ลองคิดภาพคนอายุ 21 ปีที่อยู่บ้านมาเกือบ 3 ปี
และกระหายอยากเรียนรู้โลก อยากเจอเด็ก อยากทำงาน
แต่ต้องทำงานที่บ้านเหมือนเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา
ความจริงแล้วมันไม่ได้แย่ถึงขั้นหดหู่หรือผิดหวัง แค่การฝึกงานวันแรกไม่ได้ตื่นเต้นมากเหมือนที่ตัวเองคิดไว้ แต่มีความสบาย ๆ เพราะตัวเรายังอยู่ที่บ้านเหมือนเดิม (ไม่ได้ตื่นเต้นมาก แต่ก็ตื่นเต้นอยู่ดีนั่นแหละ)
เขินมากที่เผลอพูดผิดพูดถูกในการ Meeting ครั้งแรกกับพี่ ๆ ที่ฝึกงาน แต่ด้วยบรรยากาศเป็นกันเองเพราะทุก ๆ คนอยู่บ้านของตัวเองช่วยไว้ได้มาก
ปัญหาของคนอายุ 21 ปีที่พลังงานล้นคนนี้ คือกระหายการทำงานมากเกินกว่ารูปแบบงานที่ได้รับ อาจเป็นเพราะเราได้อ่านเรื่องเล่าน่ารัก ๆ ของเพื่อนที่ไปฝึกงานที่โรงเรียน ได้เจอเด็ก ๆ ได้เล่นกับเด็ก ๆ จนเหนื่อยและสลบกันไปข้าง เราจึงรู้สึกอิจฉา และอยากเจอแบบนั้นบ้าง อยากไปฝึกงานที่โรงเรียน หรือที่ที่ได้เจอเด็ก ๆ บ้าง ลืมคำพูดตัวเองตอนแรกไปแล้วว่าอยากฝึกงานที่สำนักพิมพ์
แต่เมื่อเราได้รู้รายละเอียดการฝึกงานตลอดเวลา 50 วันต่อจากนี้ทำเอาตาลุกวาวเป็นประกายวิบวับ เพราะแค่พี่ ๆ บอกว่าจะพาไปดูโรงพิมพ์เราก็ตื่นเต้นจนลืมความพลังงานล้นของตัวเองไปแล้ว นอกจากการไปโรงพิมพ์ คือการไปออกบูธของสำนักพิมพ์ที่จะได้เจอกลุ่มลูกค้า กับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเราแทบนับวันรอเวลาที่จะได้เป็นเด็กเชียร์หนังสือไม่ไหว
แล้วเราก็จะได้เจอเด็ก ๆ ตัวเป็น ๆ ด้วยนะ
เราเรียนสาขาวรรณกรรมสำหรับเด็กเข้าปีที่ 3 กำลังจะขึ้นปี 4 แล้ว แต่ได้เจอเด็ก ๆ ตัวเป็น ๆ นับครั้งได้ เพราะถูกโควิด-19 ตัดโอกาสของเราไป เราเลยจดจ่อกับการเจอเด็กตัวเป็น ๆ ในการฝึกงานครั้งนี้เป็นพิเศษ ซึ่งพี่ทราย (บรรณาธิการสำนักพิมพ์ SandClock Books) ก็ได้เกริ่นไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะให้นิสิตฝึกงานจัดกิจกรรมสำหรับเด็กตั้งแต่ต้นจนจบ
งานนี้แหละ! ที่จะทำให้เราได้เจอเด็กตัวเป็น ๆ ตัวจริงเสียงจริงไม่ผ่านหน้าจอ!
แต่ระหว่างรอคอยหลากหลายเรื่องราวให้เราได้เข้าไปเรียนรู้
ในสัปดาห์แรกของการฝึกงาน เราก็ต้องทำงานอย่างอื่นให้ได้ก่อน
งานที่ได้รับในสัปดาห์แรก
เรียกว่าเป็นช่วงเริ่มต้นของการฝึกงานแบบเบา ๆ สบาย ๆ ด้วยการวิเคราะห์เว็บไซต์หรือสื่อออนไลน์ของสำนักพิมพ์ SandClock Books ด้วยม่านตาของกลุ่มเป้าหมาย ก็คือการปลอมตัวเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองนั่นเอง ในเมื่องานแรกเป็นการวิจารณ์สื่อของสำนักพิมพ์ โดยมีบรรณาธิการของสำนักพิมพ์เป็นผู้อ่าน ไม่ต้องเดาเลยว่าจะเกร็งตอนเขียนมากแค่ไหน ซึ่งงานนี้เป็นงานที่เราต้องระวังการใช้ภาษามากเป็นพิเศษ และพี่ทรายก็ได้สร้างบรรยากาศที่ดีไว้ตั้งแต่เริ่ม พร้อมกับย้ำสองรอบว่าห้ามชมอย่างเดียว ให้เพิ่มสิ่งที่ควรปรับปรุงหรือพัฒนาด้วย ทำให้เราผ่อนคลายตัวเองแล้วทำงานอย่างเต็มที่
หลังจากดูสื่อของสำนักพิมพ์ที่เราฝึกงานแล้ว วันต่อมาก็เริ่มหาข้อมูลดูสำนักพิมพ์อื่น ๆ ว่าเขาทำสื่อออนไลน์อย่างไรกันบ้าง เราหาอย่างละเอียดอยู่ประมาณ 6 สำนักพิมพ์ ส่องทุกสื่อออนไลน์ที่แต่ละสำนักพิมพ์มี จนเกิดความคันไม้คันมืออยากได้หนังสือแต่ต้องห้ามใจตัวเองไว้
เพราะอีกไม่นาน เราจะได้อ่านนนนนนนนนหนังสือสมใจอยาก
เนื่องจากงานต่อจากนี้ คือการรอหนังสือของสำนักพิมพ์ส่งมาถึงบ้าน และอ่านทีละเล่ม เพื่อเลือกประโยคเด็ดโดนใจมาทำเป็น Content โปรโมตหนังสือในสื่อออนไลน์ช่องทางต่าง ๆ ต่อไป
ระหว่างรอให้หนังสือมาส่งถึงบ้านก็ได้รับมอบหมายให้ออกแบบ Templete สำหรับใส่ประโยคเด็ดโดดใจจากหนังสือเหล่านั้น เราเลยต้องขุดความทรงจำการใช้โปรแกรม AI ที่เคยเรียนเมื่อตอนปี 2 กลับมา โดยมีอาจารย์อีกคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิดชื่อว่า Youtube
การบ้านอีกอย่างที่ได้รับมอบหมายคือ 'ถ้า SandClock Books มี Tiktok จะออกมาเป็นอย่างไร' เป็นงานที่เราขอบคุณตัวเองที่เล่น Tiktok มาก่อนอยู่แล้ว เพราะถ้าต้องมาศึกษาเอาตอนนี้คงหงุดหงิดน่าดู และเพื่อน ๆ ที่มาฝึกงานด้วยกัน (ออมและจอนนี่) ก็ไม่มีใครเล่น Tiktok มาก่อน เราจึงรู้สึกเหมือนกำลังแบกความหวังอยู่เล็กน้อย ได้แต่บอกออมกับจอนนี่ว่าไม่ต้องห่วง เราจะพาไปเป็นดาวเอง!
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in