พายวานิลลาสามเหลี่ยมเบี้ยวๆ ในถุงกระดาษหล่นลงมาจากลูกบิดประตูจนเขาเกือบรับไว้ไม่ทัน บุหรี่รสมิ้นต์เกือบหล่นจากมุมปาก มองผ่านถุงใสๆ ก็ค้นพบว่าเหลี่ยมมุมมันประหลาดจากพายทั่วไป ขจีเผลอพ่นควันใส่ความหวานแหววของวานิลลาจนคิดว่ารสชาติคงเฝื่อนเพราะควันทึมเทา
แปดโมงเช้าแดดไม่อุ่นและเขาก็กำลังจะสาย ชายหนุ่มเดินเอียงๆ ออกจากบ้าน ยีนส์ตัวเก่ายังติดเนื้อหนังออกมาเพราะเมื่อคืนหลังจากที่น้ำตาลลับหาย เขาก็หลับไปพร้อมกับ Nocturne B major ของโชแปงที่พ่อเคยอัดเทปยืดให้ไว้ ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าและปล่อยให้โซฟาสูบวิญญาณทิ้งเอาไปอย่างไม่เสียดาย
ไส้กรองมิ้นต์ขมปร่าแย้งกับกลิ่นหวานนวลๆ ในถุง เขาดูดปื้ดสุดท้ายพร้อมดวงตาที่ปิดครึ่งไม่ปิดครึ่งแล้วโยนให้เป็นปุ๋ยของต้นบ๊วยในรั้วบ้าน ไม่เห็นกระปุกน้ำตาลที่เธอบอกว่าจะเอามาคืน คาดว่ามันสะสมอยู่ในพายอันตราย เธอวางยาเขาเป็นขนมหวานโดยที่เจ้าตัวไม่คิดจะไพล่พาลมาแนะนำสูตร
วันอาทิตย์ ขจีขับรถไปออฟฟิศที่ถูกดีไซน์มาแบบมั่วซั่ว เส็งเคร็งและไร้อารมณ์ ไม่นึกถึงจิตใจของรสนิยมของมนุษย์ที่นั่งออกแบบง่กๆ อยู่ในนั้นทั้งวัน เขาเป็นสถาปนิกที่ใส่ใจพอควรว่าตึกควรอยู่ในอารมณ์ไหน
ถ้าจะออกแบบให้หยาบคายก็ควรหยาบให้หมดจดเหมือนบ้านปากไม่ดีของเขา ที่ไม่ทำอะไรเลยนอกจากยืนเป็นคอนกรีตเก๋ๆ และด่าทอลมฟ้าอากาศทุกวัน ถ้าจะสร้างตึกแบบสุภาพ หน้าต่างประตูก็ควรจะพูดจาเพราะกว่านี้ หยักมุมและพื้นผิวกริบขาด ไม่ใช่มาเป็นแนวคอนเทนเนอร์สีส้มคาดขาวที่เต็มไปด้วยคอกด้านใน ฉาบปูนมั่วๆ และพยายามจะสลับซับซ้อนด้วยหลังคาสโลปแต่ไม่มีมิติ
มายแอส นี่มันวันอาทิตย์นะ
เขาขอบคุณตัวเองที่สามารถหอบงานมาที่บ้าน หัวปักอยู่กับมัน ขลุกกับกองขี้เถ้าบุหรี่และเสียงโหวกเหวกข้างบ้านได้อย่างสงบ
"ถ้าอยู่บ้านผมทำงานได้มากกว่าเดิม 2-3 เท่า"
เพื่อนร่วมงานชิงชังเขาประมาณหนึ่งแหละ แต่ข้อพิสูจน์นี้ทำได้จริงมาเป็นปี ชายหนุ่มอยู่ทุกที่ที่ไม่ใช่บริษัท ถ้าจะเข้าก็เดินผ่านประตูด้วยยูนิฟอร์มเสื้อยืดที่ไม่เคยถูกต้อง เข้าประชุมบ้างบางครั้ง
ขจีไม่ใช่มือหนึ่งของบริษัท แต่เป็นมือพิเศษ ไม่ทำงานยิบย่อย มือขวาของเขาร่างบ้านทรงประหลาดได้อย่างมีอารมณ์ ส่วนมากเป็นพิพิธภัณฑ์ หอศิลปะ และแกลเลอรีส่วนตัวของนักธุรกิจทุนหนา แว่วๆ จากเจ้านายว่าเขาสามารถออกแบบบ้านให้เข้ากับแสง ดีไซน์หน้าต่างและหลังคาให้โอบกอดแสงอย่างมีเหลี่ยมมุม
หรอ เพิ่งรู้วันนี้เอง
แต่ยังไงก็ตาม ไม่กี่เดือนมานี้ ทฤษฎีอันน่าภาคภูมิใจที่เจ้านายชื่นชมเขาพังทลายเมื่อเจอเธอ เจ้าของทาร์ตหน้าตาเซ่อๆ ที่คอมเม้นการออกแบบบ้านของเขาด้วยเสียงที่ไม่เบานัก
......
