เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ฟิคและฟิคเท่านั้นwritia
[OS] 00.00 (Short ver.) - Xu Bingchao x Ding Feijun
  • //เรื่องนี้มีแบบยาวค่ะ ไว้มีเวลาเยอะกว่านี้จะเกลามาลงนะคะ เอาแบบนี้แก้บนไปก่อน เนื่องในโอกาสที่ได้เจอสวีปิ่งเชาแบบมีเลือดมีเนื้อแล้ว เย้ ๆ

    -----------------------------------------

    เสียงโน้ตตัวสุดท้ายบนเวทีสิ้นสุดไปนานแล้ว ร้านอาหารที่ถูกจองเหมาไว้สำหรับฉลองจบงานเตรียมอาหารอร่อยขึ้นชื่อไว้มากมาย แต่พอดึกเข้าก็เหลือแต่จานเปล่าเรียงราย เข้าสู่ช่วงเวลาของอาฟเตอร์ปาร์ตี้ กลิ่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์คละคลุ้งเข้ามาแทนที่

    นิดหน่อยก็ดื่ม ๆ ไปเถอะ อย่าเข้มงวดกับตัวเองนักเลย สวีปิ่งเชาคิดพลางกระดกเครื่องดื่มสีอำพันที่หลงเหลืออยู่ตรงก้นแก้วเข้าปาก คนมีตารางงานพรุ่งนี้อย่างหมิงเจ๋อยังนั่งดื่มอยู่ขวามือเขาอยู่เลย มือถือแก้ว ปากก็รบรากับหูเหวินเซวียนไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย กรรมการก็ยังเป็นกู่หลันตี้คนขี้สปอยล์น้องคนเดิม

    ส่วนตัวเขาน่ะเหรอ หลังจากเหล้าเข้าปากไปก็เอาแต่นั่งสังเกตการณ์เงียบ ๆ มาพักใหญ่แล้ว ที่เงียบไปนี่ก็กล่อมตัวเองอยู่ว่าเป็นเพราะฤทธิ์เหล้า ๆ ไม่ได้เศร้าซะหน่อย จริง ๆ นะ

    ก็ใจหายอยู่เหมือนกันที่ต้องแยกกันทำงานแล้ว แต่พอคิดว่าบริษัทแต่ละคนก็ไม่ได้ห่างไกลกันขนาดนั้นแล้วก็พอจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง ยิ่งเขากับกู่หลันตี้ที่บริษัทเรียกได้ว่าอยู่ในละแวกใกล้เคียงกันยิ่งไม่น่าห่วง

    จะห่วงก็แต่อีกคนที่เมาแอ๋หายไปนี่แหละ คนบ้านไกลกว่าเพื่อนหายไปจากโต๊ะพักใหญ่แล้ว ปิ่งเชามองเก้าอี้ว่างเปล่าฝั่งตรงข้ามที่เจ้าของพาดเสื้อคลุมลายพรางตัวเก่งทิ้งไว้แล้วก็ถอนหายใจ ถ้าฟังไม่ผิดเสียงอ้อแอ้บอกตอนลุกว่าไปห้องน้ำ ไม่รู้ห้องน้ำของติงเฟยจวิ้นอยู่ไกลถึงฮ่องกงหรืออย่างไรจนบัดนี้จึงยังไม่กลับมาเสียที

    ขณะที่เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาโดยไร้สาเหตุหางตาก็เห็นคนใส่เสื้อยืดสีขาวตะกายขึ้นบันไดไปตามลำพัง ร่างสูงลุกขึ้นพรวด ปากพึมพำบอกเพื่อนที่โต๊ะว่าจะไปห้องน้ำ ก่อนจะสับขายาว ๆ ขึ้นบันไดตามอีกคนขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าของร้าน

    ประตูชั้นดาดฟ้าไม่ได้ถูกปิดให้สนิท เมื่อออกแรงผลักเพียงเบา ๆ จึงเปิดออกอย่างง่ายดาย ลมเย็นพัดมาปะทะหน้า เบื้องหน้าคือแผ่นหลังของติงเฟยจวิ้นที่ยืนเกาะราวกั้นเหล็กของดาดฟ้าเอาไว้ เสื้อยืดสีขาวตัดกับสีดำของท้องฟ้ายามราตรี ไฟกลางคืนที่ร้านประดับย้อมให้ผิวกลายเป็นสีเหลืองนวล หัวเล็ก ๆ แหงนขึ้นมองท้องฟ้า แก้วคอสูงที่อยู่ในมือขวาเอียงกระเท่เร่

    "เฮ้"

