4/09/2015
(แฮ่....เอาของเก่ามาหากินใหม่ได้เรื่อยๆค่ะ เพราะเราเป็นคนหน้าด้านมากจริงๆ...ชีวิตแลกเปลี่ยนที่อิตาลี เมื่อปี 2015-2016 ของตัวเองค่ะ เราทราบค่ะว่ามันนานมาแล้ว แต่ก็ ก็เราจะเขียน มีไรแม้ะ 55555555555)
(สำหรับ EP.1 นะคะ : https://minimore.com/b/BssUG/1)
เวลาประมาณ 7.25 เครื่องบินแลนดิ้งลงจอดอย่างปลอดภัย ร่างกายยังครบ32 ประการ พวกเราประชากรเสื้อสีชมพูบานเย็น 60 คน ... นี่จำเป็นต้องบอกสีเสื้อไหม?
หยิบกระเป๋าเดินทาง เตรียมสัมภาระและเจอโวลันเทียร์โครงการถือป้ายรออยู่
เราก็ขึ้นบัสไปกับนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศอื่นๆที่มาในช่วงเวลานั้นนี่ก็ยังคงเกาะติดเพื่อนคนไทยต่อไปค่ะ ไม่กล้าคุยระหว่างที่อยู่บนรถไปโรงแรมก็มองถนนหนทาง เหมือนเด็กไม่เคยออกนอกบ้าน อุ้ยตรงนั้นมีปราสาทนี่แก อุ้ย ตรงนั้นมีบาร์ อุ้ย ตรงนั้นมีรถ--
เวลาก็ผ่านไปจนเราถึงที่พักค่ะ จัดการเก็บกระเป๋าเดินทางติดป้ายชื่อเรียบร้อยแบ่งกรุ๊ปตามเวลาที่จะออกไปหาโฮสแต่ละเมืองในแต่ละที่ของอิตาลี และอาสาสมัครโครงการก็พาพวกเราออกไปเล่นเกมกลางสนามเน้นว่าอุณหภูมิตอนนั้นเป็นฤดูร้อนของอิตาลี ประมาณ 30 องศาได้ ไม่ต่างจากบ้านเราเท่าไหร่
คุณๆทั้งหลายเค้าก็เล่นกันสนุกสนาน ดูเฮฮาปาจิงโกะ แสงแดดสดใสจังเล้ย ออกไปวิ่งเล่นกันเถอะ~ รื่นเริงกันเป็นเทเลทับบี้
ในขณะที่พวกเราผู้มาจากประเทศอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร ..ในใจคิดว่าบ้านกูมีแดด 365วัน กูไม่ได้พิศวาสแสงแดดพวกมึงเลย! ไม่ได้ตื่นเต้นด้วยอย่ามายุ่งงง จะนั่งในร่มตรงนี้! ออกป๊ายยยยยยยยยย
แต่สุดท้ายพวกเราก็ต้องออกไปเล่นเพราะว่าเกินครึ่งในสนามตอนนั้นเป็นเด็กไทย ถ้าไม่มีใครเล่นพวกนางก็เล่นกันกุ๊งกิ๊งอยู่สิบคน -_-
และแล้วเสียงสวรรค์ก็ดังขึ้น “เล่นเกมนี้เสร็จแล้วไปกินข้าวกันได้เลยนะ”
เหยด...อาหารอิตาเลียนแบบออริจินัลมื้อแรก ในหัวนึกไปถึง พิซซ่าลาซานญา สปาเกตตี ชีส อ่าห์ ต้องฟินมากแน่นอน
คิดได้แบบนั้นก็รีบวิ่งแจ้นไปที่ห้องอาหาร จะรออะไรคะ เรื่องกินรอไม่ได้ค่ะ รีบค่ะ
และสิ่งที่อยู่บนโต๊ะ คือ........................
