กลิ่นวานิลลากุหลาบแตะจมูกของเขาพร้อมกับเปลือกตา กลิ่นประหลาดฉกฉวยบรรยากาศไประหว่างระยะขนตาปรือ เหมือนมันมาเข้าฝันในสองสามนาทีที่ผ่านมาและปลุกเขาให้ตื่น โซฟาอังกฤษยวบลงเพราะความง่วง เขาอ่อนล้าจากการขีดเขียนแบบในกระดาษ ดินสอยังตกหล่นอยู่ที่ไหนสักแห่งบนพื้นไม้ก่อนที่เขาจะได้กลิ่นนั้น
วานิลลากุหลาบ
ไม่คล้องจองแต่ชวนฝันจนอยากดึงมาเป็นวัตถุดิบในการแต่งสวนของบ้านที่กำลังออกแบบ ให้มันเป็นพันธุ์ไม้ประหลาดที่สวนหย่อมเล็กๆ กลีบชมพูปนเหลืองนวล เด็ดกลีบมาแต่งกลิ่นกับวาฟเฟิลได้ในยามเช้าแสงหกโมงครึ่ง เขาจะนั่งจิบไวน์โบราณ มองแสงตั้งฉากที่ทอดมาเป็นรูปสามเหลี่ยม คำนวณความนุ่มนวลในนั้นไปพร้อมๆ กับชิมขนมที่มีส่วนผสมของสวนหลังบ้าน
แต่ตอนนี้เข็มนาฬิกาชี้เลข 11 ไม่ย่ำรุ่ง แต่ย่ำค่ำ ยอมรับก็ได้ว่าเหงา
บ้านนี้เงียบจนเกินดีไซน์ มีเสียงไม้ลั่นบ้างตามโอกาส โทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง เขาแทบจะแบกไม้ทั้งหมดมากองไว้แล้วสร้างเองทุกจุด อยากให้มันวินเทจ บางครั้งความโบราณก็อยากส่งเสียงร้อง แล้วเขาจะทำอะไรได้นอกจากรับฟัง บ้านขี้บ่นกับเจ้าของที่ยากจนอารมณ์ขัน
เขาถูหลังคอไปมา ผมสีน้ำตาลโล้ไปด้านซ้าย ปากยังหาวหวอดๆ อยู่จากอาการหลับไม่สนิท
หวังว่ากลิ่นวานิลลากุหลาบเรื่อจะไม่ได้มาจากวิญญาณสาวสวยที่ไหน
ประหลาดหูที่ได้ยินตัวเองคิดคำว่าสาวสวย แค่คิดก็ประหลาดแล้ว สถาปนิกที่หลงใหลอยู่กับเหลี่ยมมุมและการตกกระทบของเรขาคณิต ยึดมั่นในพิทากอรัส และไม่เคยเสื่อมศรัทธากับลุดวิก มีส ฟาน เดอร์ โรห์ แค่ลายเส้นของบ้านคร่าวๆ ในกระดาษก็ทำให้เขาตาเยิ้มกว่าเรียวขาของสาวสวย
ผู้หญิงเป็นเพียงแค่เส้นต่อจุด
เวลาที่พวกเธอเดินผ่านไปผ่านมา เขาจึงเห็นพวกเธอเป็นรูปสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม หกเหลี่ยม แล้วแต่ความกว้างยาวและลักษณะการแต่งตัว บางทีพวกเธอก็เป็นทรงกระบอกหัวรั้นในบ้านของตาแก่สันหลังยาว คำนวณพื้นที่ผิวแล้วงามเบาบางกว่าผนังปูนเปลือยในห้องนอนของเขาเอง
ความคิดแบบนั้นชัดเจนก่อนที่เขาจะเข้ามาหาคัสตาร์ดในห้องครัวแก้หิว จังหวะที่ปิดประตูช่องแช่แข็ง เขาเจอเงาบางๆ จากแสงนวลของบ้านข้างๆ