    คนมาใหม่ส่งเสียงนำเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตกใจ เจ้าเครื่องบินลำน้อยหันมาตามเสียงพร้อมรอยยิ้มอวดเขี้ยวแหลมที่เขาชอบ ผมม้าที่ยังแข็งน้อย ๆ จากสเปรย์ถูกลมเอื่อย ๆ พัดให้เคลื่อนไหว มือข้างที่ไม่ได้ถือแก้วกวักเรียกเขาหย็อย ๆ

    "ดูดิ สวยเนอะ"

    คนตัวสูงพยายามมองตามสิ่งที่อีกคนชี้ชวนให้ดู

    "อะไรเหรอ"

    "ทั้งหมดเลยย นายดูดิ ๆ"

    คนตอบยกมือขึ้นเท้าคางกับราวเหล็ก ตาใสจ้องไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า

    ก็วิวเมืองธรรมดาที่ไฟถนนสว่างกว่าดวงจันทร์นั่นแหละ ถึงจะไม่เข้าใจเท่าไหร่ปิ่งเชาก็เลือกจะพยักหน้าเออออตามน้ำไป หน้าเฟยจวิ้นที่แดงเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ดูกำลังมีความสุข บางทีอย่าไปขัดใจคงจะดีเสียกว่า

    "เออ สวย แล้วทำไมขึ้นมาคนเดียว อะไรสวยไม่คิดจะแบ่งเพื่อนดูหน่อยเรอะ"

    "งั้นฉันควักลูกตานายออกแป๊บ"

    ว่าพลางยกมือที่ชูสองนิ้วขึ้นเตรียมจิ้มตาอีกฝ่าย ขณะเดียวกันแก้วในอีกมือที่ถือหมิ่นเหม่อยู่แต่แรกก็ทำท่าจะตะแคงหก มือสวีปิ่งเชาขยับเร็วเกือบเท่าความคิด นิ้วยาวกำรอบมืออีกคนให้ตั้งแก้วขึ้น

    "อ๊า ไม่อยากกินก็เอามานี่ เสียดาย"

    "อ๋อ นี่อะนะ"

    เฟยจวิ้นดึงแก้วกลับไปกระดก

    "เฮ้ยๆๆๆ"

    ลูกกระเดือกบนคอขาวเลื่อนขึ้นลงตามจังหวะการกลืน ปิ่งเชาเลื่อนสายตามองแก้วเปล่าที่ถูกวางลงบนพื้นอย่างเหวอ ๆ คนตัวเล็กโน้มตัวพาดราวเหล็กพร้อมส่งเสียงฮ้า

    "ดื่มเยอะเกินไปแล้วนะ!"

    "นั่นสิน้า"

    ร่างสูงมองรอยยิ้มรื่นเริงที่ประดับอยู่บนหน้าติงเฟยจวิ้นตั้งแต่เข้ามาที่ร้านจนถึงตอนนี้ ในหัวนึกถึงเนื้อเพลงที่เพิ่งจะขับร้องไปในงาน ความรู้สึกหลากหลายประเดประดังเข้ามาในอก

    แบกหน้ากาก พกรอยยิ้มเอาไว้

    เฟยที่มักจะใส่หน้ากากรอยยิ้มเอาไว้น่ะ ตอนนี้จะรู้สึกโหวง ๆ ในอกเหมือนเขาไหม

    ตารางงานจะไม่ตรงกันแล้วนะ

    แต่...ทีนี้เสี่ยวเฟยก็จะไม่ต้องเหนื่อยกับการบินไปบินมาแล้ว

    "นี่"

    เสียงคนตัวเล็กปลุกเขาจากภวังค์

    "หืม"

    "ยังอยากไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์อยู่มั้ย"

    คำถามที่โผล่มาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยเล่นเอาคนถูกถามงงไปชั่วขณะ

    "เอ่อ ก็อยากนะ แต่ป่านนี้ปิดไปแล้วมั้ง ถามทำไม"

    "อือ ถามไปงั้นแหละ"

    "เอ๊า อะไรของนาย"

    ปิ่งเชามองค้อนอีกฝ่ายไปอีกหนึ่งทีก่อนจะหันกลับไปมองภาพตึกรามบ้านช่องตรงหน้า ดู ๆ ไปความมืดกับไฟสีเหลืองพวกนี้ก็สวยดี

    พอได้ยืนนิ่ง ๆ ว่าง ๆ สมองโล่ง ๆ ก็ค่อย ๆ นึกออก ดิสนีย์แลนด์มีแต่ที่เซี่ยงไฮ้ซะที่ไหนล่ะ เจ้าบื้อเอ๊ย เขาหันขวับไปหาติงเฟยจวิ้น แขนขวาโอบไหล่เพื่อนตัวน้อยด้วยการเคลื่อนไหวที่คุ้นเคย รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก

    "เฟย นี่นายชวนฉันไปบ้านเหรอ"

    "อย่าสำคัญตัวเองผิดน่า ฉันก็ถามไปงั้นเอง"

    "ไป ๆ"