ข้าวเย็นๆที่เหมือนจะคลุกกับผักหลายๆอย่าง แคนตาลูปจืดๆวิญญาณไข่เจียวฟริตตาต้า มะเขือเทศราดน้ำมันมะกอก และ อะไรสักอย่างที่เดาว่าเป็นชีสสีขาว(เพิ่งมารู้ทีหลังว่าคือมอสซาเรลล่าสด) กับตะกร้าขนมปังปิ้งแห้งๆไหม้ๆ
พวกเราหันมามองหน้ากันแบบงงๆ แต่เข้าใจกันได้ว่า “นี่มันเหี้ยอะไรกันวะ” และ “เราจะกินยังไง”
หมดกันสิ่งที่กูคาดหวังมา!! ดับฝันกูเกินไปแล้ว! นี่แค่วันแรกนะ! ทำไม!!!
เดชะบุญ สาวฟิลิปปินส์ที่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่มาคนเดียว (เจ๊มึงกล้าหาญมาก) มาขอนั่งร่วมโต๊ะกับเรา และหน้าตานางก็ค่อนข้างคนไทย พวกเราก็ยินดี มาๆ แก มานั่งกินด้วยกัน
นางก็หยิบขนมปังขึ้นมา ประกบชีส อย่างคล่องแคล่วตัดภาพมาที่เด็กไทยต้องทำเลียนแบบ ว่ากินยังไงเพราะที่นั่งกินมา กล้าแทะแค่แคนตาลูปค่ะ
ส่วนอาหารที่เหลือ ฟริตตาต้าดูน่าจะขายออกที่สุดเพราะมันคล้ายไข่เจียว ส่วนข้าวเย็นๆกึ่งไม่สุกกับผักนั่นพวกเราโดนหลอกไปครึ่งโต๊ะ เพราะคิดว่ามันเป็นข้าวผัด ความจริงมันเป็นสลัดข้าว
อร่อยตรงไหนไม่รู้ ข้าวเย็นๆที่เหมือนนึ่งไม่สุกเอามาทำสลัด พี่ว่ามันไม่ใช่ค่ะน้อง
ไหนจะน้ำก็ยังคงเซอร์ไพรส์เราไปอีก มันคือน้ำอัดแก๊สค่ะ (Sparkling water) นึกว่าเป็นน้ำเปล่า ยกแก้วเข้าไปเต็มที่ แทบพ่นออกมา มะเขือเทศอีก ขนมปังแข็งๆอีก
คือ ฉันกินไม่ได้!!เข้าใจนะว่าต้องปรับตัว แต่คุณคะ อาหารมื้อแรกที่กูวาดฝันไว้สวยงามฝันว่า จะได้กินพิซซ่าชีสเยอะๆ อร่อยๆแบบจนลืมอาหารไทย... นี่มันไม่ใช่!! ขอน้ำร้อน! จะกินมาม่า!!