"อ้าว มีคนอยู่ด้วยหรอ นึกว่าบ้านร้าง"
เธอพูดนิ่มๆ ลอยๆ คิดว่าเขาไม่ได้ยิน แล้วก็เดินเข้าบ้านข้างๆ ไป
วันต่อมาเธอตะโกนข้ามรั้วหลังบ้านมาพร้อมขนมฝรั่งอะไรสักอย่างในมือ กลิ่นแป้งอบสดทักทายจมูกเขาไม่เบานัก ชายหนุ่มทำเป็นหูทวนลม แต่เธอไม่สนใจเขาที่ทำหน้ายุ่งติดรำคาญ แถมเสนอแนะให้จัดสวนรกๆ นั้นบ้าง หรือปลูกเฟิร์นสะไบนางและไม้ดอกไว้ประดับบ้านด้วยก็น่าจะดี
ขอบคุณมาก
ถ้าหากเธอไม่คิดว่าเขาจะได้ยินประโยคลั่นลอยของเธอเมื่อวาน ก็ควรจะหยุดให้คำแนะนำเรื่องบ้านแสนน่ารักของเขา และให้ 'สเปซ' กับความแปลกหน้าบ้าง
"เราอบเสร็จเมื่อเช้านี้เอง เห็นคุณเดินอยู่เลยคิดว่าน่าจะเอามาเผื่อด้วยค่ะ"
"ขอบคุณ แต่ผมไม่ชอบทานของหวาน"
"ทาร์ตนี่ไม่ค่อยหวานหรอกค่ะ ขนมแท่งนี่ก็กรอบๆ เพิ่งลองทำเมื่อเช้ายังไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไรเลย"
"เก็บไว้ทานเองเถอะ ผมขอตัว"
ถึงเธอจะทำหน้าแปลกๆ ไปบ้าง แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้ใจร้าย เพราะหากเป็นอย่างนั้น วันรุ่งขึ้นเธอคงจะไม่เยี่ยมหน้ามาพร้อมกับทาร์ตสูตรดั้งเดิมของหมู่บ้านลียง พร้อมขนมปังกรอบรูปเป็ดประหลาดและช็อกโกแลตร้อน เธอทัดผมซอยสั้นไว้กับใบหูซ้ายและนั่งลงตรงบันไดหน้าบ้าน หูฟังสีฟ้าผลุบออกมาจากกระเป๋ากางเกงลายสก็อต หากสายตาของเขาจะเจือความเอือมระอาไว้บ้างก็ไม่น่าจะผิดแปลกอะไร
ผู้หญิงจากดาวอื่นคนแรกที่เขาไม่ได้เห็นเธอเป็นรูปทรงเรขาคณิต รูปทรงก็ไม่สมมาตร การป้วนเปี้ยนของเธอน่าจะมีผลอะไรสักอย่าง อย่างน้อยก็รบกวนเคมีในบ้านนิสัยไม่ดีของเขานี่ล่ะ
อ้อ ไม่ใช่สิ บ้านร้างที่น่าจะเอาเฟิร์นสะไบนางมาประดับตกแต่งบ้างต่างหาก
"จะนั่งมันตรงนี้เลยหรือไง นี่มันหน้าบ้าน(คนอื่น)นะคุณ" สาบานได้ว่าเพิ่งเจอหน้ากันสองครั้ง
"ชิมนี่ไหม อร่อยนะ" หลุดกรอบของสมการ เขาต้องนั่งลงอย่างเสียไม่ได้ ปรายหางตามองลูกแก้วกลมใสของเธอกับกลิ่นแป้งขนมซับในดวงตาของเขา กลิ่นฝนเมื่อคืนปรอยอ่อน เพดานบ้านกำลังลั่นหัวเราะใส่เขาเบาๆ ที่ไม่รู้จะหาทางออกให้กับการโดนโจมตีของผู้หญิงประหลาดอย่างไร
"คุณชื่ออะไรนะคะ" บนตักเธอมีหนังสือปกบางเรื่องแมวสยองขวัญที่วาดด้วยลายเส้นหยาบๆ แมวตาวาวอ้าปากค้างบนพื้นหลังสีเหลืองสดใส เขากุมขมับ
