกไม่อยากให้เพื่อนที่เสนอชื่อนั้นๆมาเสียใจที่เราไม่เลือกชื่อนั้น ฮ่าๆ

    ความสัมพันธ์กับเพื่อนที่โรงเรียนก็มีเวลาที่สนุกบ้างเบื่อบ้าง เพื่อนบางคนก็ใกล้เบื่อหน้าเราแล้ว ไม่ค่อยสนใจเราเหมือนเดิมเท่าแต่ก่อนแต่เราก็ยังโอเคค่ะ เพราะคนที่สนิทและชวนเราไปไหนมาไหนด้วยก็ยังมีอยู่เพื่อนคลาสอื่นทั้งรุ่นน้องรุ่นพี่ก็เอ็นดูเราเหมือนลูกหมาตัวน้อย

    เวลาสอนภาษาเรา ก็สอนแบบเด็กน้อยมาก เช่น “นี่....คือ....แอป...เปิล....” เอ่อพูดเร็วกว่านี้หน่อยก็ได้ค่ะ ฉันเข้าใจ แต่ก็นะเค้าก็เห็นว่าเราเป็นคนที่มาจากไทยแลนด์แดนไกล คงไม่เคยเรียนภาษาอิตาเลียนมาก่อน ต้องเริ่มจากเบบี๋นี่แหละจึงจะดีที่สุดฮ่าๆ

    หลังจากที่เฮฮาปาจิงโกะกับชื่ออิตาเลียนใหม่ไฉไลกว่าเดิม Florinda ฟลอรินดา 

    เลือกเพราะฟังดูไทยดี เลือกนานมากกินเวลาหลายคาบ แต่ที่จริงว่าจะเลือก Biatrice บิอาทริเช แต่บังเอิญว่าเค้าเฉลิมฉลองผ่านมาแล้ว เลยเอาฟลอรินดาแทนค่ะ 

    มีความสุขกับชื่อนี้มาก และแถมวันนั้นยังเลิกก่อนเที่ยงเพราะมีคาบว่างด้วยหรรษาเวอร์ เพื่อนเลยลากเราไปสถานีรถไฟ เราก็ไม่ได้เอะใจอะไรก็ยืนรอไปด้วยกันยืนคุย เราก็เลยถามว่า เดซิเร่ว่า จะไปไหนเหรอ

    เดซี่ : ไปบ้านมาดดาเลน่ากัน บ้านอยู่เมือง Vico equense นี่เองไม่ไกลนะ ไปกัน

    หยิน : อ้าว เหรอ ฉันอยากไปด้วยอะ แต่ต้องไปรับน้องที่โรงเรียนอ่ะกลัวไม่ทัน น้องเลิกบ่ายโมงอ่ะ

    เดซี่ : เออเอาน่ามาเถอะหยิน ไปกันๆ

    พอรถไฟมา เพื่อนก็ลากเราขึ้นรถไฟไป จู่ๆไหล่ซ้ายก็เหมือนมีหยินเวอร์ชั่นคนดี กระซิบบอกว่า เฮ้ยมึงยังไม่ได้บอกโฮสเลยนะ มึงจะไปได้ยังไงอะ ไหล่ขวาก็มีหยินคนบาปพรายกระซิบ ปิ๊ง! ขึ้นมา

    กระซิบบอกว่า เฮ้ยเราไม่ได้ไปทำไรเสียหายสักหน่อย ไปเล้ย ไปเที่ยวเล่นเลย..

    ตอนนั้นรถไฟจอดอยู่ในช่วงเวลาที่หมิ่นเหม่กำลังจะออก เราก็อยู่ขอบประตูรถไฟ แต่มือก็ส่งข้อความ text ไปบอกมาร์ติน่าแล้วว่าจะไปกับเพื่อนแต่ปากตัดสินใจบอกเพื่อนว่าไปไม่ได้จริงๆ ต้องไปรับน้องชายเดี๋ยวไม่ทันบ่ายโมงเพื่อนก็เลย โอเค ไม่เป็นไร ไว้คราวหน้าไปด้วยกันนะ

    ลงมาก็คิดว่า เออ เราทำถูกแล้วแหละกลับบ้านก็แล้วกัน (บ้านก็อยู่บนสถานีรถไฟนั่นแหละ) พอกลับไปบ้านมาร์ตี้ก็มาถึงบ้านพอดี เราก็เลยเล่าให้ฟังขำๆว่า เนี่ย เพื่อนลากขึ้นรถไฟไป Vico เกือบไปละลงรถไฟเกือบไม่ทัน ฟู่วววววว