หลังจากนั้นทุ่มนึง ฟ้าก็ยังไม่มืด ความรู้สึกคือทึ่งมากตามประสาคนไม่เคยเห็นดวงอาทิตย์ตอนทุ่มนึง นี่สินะความยุโรป ตอนนั้นเห็นอะไรก็ว้าวไปหมดค่ะเพราะบ้านนอกจริงๆ
พี่ๆโวลันเทียร์เค้าก็นัดให้มารวมกันตรงลานหน้าโรงแรม
นัดมาทำไมไม่รู้ในเมื่อ โวลันเทียร์ไม่ได้พาทำอะไรเลย พวกเพื่อนฝรั่งก็เอนเตอร์เทนกันเองยืนกันเป็นวงกลม เอาเพลงนั่นนี่มาร้องเต้นกันยังกะหนังสเตปอัป ซึ่งเพลงที่พวกมึงร้อง ไม่ได้ฮิตติดชาร์ตอะไรในประเทศโลกที่สามแบบกูเลย... ไม่สนุกค่ะ
แต่ในเมื่อไม่จอยกับเพลง เราก็ต้องไปจอยกับอย่างอื่นค่ะ นั่นก็คือท่ะด้า! การส่องหนุ่มๆนักเรียนแลกเปลี่ยนจากประเทศอื่น ก๊ากกกก โหย มีตั้งหลายชนชาติ ผมเข้ม ผมบลอนด์ มีหมด อิอิ ติดอย่างเดียวไม่ได้แอ๊วเพราะ ภาษาอังกฤษก็ง่าว ได้ใช้สายตามองอย่างเดียว ยิ่งถ้าหล่อมากด้วยแล้วสติกระเจิง ปล่อยให้ฉันนั่งมองคุณจากตรงนี้อย่างเดียวก็พอใจแล้วค่ะ
พอเกือบสองทุ่ม โวลันเทียร์ก็มาเรียกให้ไปนั่งในห้องชี้แจงเกี่ยวกับนัดหมายพรุ่งนี้ แล้วก็มีลุงแว่นขึ้นมาพูดเกี่ยวกับโครงการบลาๆๆซึ่งตอนนั้นฉันเข้าเฝ้าพระอินทร์ไปเรียบร้อยแล้ว (ซึ่งไม่ต่างจากนักเรียนคนอื่นเท่าไหร่) แต่พอได้ไปนอนจริงๆกลับไม่นอนนั่งเมาท์มอยกับเพื่อนจนดึกก็มันตื่นเต้นอะ จะได้เจอโฮสพรุ่งนี้แล้ว เฮ!
เช้าวันถัดมา เราไม่ได้บ๊ายบายเพื่อนกรุ๊ปแรกๆเลยเค้าออกไปกันตั้งแต่เช้า แล้วข้าวเช้าเราก็อดกินเพราะเข้าใจผิดเรื่องเวลา นึกว่าเค้านัดลงไปแปดโมงครึ่งความจริงแปดโมงครึ่งนี่ต้องพร้อมเก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เช้านั้นก็นั่งหิวจนไส้กิ่วไปจ้า
กว่ากรุ๊ปเราจะได้ออกก็ปาไปเกือบเที่ยง ฮือ
รอกันแบบเหี่ยวๆไป บังเอิญเจอนักเรียนแลกเปลี่ยนจากโดมินิกัน ชื่อจูเลียตอยู่เขตเดียวกันกับเรา ป้ายสีเดียวกัน กรี๊ดดดดด มีเพื่อนแล้ว เลยชวนคุยนิดหน่อย แต่ยังเหลืออีก 2 คนที่ยังไม่เจอ ก็ถามไปว่าเจอสองคนนั้นบ้างไหมนางก็บอกไม่ เพิ่งเจอเราคนแรก แล้วก็บอกเราว่าเออนี่แกชั้นต้องไปห้องน้ำละนะ บายแล้วเจอกันใหม่
และเราก็ไม่เห็นนางอีกเลยจนขึ้นรถไฟ
.
.
.