"...เราสามารถเป็นเพื่อนบ้านที่ไม่ต้องรู้จักกันก็ได้นะคุณ มนุษย์ไม่ต้องรู้จักกันทุกคนหรอก" เหมือนจะได้ผล เธอนิ่งไปสองสต็อป
"ไม่ได้อยากรู้จัก แค่จะเอาขนมมาให้เฉยๆ" ป้าข้างบ้านบอกว่าเขาเป็นสถาปนิก และเธอยังมีชิ้นส่วนชั้นหนังสือที่พยายามต่อเองแล้วล้มเหลวไม่เป็นท่า เลยคิดว่าน่าจะเอาขนมโฮมเมดเล็กๆ น้อยๆ มาให้ ป้าไม่ได้บอกมาด้วยว่าสถาปนิกบ้านนี้นิสัยยังไง แต่เธออาจจะเข้าใจผิดไปเองก็ได้ นี่อาจจะแค่เป็นคนทื่อๆ ล่ะมั้ง
"เพื่อ"
"เพื่อให้คุณได้กินมันไง เราอยู่บ้านข้างๆ กัน "
"ผมไม่กินขนม"
"ใครๆ ก็กินขนมน่ะคุณ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง" คนในเมืองนี่มันยังไงกัน ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เธอไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำท่ารังเกียจขนมที่เธอตั้งใจทำขนาดนั้น
"จำเป็นตรงไหน" เธอเลิกคิ้วสูง เขาเองก็ทำแบบเดียวกัน รู้สึกตลกที่ประโยคเรียบๆ ของเขารั้งดีกรีความฉุนเฉียวของเธอไว้ที่ปลายหูทั้งสองข้าง เธอถูข้อนิ้วเข้ากับคางไม่เบานัก ฉายรังสีความไม่พอใจผ่านกระบอกตา ขัดใจตัวเองที่หวังความช่วยเหลือจากคนอื่นกะอีแค่การต่อชั้นหนังสือโง่ๆ
โคตรเสียเวลา
"แค่รู้สึกว่าอยากทักทายเพื่อนบ้าน ไม่ต้องพูดจาไม่ต้อนรับกันขนาดนี้ก็ได้มั้ง" เธอเดินทำหน้าเรียบออกไป
"จะปาหนังสือแมวนั่นใส่ผมหรือเปล่า" เขาเย้าหน้าตาย เธอไม่หันมามอง วัฒนธรรมเมืองคงเป็นเรื่องที่เธอต้องศึกษาอีกยาว
"ไม่ปาหรอกค่ะ จะไปแล้ว ขอโทษที่มารบกวน" คำพูดคำจาเธอตลกดี เหมือนมีหลายบุคลิก ภายนอกดูร่าเริงแจ่มใสเกินเหตุ ผ่านไปสองสามนาทีก็เหมือนลืมไปว่าความสดใสคืออะไร ขมวดคิ้วใส่เขาฉับพลัน วันนั้นที่บอกว่าบ้านเหมือนบ้านร้างก็อีกสำเนียงหนึ่ง
ตลกดี
"ขจี" เธอหยุดกึก หันมาพร้อมกับปรอยผมสีน้ำตาลบังขนตา
และรอยขมวดคิ้วชัดแจ่ม
"ผมชื่อขจี" เธอเห็นเขากัดทาร์ตด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ รสชาติมันเหมือนครีมจากดาวอังคาร
"คุณอ่ะ"
ไร้ซึ่งคำตอบ เธอขมวดคิ้ว และเดินจากไป
นี่เป็นไบโพลาร์รึเปล่า
ขจีมองแผ่นหลังนั้นเดินเข้ารั้วบ้านข้างๆ หายไปในดงดอกไม้และเฟิร์นสะไบนาง เขาเหลือบตาไปมองถาดใส่ทาร์ตข้างๆ
ถาดที่ปักชื่อ 'ไอรดา' ไว้ด้วยด้ายสีครามที่ผ้ารองขนม
.......