    "ก็บอกว่าถามไปงั้นไงเล่า โอบทำไมเนี่ย ร้อน"

    ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้สะบัดตัวออกจากอ้อมแขนเขาแต่อย่างใด ปิ่งเชายกมือขึ้นยีหัวคนตัวเล็กกว่าจนหัวน้อย ๆ ทิ่มลง ผมสีแชมเปญที่โดนขยี้ชี้ไปคนละทิศคนละทางเหมือนกับรังนก

    "โทษที มันชิน"

    "อันนี้ไม่เรียกว่าชินโว้ย ผมยุ่งหมดแล้ว พอๆๆๆ" แยกเขี้ยวโวยวายพลางยกมือขึ้นสางผมให้กลับคืนทรง

    "ให้พอก็ตอบก่อนว่าทำไมแอบขึ้นมาคนเดียว"

    "ไม่ได้แอบ"

    "วิ่งดุ๊ก ๆ มาคนเดียวบ้านฉันเรียกแอบ"

    "ก็บ้านฉันไม่ได้เรียกแอบ! บ้านเรียกฉิ่มหั่ง!"

    "…"

    ปิ่งเชาก็อยากจะเถียงต่อ แต่เจอมุกนี้เข้าไปก็ไม่อยากจะไปต่อแล้ว เขาปล่อยมือจากบ่าเฟยจวิ้น เบือนหน้าไปหาวิวเมืองตอนกลางคืนแสนสวยของเพื่อนด้วยสีหน้าเซ็งที่สุดในชีวิต ไอ้มุกเฉพาะทาง! ไอ้มุกส่วนบุคคล! ไอ้มุกบ้านไม่พูดกวางตุ้งเล่นไม่ได้!

    "ไม่เถียงเหรอ"

    "ไม่เป็นไรอะ ขอบคุณ"

    หัวที่เพิ่งได้รับอิสระเอียงลงแนบกับราวกั้นเหล็ก ตากลมช้อนมองเขาอย่างสงสัย

    "นายเป็นไรปะ ทำไมนิ่ง ๆ ดื่มเยอะไปรึไง"

    ก็หวังให้เป็นอย่างนั้นอยู่ ปิ่งเชากระตุกแก้มยิ้มเยาะตัวเอง ลำคอพ่นเสียงหึ

    "ใครจะดื่มแล้วติสท์ออกมาชมวิวดาดฟ้าคนเดียวอย่างนายล่ะ ดื่มมาก ๆ คอพังไม่รู้ด้วย"

    "ฉันเพิ่งดื่มเกินหนึ่งแก้วครั้งเดียวเองนะ!"

    "ก็ดี!"

    เฟยจวิ้นอมลมแก้มป่องสะบัดหน้ากลับไป ถ้าอยู่ในภาวะอารมณ์ปกติเขาคงแกล้งหยอกอีกฝ่ายให้เจ้าตัวมีเรื่องเถียงกลับต่อ แต่จู่ ๆ ดาดฟ้าตึกฝั่งตรงข้ามก็ปรากฏประกายสีเหลืองส้มของไฟเย็นขึ้น ทำให้เขานึกอยากจะนั่งชมวิวขึ้นมา

    "เฮ้ยๆๆๆ เมาเหรอนาย ฉันดื่มไปเยอะกว่าอีกนะ!"

    เพราะอยู่ ๆ เขาก็ทรุดตัวลงไปนั่งจึงทำให้คนที่อยู่ข้าง ๆ ตกอกตกใจเอื้อมมือคว้าไหล่เขาเก้ ๆ กัง ๆ รอยยิ้มน้อย ๆ ผุดขึ้นบนมุมปากสวีปิ่งเชา นิ้วยาวกำรอบข้อมือผอม ๆ ของติงเฟยจวิ้นแล้วดึงเบา ๆ ให้นั่งลงด้วยกัน

    "เป็นอะไร--"

    "สวยไม่ใช่เหรอ นั่งดูสิ"

    เขาไม่ได้หันไปมอง แต่ก็รับรู้ได้จากการที่คนตัวเล็กนิ่งไปว่าฝ่ายนั้นเห็นไฟเย็นแล้ว

    "...อารมณ์ไหนเนี่ย"

    "ไม่รู้ดิ"

    เศร้ามั้ง ปิ่งเชาไม่ได้พูดออกไป

    "เหมือนดอกไม้ไฟเนอะ นายว่ามั้ย"

    "อื้อ…"

    ปิ่งเชารอให้เฟยจวิ้นถามว่าเขาพูดเรื่องอะไรอยู่ แต่กลับได้คำตอบรับง่าย ๆ มา ตาคมเหลือบมองเพื่อนอย่างสงสัย ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า ในหัวกลายเป็นสีขาวโพลน