นั่งรอ นอนรอ เดินรอ โรงแรมก็ทยอยเอาข้าวเที่ยงแพ็กใส่ถุงมาให้พอเปิดถุงออกมา มีน้ำอัดแก๊ส แอปเปิลโง่ๆสองลูก และเจ้าเก่าเจ้าเดิม หึ... รอบนี้เธอไม่ได้แอ้มฉันหรอก นังสลัดข้าว!! ไม่รู้ว่าทำอิท่าไหนห่อข้าวให้น้ำมันไหลเยิ้มออกมาขนาดนี้
ไม่โปรเลย เธอควรจะไปเรียนรู้แพ็กเกจจิ้งและการมัดปากถุงจากป้าขายข้าวแกงที่โรงเรียนชั้นนะ แย่ๆไม่ไหวเลย
05/09/2015 12.00 PM
เที่ยงตรง พี่ๆเจ้าหน้าที่ก็ตะโกนเรียกกึ่งบ่นให้พวกเรายกของขึ้นรถเตรียมไปสถานีรถไฟ พูดตรงๆก็แอบเสียดายค่ะ ทำไมไม่พาเที่ยวรอบๆโรมเลยจ่ายเงินมาก็ตั้งแพงทำไมต้องรีบเอาฉันส่งให้โฮสขนาดนั้น..(ได้ข่าวว่าเมื่อคืนบ่นอยากเจอโฮส)
นั่งรถไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็ถึงสถานีรถไฟ ตอนนั้นในกรุ๊ปเรามีเด็กไทย 4 คนค่ะ เรา พี่นัท พี่การ์ตูน พี่ฝนใสแต่หลังๆสนิทกับฝนใสจนเรียกแค่ฝนเฉยๆ แต่ฝนโดนแยกออกไปอีกขบวนซะงั้นเพราะเมืองอยู่คนละฝั่ง
แต่ที่ๆจะไปก็คือแคว้นกัมปาเนีย (Campania) และเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นนี้คือนาโปลี หรือ Naples
นัทก็อยู่นาโปลี เลยไปด้วยกันเพราะสองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว แฮะๆ
ตอนขึ้นรถไฟเพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนจากนอร์เวย์หน้าตายังกับยูทูปเบอร์แคสปาร์ลี ก็มาช่วยเรายกกระเป๋าขึ้นชั้นวางของ โอย เธอหล่อแล้วยังจิตใจดี เอาตัวเราไปเล—
ฝั่งตรงข้ามเราเป็นสาวอินโดนีเซียกับจีนแผ่นดินใหญ่
เพื่อนอินโดนีเซียชื่อ อนิสา ชื่อไทยเวอร์ และก็ซาร่า อาหมวยจากเมืองจีนค่ะ
เจ๊ซาร่า เป็นสาวหมวยที่หน้าตาน่ารัก แต่เราชวนคุยนางก็ไม่คุยอะไรกับเราทั้งนั้นสงสัยเจ็ตแล็ก เจ๊จะหลับอย่างเดียว ทำหน้าเหวี่ยงใส่เราด้วย ก็อุตส่าห์จะชวนคุยชิชะ กลับประเทศมึงไปเลยไป๊ (อันนี้คิดในใจ)
ระหว่างนั้นก็เมาท์ไปเรื่อย ฆ่าเวลา พยายามหลับ แต่ก็ไม่ค่อยหลับ เพราะรถไฟเร็วมากจากโรมไปเนเปิลส์แค่สองชั่วโมงพนักงานรถไฟก็เข็นรถเข็นมาขายเบรก ขายอาหารเที่ยง เหมือนกับที่ไทยแบกถาดไก่ย่าง มะม่วงน้ำเย็นที่บขส.เลย
แต่ถึงอยากกินแค่ไหน.....แต่ความบ้านนอกของเราก็ไม่เห็นด้วยค่ะ
เพื่อตัดปัญหาความเด๋อสั่งไม่เป็นเลยชี้ไปที่กล่องวิญญาณสลัดข้าวอาบน้ำมันแล้วยิ้มแห้งและบอกว่าไม่เป็นไรค่ะ ไอยังไม่หิวเท่าไหร่...