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เขาก็เห็นข้อดีของขนมฟรีที่ช่วยย่นเวลาของมื้อเช้าไปได้บ้าง
วิทยุรันไปเจอเพลง Blowing in the wind เขาเปิดแอร์อ่อนๆ ในรถ มุ่งหน้าไปออฟฟิศแสนประดักประเดิด พายสามเหลี่ยมเบี้ยวๆ วางอยู่เบาะข้างๆ ตบตีกับกลิ่นมิ้นต์ที่เจือจางจากมวนบุหรี่
...
"หมู่นี้ไม่เห็นเข้าออฟฟิศเลยนะคุณ ลมอะไรหอบมาเนี่ย" อีกหนึ่งสาเหตุที่เขาอยากเยี่ยมหน้าเข้ามาในที่ทำงานให้น้อยครั้งที่สุดก็คือสิ่งนี้ บทสนทนาและสายตาของผู้คน
"ประชุมโปรเจ็กต์วัดคอนเซ็บชวลเริ่มรึยังฮะ ห้องเดิมหรือเปล่า" เขายิ้มเบาๆ เลี่ยงตอบคำถามเพื่อนร่วมงาน กลิ่นบุหรี่ยังไม่จาง รอยยิ้มของผู้คนทำให้เขาหงุดหงิดทั้งๆ ที่พวกเขาไม่มีพิษมีภัยอะไร หลายคนเริ่มทักทายหัวยุ่งๆ กับสภาพดิบๆ ของเขาตั้งแต่เท้ายังไม่แตะบันได Plangton & Co.
เป็นชื่อที่ไม่ควรตั้งให้กับสิ่งมีหรือไม่มีชีวิตที่ไหนทั้งนั้น
"เฮ้ย ไม่เห็นนานเลย มาประชุมโปรเจ็กต์วัดดิ กาแฟปะ" เสียบแหบปลายพร้อมสัมผัสที่ไหล่ขวากระแทกเขาไม่เบานัก
นาระ นาระ เธอชื่อนาระหรือนาราเขาจำไม่ได้ แต่เขาจำวันแรกที่เจอเธอได้ มินิสเกริ์ตยีนส์เข้ม เสื้อยืดสีเหลืองรถโรงเรียนและกระเป๋าผ้าที่เขียนว่า Boobs Shit นาระเป็นมนุษย์ที่คล้ายกันกับเขาคือไม่ชอบสุงสิงกับใครมากนักเลยเป็นเพื่อนกันได้ เธออยู่ในโลกห่ามๆ ของเธอกับแมว วาจาและแฟชันอันเซ็นเซอร์ นาระนั่งบนโต๊ะ วางรองเท้าผ้าใบไว้กับแขนเก้าอี้
"โคตรง่วงเลย ซ้อมดนตรีเมื่อคืน หน่วงยันเช้า" เขารับแก้วกาแฟมาจากเธอแล้วนั่งตรงข้างกองกระดาษ หญิงสาวพิงหัวไว้กับพาร์ทิชัน หาวจนตาเยิ้ม
"กลับบ้านไปนอนไหม ตาฉ่ำอย่างกับมอมมา"
"เขาเรียกมอมเมาเคล้าดนตรี แต่เมื่อคืนเปล่าเลย อย่าแซะถ้าขอบตายังเข้ากะดึกอยู่แบบนี้จีดรากอน"
จีดรากอนมายแอส
นาระพูดทั้งหลับตา เธอไม่เคยเรียกเขาชื่อเดิมเลย ล่าสุดเธอตะโกนเรียกดังลั่นว่า จีสตริง ในเพิงกาแฟใต้บริษัทจนทุกคนเลื่อนหูมาฟังและซุบซิบทุกสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ยังดีที่เขาเข้าบริษัทน้อยครั้ง แล้วยังมีบีจีส์ จีราฟ จูแมนจี แล้วแต่ว่าตอนนั้นอินอะไรอยู่
ดูจากเสื้อเบสบอลสีแดงกับกางเกงลายทางตอนนี้ เธอคงกำลังอยากไปโคชิเอ็งที่เฮียวโงะ
แต่ในยามที่สายตาและระบบประสาทกำลังจะละลายไปกับเข็มนาฬิกา นาระกับขจียืนแปลกปลอมในออฟฟิศแพลงตอน พวกเขาสองคนเหมือนเป็นจุลินทรีย์ที่ใช้ขอบตาแสนอาวรณ์จ้องกันไปมา รอเวลาที่สมองจะตื่นเพื่อการประชุมในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
"ง่วงๆๆๆ หิวด้วยโว้ย เฮ้ยมีของกินนี่ อะไรอ่ะ? ขนมเปี๊ยะ? พายหรอ?" ขจีตื่นจากการเป็นแบคทีเรีย ฉวยถุงพายวานิลลาขอบตาคล้ำมาไว้กับตัวก่อนที่หญิงสาวจะหยิบทัน นาระเลิกคิ้ว
"ทำไมงกวะจีดี.."