    นางก็มองหน้าเราแบบแปลกๆแต่เราก็ไม่ได้เอะใจอะไรค่ะ สงสัยเพิ่งเลิกเรียน หน้าเลยไม่อยู่ในมู้ดที่จะขำอะไร

    แต่มันไม่จบแค่นั้นค่ะ

    บ่ายโมงเราก็เดินลงไปรับน้องชายที่โรงเรียนประถม กลับมากินข้าวเที่ยง เอลวีร่าก็กลับมาบ้านแล้วเราก็ไปกินข้าวที่ห้องครัวตามปกติ

    โฮสมัมก็เปิดประเด็นขึ้นมา “หยินคุณจะไปไหนแบบไม่บอกเราไม่ได้นะ มันอันตรายมาร์ติน่าบอกฉันว่าเธอจะไปกับเพื่อนหลังเลิกเรียนนี่ เธอจะไปได้ไงเธอต้องไปรับดาวิดนะ”

    เราก็เลยตอบไปว่า “ค่ะ ฉันรู้ แต่ฉันก็ไม่ได้ไปนี่คะ” 

    แอบยอมรับว่าตอนนั้นควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ในใจก็คิดด่าโฮสซิส ก็ไม่ได้ไปสักหน่อย ทำไมต้องมาทำน้ำเสียงบ่นแบบนั้น

    แล้วอุตส่าห์เล่าให้ฟังขำๆว่า โดดออกจากรถไฟแทบไม่ทัน แล้วดันไปบอกโฮสมัมว่าเราจะไปอย่างงี้เหรอ เวร...

    แต่ด้วยความที่เรามาอาศัยเค้าอยู่ก็ได้บอกไปแค่ว่า จะไม่ทำอีก คราวหลังฉันจะบอกนะ

    เรื่องวันนั้นก็จบไป แต่ช่วงนั้นก็มีภูเขาไฟปะทุเล็กๆน้อยๆหลายเหตุการณ์ 

    โฮสก็เริ่มชอบบ่นว่าเราอาบน้ำเปียกพื้นไปหมด เส้นผมเต็มเลย เราโดนมาว่าแบบนี้เราก็เก็บก็เช็ดให้แต่ก็ยังไม่พอ ก็ยังโดนว่าห้องน้ำเปียกอยู่ ทั้งๆที่เราเช็ดไปแล้ว

    เสื้อผ้าก็ชอบบ่นว่าเราใส่ครั้งเดียวแล้วซักทำไมไม่ใส่ซ้ำล่ะ เราก็อธิบายว่าที่ไทยมันร้อนอากาศอิตาลีตอนนี้ก็ร้อนไม่ต่างกันเลยคิดว่า ไม่อยากใส่ซ้ำ

    แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆอย่างตอนเช้าตอนไปกินข้าวเช้าเราไม่ทักว่า สวัสดีตอนเช้า เค้าก็เอามาติเราได้ หรือไม่ก็มีช่วงนึง เราง่วงมาก คิดว่าโรงเรียนอยู่หน้าบ้าน ตื่นสายก็ได้ เราอาบน้ำเร็วด้วย เดี๋ยวค่อยไปกินมื้อเช้า เราก็ตื่น 7.20 แล้วไปอาบน้ำ 7.30 แล้วก็ไปกินมื้อเช้าในครัวคนเดียวก็โดนด่าอีกว่าไม่ยอมออกมากินมื้อเช้าพร้อมกัน โอ๊ย ปวดหัว กิจวัตรประจำวันยุ่งยากไปหมดไม่มีอะไรง่ายสักอย่าง

    สุดท้ายก็ต้องแก้เป็นอย่างๆไปค่ะ เค้าไม่พอใจอะไรก็ค่อยๆแก้

    แต่ตอนนั้นไม่ค่อยมีภูมิคุ้มกันเท่าไหร่จิตใจเปราะบาง ก็มีแอบเสียใจบ้าง อยากกลับไทย แล้วก็เริ่มเข้าเดือนที่สองโฮมซิกเริ่มมาเล่นงาน ใจมันก็เริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คิดถึงแต่บ้าน จะกลับบ้านเพื่อนที่โรงเรียนก็เริ่มไม่ค่อยสนใจแล้ว รู้สึกเหงามาก แล้วก็อยากคุยกับเพื่อนเพื่อนคนไทยก็ยังดี อยากเล่าให้เขาฟังได้แต่นับเวลาถอยหลังรอให้มีเข้าค่ายปฐมนิเทศเร็วๆ

    มันรู้สึกได้ว่า There’s no place like home. ไม่มีที่ไหนเหมือนบ้านเราเอง

    สิ่งที่ทำให้อยู่รอดต่อไปได้จนถึงวันบินกลับมีแค่ความอดทนเท่านั้นจริงๆ ..