สองชั่วโมงผ่านไป โวลันเทียร์เรียกให้เราลงจากรถไฟ ใจสั่นมากแบบ เฮ้ยโฮสที่เราคุยด้วยในเฟซบุ๊กมาตั้งหลายเดือน จะได้เจอแล้วอ้ะ ทักว่ายังไงดีทำตัวยังไงดี กรี๊ดดดดดด
เราเลยลากกระเป๋าลงไปเกือบคนสุดท้าย ประหม่านิดๆ เดินไปคนเดียว เพราะคนอื่นๆเค้าออกมาก่อน (ความจริงคือเราไม่รู้ว่าเราต้องลงตรงนี้ นึกว่าต้องได้นั่งต่อไปอีก...) แล้วโฮสซิสวิ่งมากอดเลย เราตั้งใจว่าจะยกมือสวัสดี แต่แอบตื่นเต้น เลยทำไรไม่ถูกนางก็เลยพาเดินไปหาโฮสมัม แล้วก็มีน้องชายอีกคน ซึ่งเราไม่ได้คุยด้วย แค่ยิ้มให้เฉยๆเพราะเราไม่แน่ใจว่าน้องพูดอังกฤษได้มั้ยแล้วน้องก็โชว์ป้ายกระดาษที่เขียนด้วยสีเมจิคที่เหมือนหมึกใกล้จะหมด เขียนว่า Benvenuta Yin แปลว่ายินดีต้อนรับนะหยินด้วยตัว Y ที่หันผิดด้าน..
อืม ไม่เป็นไร เราไม่เป็นไร แต่หันไปมองเพื่อนข้างๆโฮสแทบทำไวนิลมาให้..
โอเค ไม่เป็นไรหยิน นี่เพิ่งวันแรกน่า จะเอาอะไรมาก ..
โฮสมัมก็เลยหอมแก้มทักทายเราทั้งสองคน ที่มีสองคนก็คือว่าเค้าเป็นพี่น้องกัน แต่งงานแต่เลิกกับสามีแล้วทั้งคู่ เป็นซิงเกิลมัมก็เลยย้ายมาอยู่ด้วยกัน
แนะนำครอบครัวนี้ก่อนละกัน
เอลวีร่า โฮสมัมคนที่หนึ่ง เป็นแม่ของมาร์ติน่า โฮสซิส อายุ 15 ปีเป็นน้องเราปีนึงแต่ความคิดความอ่านผู้ใหญ่มาก และเจอร์มานา เป็นโฮสมัมคนที่สองเป็นแม่ของ ดาวิด โฮสบรา อายุประมาณ 12 ขวบได้หน้าตาดูเป็นมิตรทุกคน ชีวิตแลกเปลี่ยนเราต้องสว่างสดใสกางเกงในลายคิตตี้แน่นอนเลยแกร
อ้อ ลืมอีกคนหนึ่ง แชปเตอร์ของเรา ชื่อ ลุยอิซ่า ซึ่งออกเสียงยากเราเรียกง่ายๆ ลุยซ่าไปเลย
ในหัวคิดว่าเป็นป้าแก่ๆเจ้าระเบียบแน่ๆ แต่พอเจอตัวจริง โอโหเฟี้ยวมาก หุ่นเช้ะมาก ยังวัยรุ่นอยู่เลย นางก็เข้ามาหอมแก้มเรา แล้วบอก ไหนๆๆยืนกับโฮสแล้วทำท่าจิ้มแก้มซิ
อ่ะ ทำก็ทำ..
ลุยอิซ่ากดถ่ายรูปรัวๆ โฮสก็คงถามต่อว่า เราพาหยินกลับบ้านได้รึยังไรประมาณนี้มั้ง เดาจากท่าทางเอา นางก็พยักหน้า โอเคๆ โฮสซิสก็ถามขึ้นว่า หิวไหมไปหาอะไรกินกัน แหม่ มาถึงก็ชวนกินเลยอนาคตเราตอนกลับไทยคงกลิ้งเป็นโอ่งลงจากเครื่อง แต่เรื่องกิน เราก็ไม่ปฏิเสธ ._.
โฮสก็พาเราไปบาร์ในสถานีรถไฟ มาร์ติน่าก็ถามว่า เอาพิซซ่าหน้าอะไรดี
เราก็ตอบไปว่า “whatever” ในความหมายของเราคือจะบอกว่า อะไรก็ได้แต่นึกไปนึกมา เฮ้ย คำนี้มันไม่ค่อยโอเคนี่นา
มาร์ติน่าก็ถามว่า อะไรนะ สมองประมวลผลไม่ทันปากเลยเผลอหลุดออกไปอีกที
“อะไรก็ได้..”