เรขาคณิตที่งดงามพร้อมกับกลิ่นวานิลลากุหลาบที่ประกอบกับสวนหลังบ้านของเขาได้ผลลัพธ์เป็นหญิงสาวผมซอยสั้น เพ่งให้ชัดจะเห็นมือข้างขวาของเธอกระดกแว่นกรอบสี่เหลี่ยม ไม่สนใจอะไรเลยนอกจากน้ำเชื่อมและครีมข้น มุ่นคิ้วน้อยๆ เหมือนไม่เคยมีอะไรถูกใจเกินสามวินาที กลิ่นวานิลลาคงมาจากเธอ แต่กลิ่นกุหลาบน่าจะมาจากกุหลาบมอญสีโอรสหลังบ้านเหลี่ยมๆ แสนจืดชืดของเขาเอง
บ้านวินเทจส่งเสียงรบเร้า คัสตาร์ดเริ่มละลาย เขาก้มลงมองรอยขาดที่กางเกงยีนส์สีซีดของตัวเองและเริ่มค้นพบว่า นอกจากตัวเองจะเป็นสถาปนิกสติไม่ค่อยปกติแล้ว ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ยังมีเชื้อโรคจิตอ่อนๆ อีกด้วย
เสียงออดดังพร้อมกับแสงนวลที่หายไปพร้อมกับเธอ เงามนๆ ของเธอหายไป เขาวางคัสตาร์ดไว้ที่อ่างล้างจาน มองตัวอักษรจีนในมู่ลี่ที่ดีไซน์ไว้แบบหยาบๆ ข้างตู้เย็น ลมที่พรูผ่านหน้าต่างพลิกให้ม่านตลบตัวเองใส่ผนัง ย้ำเตือนเขาไม่เบานักว่าช่วยหยุดความโรคจิตบริสุทธิ์ไว้บ้าง ชายหนุ่มเดินลากขาออกไปหน้าประตู ผ่านเครื่องเรือนทรงเหลี่ยมและความเงียบรื่น รู้ลางๆ ว่าต้องเป็นคนข้างบ้านที่หายไปจากหน้าต่างและแสงเย็น
“ว่าไง” เสียงเขาเย็นกว่าแสง
“พี่จี เมื่อกี้ทำพายวานิลลาอยู่แล้วน้ำตาลหมดเลยจะมาขอยืม ต้องใช้จริงๆ” ปรากฏตัวพร้อมเสื้อยืดลายประหลาดและปลายเสียงสูงเหมือนเดิม เขาหรี่ตาลงพร้อมลมพัดอ่อน กลิ่นวานิลลาถามหาปลายจมูก
“นี่มัน 5 ทุ่มครึ่งนะ”
“รู้ แต่พายมันทำยาก เลยเสียไปหลายถาด ร้านปิดหมดแล้วด้วย เดี๋ยวซื้อคืนน่า” เขาขยี้ปลายหางตา สีหน้าเบื่อหน่าย
“ก็ยังไม่ทันจะว่าอะไรเลย” เธอออกเสียงอาแบบไม่มีเสียง อารมณ์รีบเหมือนวันแรกที่ย้ายเข้ามาบ้านข้างๆ
ธันวาคม ปลายหนาว เขาเห็นบ้านก่อนเห็นเธอ สิ่งก่อสร้างฉวยสายตาเขาไปก่อนเสมอ บ้านเธอมีวงกลมและส่วนโค้งเว้ามากเกินไป หน้าต่าง หลังคา รั้ว ตู้ไปรษณีย์ ประจันเข้าหากันด้วยคู่สีโดดๆ ยืดหยุ่นจนเหมือนจะพังลงมาเวลาไหนก็ได้ พอสายตาเขาไล่ไปเห็นเจ้าของบ้าน เธอก็ลอยล่องอยู่เหมือนเมฆ ไร้แรงต้านทาน มีส่วนกลมมนและร่าเริงมากไปจนเขาอยากเอาปากกาไปวงความหรรษานั้นออกบ้าง
ผู้หญิงเส้นต่อจุด ตากระตุกตั้งแต่ระยะแรกที่มองเห็น
“ตู้กับข้าวชั้นสองใกล้มู่ลี่ น่าจะอยู่ในถ้วยเซรามิกสีฟ้าขุ่นๆ” เขาไม่ได้ใช้น้ำตาลในชีวิตประจำวันมากเพราะไม่ค่อยได้ทำอาหาร ห้องครัวมีไว้แขวนรูปและทำให้บ้านมีรูปทรงสมมาตร นั่นอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งของความจืดในชีวิต