"ขจี" เขาขัด อยากเป็นตัวเองบ้างในรอบสามปี
"เออ เหมือนกันแหละ วันนี้มันวันอะไร ต้องตื่นเช้ามาประชุมโปรเจ็กต์พิสดารแถมเพื่อนไม่แบ่งขนมกิน กาแฟที่ซัดเข้าไปน่ะเอาคืนมาเลย ด่วน" เขาหัวเราะในลำคอ สายตาจางๆ มองถุงกระดาษสีลินินในมือแล้วนึกถึงถ้วยเซรามิกกับช่องว่างในตู้กับข้าว
"เฮ้ยเพื่อนฝูง สติมาหน่อย งกแล้วยังเหม่ออีก" นาระเขี่ยกางเกงขาดๆ ของเขาด้วยผ้าใบ ไม่สนใจบรรยากาศการทำงานในโลกอื่น พวกเขากำลังส่งผ่านลมหายใจในคอนเทนเนอร์ทรงประดักประเดิดที่ชื่อบริษัทแพลงตอนและเพื่อน เข้าประชุมในห้องไฟลัม 1 บางทีชื่อพารามีเซียมและแครกเกอร์อาจจะดูเข้าท่ากว่าก็ได้
ชายหนุ่มมองแสงนอกกระจกที่สะท้อนผ่านหน้าต่าง มันเป็นรูปสามเหลี่ยมยิบๆ
"ไม่ได้งก พายนี่มีคนให้มา" นาระร้องอะฮ้าติดกันสามครั้ง
"เล ดี้ ยอ จา คา โนะ โจ" ขจีมองเธอหลิ่วตา เสยผมลวกๆ แล้วเท้าคาง
"ภา ษา อะ ไร"
"โฮมเมดพายอุ่นๆ นี่ยังไงดี คายออกมาเดี๋ยวนี้เลย"
นาระตบโต๊ะเป็นจังหวะจนพนักงานแถวนั้นผินหน้ามามอง ขจีถอนหายใจ วัดคอนเซ็บชวลอะไรนี่ยังหนักหัวไม่พอจนต้องเจอการซักไซ้ของนาระอีกใช่ไหม ใครบอกให้เธอใช้สัญชาตญาณพร่ำเพรื่อ
"ยังไงล่ะๆ เร็ว เสียเวลา ประชุมจะเริ่มแล้ว"
"เออ งั้นไปล่ะ" เขาดื่มกาแฟอึกสุดท้ายแล้วหยิบกระเป๋าข้างโต๊ะ ไม่สนใจอาการของหญิงสาว ตอนแรกเขาคิดว่าเธอเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นครึ่งไทย แต่ไม่ใช่ นาระน่าจะเป็นครึ่งญี่ปุ่นครึ่งโวยวายมากกว่า
"จะไปไหม เลิกโยงเส้นอะไรเรื่อยเปื่อยในหัวได้แล้ว" เขายัดแก้วกาแฟให้หญิงสาวหน้ายู่แล้วเดินลิ่วจากไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in