     ค่ายนักเรียนแลกเปลี่ยน

     หลังจากที่เสียสติไปเล็กน้อยจนถึงปานกลางจากเหตุการณ์ในบ้าน

    เดือนนี้มีค่ายรวมนักเรียนแลกเปลี่ยน จัดค่ายของแคว้น Campania แต่ไม่ได้ไปจัดที่ไหนไกลเลยจัดที่ Castellamare เมืองใกล้ๆไม่ไกล ถิ่นของสี่สหายเองเย้! (เพื่อนในแอเรียเราค่ะ มีสี่คนรวมเรา โอซานหนุ่มตุรกี ฟิออนสาวฮ่องกง จูเลียตโดมินิกัน) พวกเราก็เลยชิลมาก 


    โวลันเทียร์เลยไม่ค่อยแยแส เหมือนเป็นการบอกเรากลายๆว่า จงหาทางไปค่ายเองแล้วกันนะเดี๋ยวก็เจอโวลันเทียร์คนอื่นเองแหละ

    แน่นอนว่า เราดีใจมากตอนนี้ให้เราไปทำอะไรก็ได้ค่ะ แค่ให้ได้ออกจากบ้านเท่านั้น ที่ไหนก็สบายใจทั้งนั้น

    อืม..ได้ข่าวว่าบทก่อนๆยังชมโฮสอยู่เลยว่าเค้าอย่างงั้นอย่างงี้ ตอนนี้มึงจะเป็นกบฏแล้วสินะ

    เราก็เก็บกระเป๋ากับเสื้อผ้า 3 วัน 2 คืนเอกสารอะไรต่างๆ พร้อมสุด ไม่ลืมอะไร จะได้เจอเพื่อนคนไทยแล้ว ตื่นเต้นจะได้พูดไทยแล้ว เย้

    15/10/2015

    นั่งรถไฟไปจนถึงสถานีใกล้บ้านจูเลียต นางก็เลยมารับก็ยืนรอกันจนใกล้ถึงเวลานัด ก็มองหาว่าเมื่อไหร่รถโรงแรมจะมารับสายตาก็เห็นพี่ผู้ชายคนหนึ่งมีป้ายคล้องคอ กับเสื้อชื่อโครงการ 

    เลยหันไปสะกิดจูเลียตว่าไปรอตรงนั้นปะ ตะกี้เห็นคนใส่เสื้อโครงการด้วยนะ

    นางก็บอก ไม่ใช่หรอก ไม่ต้องไปรอหรอกอยู่นี่แหละ

    อ้าวอินี่...เชื่อสายตากูหน่อยไหม แต่ก็สงสารนางถ้าเราไป เดี๋ยวก็จะยืนเหงาคนเดียวไปอีก

    สักพักพี่คนนั้นก็เดินเข้ามา ถามว่าเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนใช่มั้ย มารอกับพวกเราไหมเพื่อนๆฝั่งนั้นก็ยืนโบกมือเย้วๆเรียก

    หึ...เป็นไงละจูเลียต ไม่เชื่อกู หน้าแตกเลยมั้ย

    จูเลียตก็หันมาสะกิดเรา ‘โอ๊ย เมื่อกี้นั่นมันน่าอายมากเลยอ่ะ ทำไมเราไม่ไปรอกับเค้าง

    สมน้ำหน้า อิผี บอกอะไรก็ไม่เคยเชื่อ เอาแต่ความคิดตัวเองหมั่นไส้ค่ะ

    เดินไปเจอเพื่อนคนไทย แทบกระโดดกอดกันแต่ต้องเก็บอาการ เลยยืนคุยๆกันไป สักพักรถโรงแรมก็มารับ

    เมื่อถึงค่ายก็เห็นเพื่อนๆหลายคนที่แยกรถไฟกันไปตั้งแต่วันนั้นด้วย 

    ในค่ายมีกิจกรรมให้เขียนชื่อประเทศแล้วเอาไปแปะบนผนัง แล้วให้เพื่อนๆประเทศอื่นไปเขียนว่ารู้จักอะไรเกี่ยวกับประเทศนั้นบ้าง