เอ่อะ!! เดี๋ยวหยิน! มึง สติ ! สติค่ะ! ฮือ เป็นบ้าเหรอหยิน ใครเขาจะเข้าใจมึง หา!! อีงัวววววววววววเข้าใจฟีลคนที่พูดไทยช้าๆเพราะคิดว่าฝรั่งจะเข้าใจภาษาไทยก็ตอนนี้ล่ะอยากจะตบตัวเองสักที สุดท้ายเราก็เลยชี้มั่วๆไปสักหน้าที่อยู่ในตู้นั่นแหละค่ะ
น่าอายมากจริงๆ...
สั่งเสร็จก็กินไป มะเขือเทศเยอะไปหน่อย เราไม่ค่อยชอบเลยพิซซ่านี่ก็ทำเราผิดหวังอีกแล้ว (เลือกเองบ่นเอง) เอลวีร่าก็เอาขนมที่คล้ายๆครัวซองต์ แต่ข้างในมีไส้ครีม มาให้ เรียกว่า Sfogliatella (สฟอยาเตลล่า) บอกว่ามันเป็นเอกลักษณ์ที่นี่เลยนะ ลองชิมดูสิ
กัดเข้าไปคำแรก อืมก็อร่อยที่สุดตั้งแต่กินอาหารอิตาเลียนมาสองสามวันนี้ค่ะ น้ำตาจะไหล
เลยบอกขอบคุณ พอท้องอิ่ม โฮสก็ซื้อตั๋วรถไฟให้ ถือกระเป๋าทุกอย่างให้เรา จนรู้สึกเกรงใจ ต่อไปก็นั่งรถไฟกลับบ้านที่อยู่อีกที่นึง ค่อนข้างจะไกลจากเนเปิลส์พอสมควรค่ะเกือบประมาณ 40นาทีได้
และ รถไฟวิ่งเข้าชานชาลาตามปกติ แต่สภาพรถไฟแบบ อือหือ สุดยอดมากคนเบียดกันจนแน่น ลายพร้อยอีกต่างหาก เต็มไปด้วยภาพกราฟฟิตี้ ก้นบุหรี่เต็มรางรถไฟนักท่องเที่ยวอัดจนเต็ม เพราะรถไฟสายนี้เป็นเส้นไปปอมเปอีด้วย
เราหันหน้าไปมองโฮสอย่างฝากความหวังว่าช่วยดูแลชีวิตเราต่อจากนี้ด้วยนะ ฉันจะไม่เป็นอะไรเพราะรถไฟนี่ใช่ไหมคะ…
และอย่างที่บอกไปครอบครัวอุปถัมภ์ของเรามีสมาชิกอยู่ 4 คน แม่ 2 คนน้องสาว 1 น้องชาย 1เราได้จดหมายจากโครงการเป็นคนต้นๆว่ามีโฮสอยู่ที่นาโปลี
เราก็อ่านข้อมูลไปเรื่อยๆก็ดูไม่แย่นะ เอลวีร่าทำงานที่ร้านขายของชำ เจอร์มานาขายของที่สถานีรถไฟน้องสาวก็อายุน้อยกว่าเราปีนึงเอง น่าจะคุยกันถูกคอน้องชายก็อายุไล่เลี่ยกับน้องชายจริงๆของเรา มันก็คงไม่ต่างกับที่ไทยนะเราเลยตัดสินใจบอกแม่ว่าเอาโฮสนี้แหละ เพราะถ้ารอ ก็ไม่รู้จะได้อีกทีตอนไหน
โครงการก็ถามว่าอยากจะตอบรับไหมแม่ก็อยากให้เราคิดดีๆก่อนว่าอยากไปอยู่เหรอ เค้าดูหลายคนเกินไปนะแถมคนเป็นแม่ก็ดูงานยุ่ง ขายแต่ของ จะดูแลเราไหวเหรอ
แต่ตอนนั้นไม่ได้สนใจ คิดแค่ว่าได้โฮสก็ดีแล้ว มีคนต้องการเราด้วย เย่!