“จี” ไม่มีความเคารพนำหน้าแถมเอ่ยชื่อเขาแล้วยิ้มหรรษา ชายหนุ่มกลอกตา เห็นร่างเล็กๆ เฉียดข้อศอกเข้าไปในบ้านด้วยความไฮเปอร์ สีหน้าเธอเหมือนปลาโลมาตกใจตอนเปิดตู้กับข้าว
“พี่จี เอลลา ฟิจเจอรัลมาทำอะไรในนี้มากมาย” หญิงสาวหยิบคาสเส็ตเทปปกกึ่งสีกึ่งขาวดำขึ้นมาพลิกดู มันคือรวมฮิตหลายยุค เธอจิ้มศีรษะเข้าไปในตู้ไม้สีหยาบ เจอแคท สตีเฟนปนอยู่กับสุชาติ ชวางกูรและนิค นิรนามนอนเรียงกันอยู่ในที่เสียบจาน ตู้นี้ไม่มีจานเลยแต่มีคาสเส็ตเสียบไว้ทั้งชั้นบน มิกซ์เทปยุค 60 หลายตลับพร้อมลายมือกลมมนตรงโน้ตด้านหน้าปก
อืม นี่คือสถาปนิกหน้านิ่งกับสิ่งที่อยู่ในตู้กับข้าวของเขา
น้ำตาลกลายเป็นตัวละครลึกลับไปเลย
“มันไม่ค่อยมีที่เก็บ” เขาหยิบถ้วยเซรามิกใส่น้ำตาลออกมาให้เธอก่อน แล้วค่อยหยิบมิกซ์เทปปกสีฟ้าซีดล็อกหน้าสุดออกมา เสียบมันเข้าไปในวิทยุคลาสสิคที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ วงกลมในเทปหมุนแล้วส่งเสียงอู้อี้พร้อมกับหางเสียงของสาวฝรั่งที่เพิ่งเปล่งโน้ตตัวสุดท้ายจบเพลง วินาทีต่อจากนั้นเหมือนจะเงียบแต่ไม่เงียบ เสียงเทปยังเดินอยู่หวือหวือ พร้อมกับหญิงสาวที่ถือถ้วยน้ำตาลค้างไว้ มือและสายตาสำรวจเทปที่เหลือ แทร็คต่อไปเริ่มเล่น Alone again naturally ด้วยดนตรีอู้อี้
เธอกับเขายืนห่างกันสองเมตรครึ่ง
“ชอบจัดรายการในห้องครัวหรอ มีคลังแสงเยอะขนาดนี้”
“เปล่า บางทีคิดงานในห้องมันก็ตัน ทำงานข้างนอกก็เอียนคน เลยต้องเปลี่ยนที่บ้าง”
“แล้วได้เรื่องบ้างไหม” เธอไม่เห็นสีหน้าเขา อ่านเจอคำว่า “ฟังหลังอาหาร” ที่สันเทปตลับหนึ่ง เบนสายตามาหาเมื่อเห็นชายหนุ่มไม่ตอบอะไร
“ยิ้มมึนๆ แบบนี้ท่าทางจะไม่ได้แหง”
“มันก็กวนสมาธิบ้าง แทนที่จะได้งานก็กลายเป็นไม่มีสมาธิไป”
“สิ่งที่กวนสมาธิ คือเพลงคลาสสิคเนี่ยนะ” เขายักไหล่ มองเธอฮัมทำนองแบบขอไปที พร้อมพูดงึมงำว่าทำไมถึงมีเทปโบราณครอสยุคข้ามประเทศไปมาเยอะขนาดนี้ โทนเสียงผลุบๆ หายๆ ไปเพราะไม่รู้ว่าเพลงไม่เบา หรือเสียงเธอเบา ทำไมตอนนี้อะไรๆ ก็ดูเบา
“โต๊ะในครัวนี่ก็ไม่ได้เป็นโต๊ะกินข้าวใช่ไหม”
“อือ โต๊ะทำงาน”
“แล้วกินข้าวที่ไหน”