    แล้วก็มีคุยเรื่องกฎของโครงการ มีอะไรบ้างอะไรที่เราไม่สามารถทำได้

    เพื่อนคนแคนาดา เฟลิกซ์ นางก็พูดขึ้นมาว่า “พวกเรามีลูกไม่ได้” ทุกคนก็ฮาครืนถือว่าเป็นสีสันกันไปค่ะ

    ส่วนมากเด็กฝรั่งจะเป็นคนตอบมากกว่าค่ะฝั่งเอเชียจะนั่งเงียบๆไม่ค่อยพูดค่อยจาเท่าไหร่

     

    ตอนเย็นๆก็มีกิจกรรมให้ผู้ชายวิ่งไปยืมเสื้อผ้าผู้หญิง แล้วผู้หญิงก็ใส่เสื้อผ้าผู้ชาย แล้วก็ให้เดินแบบรันเวย์น้องเฟลิกซ์ก็มาในชุดสายเดี่ยว โอซานก็มาในบิกินี่เหลืองกางเกงขาสั้น มิคาลหนุ่มนอร์เวย์(เพื่อนที่ช่วยยกกระเป๋าบนรถไฟวันนั้น) ใส่สายเดี่ยวสีขาวในมือมีกระเป๋าถือสีชมพู แรดมากกกก

    เป็นภาพที่หลอนติดตาเราไปตลอดชีวิตจริงๆค่ะ ถ่ายรูปมาเยอะ แต่เค้างดแชร์ต่อเสียใจมาก เก็บไว้ดูเงียบๆค่ะ ฮ่าๆ

    การมาค่ายรอบนี้ทำให้รู้สึกสบายใจมากที่ได้มาอยู่กับเพื่อน ได้พูดภาษาไทย ไม่เคยคิดเลยว่าการได้พูดภาษาไทยในตอนที่กำลังคิดถึงบ้านมากมันจะรู้สึกดีขนาดนี้

    และค่ายนี้ทำให้เราได้เพื่อนเพิ่ม จากทั้งบราซิลโปรตุเกส เดนมาร์ก ฮังการี ถึงตอนนี้จะไม่ได้คุยกันก็ยังเห็นกันบนไทม์ไลน์เฟซบุ๊กบ่อยๆ และเราก็ได้รู้จักเพื่อนที่มาจากอลาสก้าด้วยคนนึงชื่อแม็กเคนซี่ แม็กเป็นผู้ชายค่ะ ตาสวยมาก (เราบ้าผู้ชายอีกแล้ว ขอโทษค่ะ)

    แม็กเคนซี่เป็นผู้ชายอินดี้ค่ะ มันไม่ได้อยากมาอิตาลี อยากไปไอซ์แลนด์ เตรียมเรียนภาษาไอซ์ลงไอซ์แลนด์เรียบร้อย แต่เลือกอิตาลีไว้อันดับสี่ แต่ดันได้มานี่แทน ที่มาเพราะที่บ้านอยากให้มา

    วันแรกที่มาค่ายก็นางทำหน้าแบบ อย่ามายุ่งกับกู ปล่อยกูไป กูจะกลับอลาสก้า เราก็เลยชวนเพื่อนคนไทยทักนางโย่ว เป็นไงมาไง

    สักพักพอมีคนชวนคุย แม็กเคนซี่ก็เริ่มออกลายพูดตลกนู่นนี่นั่น ทำหน้าบ้าๆบอ และเป็นคนบ้าระห่ำมาก  ความจริงนางก็คงเหงาแหละ เป็นคนอเมริกาคนเดียวในค่ายเลยไม่ค่อยกล้าแสดงออกเท่าไหร่


    ก็เข้าใจนางนะ ถ้าเราเป็นคนไทยคนเดียวเราก็คงทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

    วันนั้นก็เล่นเกมเยอะมากได้แต๊ะอั๋งเฟลิกซ์ไปก็เยอะ

    ในเกมทั้งหมด เราชอบเกมไล่ยุงมากที่สุด...คนที่ฉีดยุงจะต้องยืนตัวนิ่งๆรอให้คนมาหอมแก้ม ถึงจะเป็นอิสระ แล้วออกไปวิ่งหนียุงต่อได้ แต่โชคร้าย ตอนที่สบโอกาสได้ไปหอมแก้มเฟลิกซ์

    เราเขย่งเท้าจนสุด ก็ยังไม่ถึงไรหนวดนางด้วยซ้ำ...