หลังจากนั้นก็เข้าเฟซบุ๊กไปค้นชื่อเล่นๆ ก็ไปเจอเฟซโฮสซิสเราก็ไม่กล้าแอด เพราะไม่ชัวร์ ตอนนั้นยังไม่มีความสามารถแยกหน้าฝรั่งได้แต่หลังจากนั้นมาไม่กี่อาทิตย์ โฮสซิสก็ส่งคำขอเป็นเพื่อนมา เราก็เลยตัดสินใจทักไป ได้ข้อความตอบมายาวมากด้วยภาษาฝรั่งเศสฮืออออออ
แปลไม่ออก... เลยบอกไปว่า เราเรียนฝรั่งเศสมาแต่ไม่ได้เรียนลึกจนสามารถเข้าใจทุกประโยค เลยคุยกันเป็นภาษาอังกฤษอยู่หลายเดือนช่วงคริสต์มาสโฮสก็ส่งของขวัญมาให้ กล่องใหญ่มาก ข้างในก็มีแต่ของน่ารักๆ
นี่ต้องเป็นสัญญาณดีแน่ๆว่าชีวิตแลกเปลี่ยนคงจะไม่เกิดปัญหาทะเลาะกับโฮส เพราะเราออกจะสนิทกันขนาดนี้โฮสเราต้องดีมากแน่ๆเลยแกรร๊!!
พอมาถึงบ้านโฮสเค้าก็ขุนเราด้วยอาหารที่เต็มไปด้วยไขมันและแป้ง ยิ่งโดยธรรมชาติของคนอิตาลีก็ชอบคะยั้นคะยอให้กินอยู่แล้ว ให้มาท่วมกะละมังพอกินหมดแล้วก็ยังถามด้วยหน้ายิ้มๆว่าเอาอีกไหม ท้องหนูจะแตกแล้วค่ะโฮส ใจเย็นนะคะทั้งถามนู่นนี่นั่น อยากทำความรู้จักกับเรา ถามเกี่ยวกับประเทศไทยด้วยดูสนอกสนใจมาก เราโอเคมากเลยกับโฮสนี้
ส่วนเรื่องสมาชิกครอบครัว ถ้าพูดถึงโฮสมัมเอลวีร่าเป็นคนที่น่าจะทำงานหนักสุด เข้าเวลากะเช้า บ่ายมากินข้าวเย็นออกไปทำงานจนสามทุ่มถึงจะกลับมาบ้าน เหมือนเป็นหัวหน้าครอบครัวค่ะส่วนมัมเจอร์มานาก็ออกไปทำงานแต่เช้าเหมือนกัน กว่าจะกลับก็เย็นมากขายของที่บาร์ขายกาแฟ ขนม ที่สถานีรถไฟ
ส่วนดาวิดน้องชายก็อายุประมาณ 12 ขวบไม่ค่อยได้คุยกับน้องเท่าไหร่ช่วงแรกๆเพราะน้องพูดแค่อิตาเลียน ต้องคุยกันด้วยภาษามือกับกูเกิลทรานสเลทแต่น้องก็น่ารักดี ยังเรียนประถมอยู่เลย
โฮสซิสมาร์ติน่า ก็อายุใกล้เคียงกัน ค่อนข้างสนิทเล่านี่นั่นให้กันฟังตลอด นางเก่งภาษามากด้วยค่ะ พูดได้ตั้ง 6-7 ภาษาบางทีก็กรี๊ดผู้ชายด้วยกัน(?)