“ที่ไหนก็ได้ มันต่างกันตรงไหนล่ะ ยังมีคนที่มีโต๊ะกินข้าวไว้กินข้าวอยู่อีกหรอ” เธอกลอกตา เนื้อเพลงตกลงที่ท่อน For if he does really exist พอดิบพอดี
“มิน่าถึงใส่น้ำตาลในด้วยเซรามิก เราเห็นสะสมโหลแก้วตั้งเยอะทำไมไม่เอามาใส่บ้าง คนประเภทไหนเอากระดาษหนังช้างมาปิดถ้วยน้ำตาล.. ประหลาด”
“มีให้ก็ดีแค่ไหนแล้ว นี่มันห้าทุ่มครึ่งนะ”
“ห้าทุ่มครึ่งนี่เวลานอนของใคร”
“สำคัญยังไง มาเคาะบ้านคนอื่นเวลานี้ใส่ใจด้วยหรอ”
“เหตสุดวิสัยหรอก”
“เซเว่นเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงนะ” เขาหยอกหน้าตาย เธอกระพริบตาถี่พร้อมกับถือถ้วยเซรามิก นิ้วโป้งซ้ายเลอะแป้งข้าวเจ้า ข้าวเหนียว หรือข้าวสาลี ห้องครัวมีกลิ่นกุหลาบปน เธอก็มีกลิ่นวานิลลาติดตัว ดวงตาโตของเธอจึงไม่ได้เป็นวงกลม จมูกโด่งรั้นไม่ได้เป็นสามเหลี่ยม ริมฝีปากก็ไม่เหมือนขนมเปียกปูน
“เกลือใส่ในถ้วยอีกแล้ว คอฟฟีเมทก็ไม่ปิดฝาโหล ฮืย นี่คือมหันตภัยในตู้กับข้าว” เธอหลบสายตาเขาโดยเนียน ละความสนใจจากเสื้อยืดสีเทาเข้มกับกางเกงยีนส์ซีดๆ และผมปรกหางคิ้วไปที่ความเป็นระเบียบของเครื่องปรุงในตู้กับข้าว รู้เลยว่าเจ้าของครัวระเบียบจัดจนไม่จับอะไรมาปรุงอาหารเลย
“พี่จี เราว่าครัวแย่” เขาพยักหน้า กดปุ่มสต็อปแล้วเก็บเทปเข้าตลับทั้งๆ ที่ยังไม่จบเพลง เคาะมันไม่เบานักลงบนศีรษะของเธอ
“ที่แย่กว่าคือคนที่มายืมของชาวบ้านแล้วยังมาบ่นเรื่องครัวเขาอีก จะไปได้ยัง อบขนมไม่นอนแล้วมาถ่างตาคนอื่น”
เธอพึมพำอะไรสักอย่างแล้วดึงแขนเสื้อเชิ้ตลายทางให้ขึ้นมาที่ข้อศอก ถือน้ำตาลออกไปหน้าประตู เขาตั้งชื่อให้ว่าพายวานิลลาขอบตาคล้ำ เธอขึงตาเฉียบบอกว่าน้ำตาลของเขาจะยินดีที่ได้ออกมาสู่พายวานิลลาที่บ้านเธอแล้วเอ่ยทิ้งไว้
“นี่ได้นอนบ้างไหมเนี่ย ขอบตาลึกยิ่งกว่าสเฟียร์หลุมดำอีก”
น้ำตาลของเขากำลังออกจากบ้านไป
“เดี๋ยวเราซื้อมาคืนนะ อ้อ ยืมนี่ด้วย” เขายิ้มน้อยๆ แลกกับเธอที่ชูมิกซ์เทปขึ้นมา ไม่ได้เอ่ยคำอะไรหลังจากนั้น
น้ำตาลจากไป วานิลลาหายไปผลุบอยู่ในครัวข้างบ้าน ความเงียบกระทบใบหูแต่เขารู้ว่าบ้านกำลังล้อเลียน ติฉินเขาซ้ำด้วยการจัดวางตัวเองให้ดูภูมิฐาน เขาเดินกลับเข้าไปในครัว แสงนวลกับเงารางคุ้นตาปรากฎในส่วนโค้งเว้าของบ้านที่มากไป
ใครจะว่าอะไรหากมีมนุษย์คนหนึ่งเป็นโรคจิตบริสุทธิ์
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in