    พระเจ้าคะ ถ้าไม่ให้หนูสวย ก็ขอให้หนูรวยแต่ถ้าไม่รวย ก็ขอให้หนูสูงกว่านี้ก็ได้เถอะนะคะ อย่าทำแบบนี้เลยทรมานใจที่สุดดดดดดดด จะได้แอ๊วแล้วแต่อดเพราะเตี้ยเนี่ย มันแย่มากจริงๆนะคะ

    แต่ยังไงก็ชอบเกมแบบนี้ เอาอีกค่ะ!!!

    แต่พอตอนเย็นมา เริ่มมีกิจกรรมอย่าง Dance Battle .. เอาละไง เราเต้นเป็นที่ไหนเป็นคนขี้อายเรื่องเต้นด้วย ตัดภาพไปที่เพื่อน ละตินมาก เอวพลิ้วไหวเหมือนสายลมทั้ง twerk มาทุกรูปแบบ พอถึงตาเราต้องออกไปเต้น เราก็เลยไม่ออกไป เฟลิกซ์ก็บอก คัมม่อน ลองทำอะไรใหม่ๆสิ  ไปๆ

    แต่เราก็ไม่กล้าจริงๆ ขอผ่านนะ

    ฉันเขินโว้ยฉันไม่เคยเต้นต่อหน้าประชาชนนนนนนนนนนนน

    หลังจากนั้นก็มีให้ทำ Talent show

    ……….เอาอีกละทำไมวะ ทำไมต้องคิดว่าทุกคนมีความสามารถพิเศษ

    เราจะไปมีได้ยังไงนอกจากกินกับนอนก็ทำอะไรไม่เป็นแล้วว้อย

    เราก็เลยไปจอยกรุ๊ปเพื่อนๆร้องเพลงแทนค่ะ กรุ๊ปใหญ่มากกก แต่กิจกรรมทั้งหมดที่เราทึ่งมากที่สุดคือ มิคาล ผู้บ่าวนอร์เวย์ นางมาโชว์สกิลล์การจำตำแหน่งแผนที่ทุกประเทศบนโลก ไม่ว่าประเทศอะไรนางตอบได้หมด ทุกคนจะถามประเทศแล้วนางจะชี้ให้ดูบนแผนที่บนจอโปรเจคเตอร์

    เราทึ่งมาก ถามว่าทำได้ยังไง มิคาลก็ตอบว่าเรียนเอง จำเอง

    #กราบมิคาล


    16/10/2015

    วันนี้ตอนเช้าเริ่มจากการเขมือบข้าวเช้าก่อนกองทัพต้องเดินด้วยท้อง กินครัวซองต์ไปสองชิ้น นมสองแก้ว โยเกิร์ตด้วย น้ำส้มหนึ่งซีเรียลหนึ่ง เพื่อนมองหน้าเราแบบงงๆว่า อ้าว ทำไมกินทุกอย่างมิกซ์กันแบบนั้นไม่กลัวปวดท้องเหรอ

    เราเล่าด้วยความพราวด์ อ้าวนี่ไม่รู้เหรอว่าคนไทยอะ มีความสามารถพิเศษ สามารถเขมือบทุกอย่างลงไปได้โดยไม่เสาะท้องสักนิด... นี่ใช่เรื่องควรมาอวดไหมเนี่ย

    สักพักโวลันเทียร์ก็มาบอกให้เราเตรียมตัวเพราะวันนี้จะไปเที่ยวเมือง Sorrento กัน ไม่ไกลมาก นั่งรถไฟแค่ 10 นาทีแต่ตามประสาเด็กไทยเรื่องเที่ยวไม่ค่อยสน วิวเมืองอะไรไม่สนใจทั้งนั้นเจลาโต้ต้องมาก่อนค่ะ พวกเราบอร์นทูบีสายแดก ไม่รีรออะไร คนอื่นเค้าไปดูชายหาดกัน เราไปกินไอติม เยี่ยม


     เรามีความสุขมากตลอดสองวันที่ผ่านมาที่ได้อยู่กับเพื่อนคนไทย ทั้งได้กินอะไรอร่อยๆที่ไม่ใช่วิญญาณอาหารเหมือนวันแรกที่โรม

    แต่เย็นนี้มีสัมภาษณ์รายบุคคล…

    เชี่ยละ กูยังพูดอิตาเลียนไม่ได้ ฟฟฟฟฟฟฟฟ

    (ฟเป็นเสียงเวลาอยากพ่นความรู้สึกออกมาแต่อธิบายไม่ได้)