หน้าที่ในบ้านที่เราต้องทำก็มีทำความสะอาดห้องนอนที่แชร์กับโฮสซิสเอาขยะไปทิ้งบางวัน เวลาอาบน้ำก็เก็บเส้นผม ช่วยทำกับข้าวบ้างนิดหน่อยแต่บ้านมันก็แคบ ไม่ค่อยได้ทำอะไรมาก จริงๆเราก็อยากซักผ้าเองนะแต่โฮสเอาไปซักรวมกันหมด เราก็ไม่รู้จะทำไง เค้าก็คงไม่อยากเปลืองน้ำแต่เราก็ไม่ซีเรียสอะ ยังไงก็ใส่ได้ แต่ที่แย่คือมีขนนังแมวโอบาม่าติดมาด้วยแย่มาก
แล้วก็มีโฮสยายอีกคน ชื่อมาเรีย แต่ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันยายน่าจะอายุเกือบ 60-70 ได้แล้ว แต่ยังทาปากแดงขับรถแบบซิ่งๆได้อยู่เลย
แถมตอนเป็นสาวก็เคยเขียนหนังสือขายด้วย พอเราบอกว่า เราอยากเป็นนักเขียนแกก็บอกนักเขียนไส้แห้งนะ ฮ่าๆ แต่แกก็เอาหนังสือที่แกเขียนมาให้เรา และยังบอกว่าเอาไปแปลเป็นภาษาไทยก็ได้นะ แต่ว่า...แค่เปิดมาหน้าแรก ฉันก็แปลไม่ออกสักคำค่ะ
บางครั้งโฮสยายก็จะพาแฟนมาด้วย ชื่อคุณตาจูเซปเป้ความจริงก็ไม่ใช่แฟนหรอก แอบถามซิสมา บอกว่าเค้าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยยังละอ่อนจนถึงตอนนี้ก็เลยสนิทกันมาก ไปไหนก็ไปด้วยกันตอนนี้ก็เลยเป็นเพื่อนสนิทที่ดูแลกันไปเรื่อยๆ
เราว่าความสัมพันธ์แบบนี้เป็นอะไรที่น่ารักมาก ไม่ต้องคบกันก็ได้อยู่กันไปแบบผู้ใหญ่ๆ ดูแลกันไปจนแก่ ไม่ต้องสวีทรักกันอะไรมาก แต่ก็เห็นได้ชัดว่ารู้ใจกันมาตลอด เป็นความรักที่ดูง่ายๆดี
และอีกอย่างหนึ่งที่เราว่ามันดูน่ารักดี ก็คือ ไม่ว่าเค้าจะแก่แค่ไหนเขาก็จะทำว่าเขายังเป็นวัยรุ่นอยู่ โฮสยายบางวันก็ลากเราไปชอปปิงบ้างไปนั่งรถเล่นบ้าง ซึ่งขี่ซิ่งมากด้วย .. แล้วยังเล่าเรื่องตลกให้ฟังบ่อยด้วย ถึงแม้เราจะแกล้งขำไป เพราะเราไม่เข้าใจ ... แล้วคุณยายก็ทาสีปากแดงแซ่บ เขียนคิ้วมาทุกวัน ส่วนคุณตาจูเซปเป้เวลามาบ้านแกก็จะใส่สูทตลอด ไม่เคยเห็นแกไม่แต่งตัวภูมิฐานเลยสักวัน
มันเป็นภาพที่เราไม่เคยเห็นเท่าไหร่ในประเทศไทยมั้ง เราก็เลยมองว่ามันน่ารัก
เราว่าโฮสเราก็ดีค่ะ ดีมากเท่าที่สุดที่เค้าจะทำได้แล้วเค้าต้องเสียสละอะไรไม่รู้ตั้งมากมายเลี้ยงเด็กเอ๋อแบบเรา เป็นโฮสครั้งแรกด้วยเราก็มีโฮสแฟมมิลี่เป็นครั้งแรกเหมือนกัน ก็คงอยู่ด้วยกันไปแบบนี้ตลอดปี
หวังว่า คงจะราบรื่นไม่มีปัญหาอะไรนะ..
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in