    คนสัมภาษณ์เราเป็นป้าที่แก่ที่สุดในโครงการค่ะแต่ป้ายังพอพูดภาษาอังกฤษได้ ป้าก็ถามว่า อยากสัมภาษณ์ภาษาไหน อิตาเลียนหรืออังกฤษ

    แหม่ อังกฤษสิคะทุกวันนี้หนูสั่งเจลาโต้เป็นก็คือเก่งสุดๆแล้วนะคะ

    คำถามก็ง่ายๆ และป้าก็เตือนเราไว้ก่อนว่าอย่าตกใจถ้าป้าจะจดโน้ต เพราะป้าแค่ลืม(อย่าให้หนูรู้นะคะว่าป้าเอาเรื่องในนี้ไปเล่าให้โฮสฟัง) เริ่มที่เดือนแรกเป็นยังไงบ้าง สนุกไหม แล้วก็เริ่มมีคำถามซีเรียสขึ้นมานิดหน่อย ทำนองว่าให้คะแนนโปรแกรม Rosetta stone เรียนภาษาออนไลน์กี่คะแนนจากสิบเราก็ตอบไปว่า แปดเลยเพราเรารู้คำศัพท์เยอะมากจากโปรแกรมนี้ ถึงเราจะพูดไม่เก่งมากก็เถอะ

    ป้าก็จดๆลงกระดาษ

    และ คำถามเงินล้านก็มาถึง ตอบดีก็เสี่ยงตอบไม่ดีก็เสี่ยง เป็นตายมีค่าเท่ากัน

     “ครอบครัวอุปถัมภ์ล่ะ ให้กี่คะแนน?”

    ตอนนั้นแอบกลัวว่าเค้าจะเอาไปรายงานโฮสหรือเปล่าแต่หนูเชื่อใจป้านะคะว่าป้าจะไม่บอกใคร เลยตัดสินใจให้ไป  6 ... เราให้น้อยไปไหมวะหรือเราเก็บเอาเรื่องที่ไม่สบายใจมาหักคะแนน ก็ไม่รู้เหมือนกัน 

    ยอมรับค่ะว่าเป็นคนชั่ว แต่ก็ชั่วไปแล้วชั่วแบบกู่ไม่กลับด้วย

    ป้าก็พยักหน้า แล้วถามว่าทำไมล่ะเราก็ตอบไปไม่มาก แต่ก็แนบเหตุผลไปว่า แต่เค้าก็ใจดีกับฉันนะ

    และสัมภาษณ์นั้นก็ผ่านไปด้วยดีและหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คำพูดที่เราพูดไปทั้งหมด จะไม่มาเป็นหอกทิ่มแทงเราทีหลัง..

    18/10/2015

    วันสุดท้ายแล้ว ไม่ได้ทำอะไรแล้วนอกจากกินข้าวเช้าแล้วก็ถ่ายรูปด้วยกัน เสร็จแล้วก็ให้รถตู้เอาสัมภาระทุกอย่างไปที่สถานีรถไฟ และให้พวกเราเดินไปสถานีรถไฟ

    ให้คนเดิน แต่กระเป๋าไปรับไปส่งพี่ไม่เข้าใจเลยค่ะ..

    แต่ก็ไม่ไกลมาก โรงแรมอยู่เหนือสถานีรถไฟแค่เดินลงเนินเขาเยอะหน่อย เราก็ไม่รู้จะรอไปทำไมเพราะไม่ต้องซื้อตั๋วกลับบ้านไกลแค่นั่งรถไฟกลับอีกฝั่งเอง เลยขอตัวออกมาก่อน

    ก็ไปบอกลาเพื่อนๆค่ะ  โบกมือเย้วๆให้ฝนใสเพื่อนคนไทย แต่ฝนไม่ได้ยินเราเพราะรู้สึกว่าจะทำตั๋วรถไฟหาย เลยต้องซื้อใหม่

    ตอนที่เดินออกมา ก็แอบดีใจที่เพื่อนในค่ายที่เราไม่ค่อยได้คุยด้วยเห็นเราโบกมือบ๊ายบายก็บ๊ายบายมือกลับมา บางคนก็ส่งจูบมาให้

    หมดเวลาสนุกแล้วซี หมดเวลาสนุกแล้วซี –เสียงเทเลทับบี้-

    ไว้เจอกันใหม่ มีทติ้งกันครั้งหน้านะเพื่อนๆ 

    เราได้เวลากลับสู่โลกความเป็นจริงแล้วล่ะ


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Jirutchaya Sanprai (@fb1015589821381)
เล่าสนุกมากค้า