    ถึงจะยังยิ้ม แต่ดวงตาปริ่มน้ำของติงเฟยจวิ้นน่ะมองปราดเดียวก็เข้าใจแล้ว

    เขาวาดแขนขึ้นวางบนตำแหน่งที่คุ้นเคย มือตบบนหัวไหล่คนตัวเล็กปุ ๆ เป็นเชิงปลอบโยน เหมือนกับตอนที่ติงเฟยจวิ้นที่ตัวแดงเถือกไปหมดจากแสงแดดเกาะเชจูนั่งร้องไห้เงียบ ๆ ในรถ เหมือนกับตอนที่ติงเฟยจวิ้นจบการนำเสนอชื่องานแฟนมีตในที่ประชุมด้วยเสียงขาดห้วง เหมือนตอนที่ติงเฟยจวิ้นเห็นสมุดนับถอยหลังของกู่หลันตี้ครั้งแรก

    ‘ตอนที่ร้องไห้แล้วมีใครซักคนคอยอยู่เคียงข้าง มันมีความสุขมากครับ’

    เขาเพิ่งรู้ว่าเฟยให้สัมภาษณ์อย่างนั้นก็ตอนที่มาดูรายการเอาย้อนหลัง ติงเฟยจวิ้นที่พยายามทำตัวให้ร่าเริงแต่ก็ร้องไห้ได้น่าสงสารที่สุด เพราะส่วนสูงจึงถูกวางตำแหน่งให้อยู่คนละฟากกับเขา จึงมีบางครั้งที่ทำได้แค่วางมือบนบ่าหมิงเจ๋อแล้วภาวนาให้ความรู้สึกส่งไปถึงไหล่เล็ก ๆ ที่สั่นเทา

    แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว เขาบีบไหล่เฟยจวิ้นเบา ๆ

    "อย่าร้องดิ นั่นไฟเย็นนะ"

    "เจ้าบ๊องเอ๊ย มีเหรอฉันจะไม่รู้…"

    เขาก็ว่างั้นแหละ ปิ่งเชาแค่นยิ้ม

    ดอกไม้ไฟกับความฝันดี ๆ ซักฝันหนึ่งมีความคล้ายคลึงกัน ทั้งสองอย่างต่างก็สวยมาก แต่ก็เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และถูกกำหนดมาให้จบลงในเวลาอันสั้น ที่น่าเศร้าคือความจริงที่ว่า ความฝันอาจจะกลายเป็นสิ่งถาวรขึ้นมาสักวันหนึ่งได้ แต่ดอกไม้ไฟไม่ใช่ความฝัน ดอกไม้ไฟเป็นความจริง

    ติดไฟอย่างงดงามจริง ๆ หมดประกายก็สลายไปจริง ๆ และนั่นคือดอกไม้ไฟหนึ่งอัน

    ไม่ต่างอะไรกับซาโม่อู๋จื่อเลย

    น้ำตาที่ร่วงจากแก้มคนตัวเล็กสะท้อนกับแสงไฟ คนไม่ได้ร้องเอียงคอลงเพื่อมองหน้าอีกฝ่าย ภาพตรงหน้าคือติงเฟยจวิ้นที่นั่งหลับตาแต่หยดน้ำก็ยังไหลออกจากหางตาไม่หยุด ปากสีสดเม้มแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอึกสะอื้นไม่ให้หลุดจากลำคอ ปิ่งเชาขบกรามแน่น เขาเขยิบตัวเองเข้าไปใกล้แล้วคว้าหัวเฟยจวิ้นมากอด

    ทุกครั้งการนั่งมองเฟยจวิ้นร้องไห้ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดไปด้วย และครั้งนี้ความเจ็บปวดก็ดูจะมากเป็นพิเศษ

    การเดินทางที่ยาวไกลกว่าเดิมยังไงก็ต้องมาถึง เขาเข้าใจดี ใคร ๆ ก็ต้องเดินต่อไปทั้งนั้น แต่เขารักซาโม่อู๋จื่อ รักเหล่าเมมเบอร์ ยิ่งเฟยที่เป็นความสดใสให้เขาเสมอมานั้น เขายิ่งรัก

    รักจนอยากจะประวิงเวลาให้การเดินทางเลื่อนออกไปอีกสักหน่อย รักจนใจเจ็บไปหมดในวันที่ต้องเอ่ยคำลาขึ้นมาจริง ๆ

    "ไม่ต้องร้อง ๆ" บอกกับเฟย และบอกตัวเองด้วย

    เฟยจวิ้นตอบด้วยเสียงครางฮือกับคำพูดอู้อี้มากมายที่ฟังออกอยู่แค่ประโยคเดียว

    "…ยังไม่อยากแยกกัน…"

    ปิ่งเชาเอาหัวตัวเองซุกเข้ากับบ่าเล็ก ๆ

    "ฉันด้วย เฟย" มือใหญ่ลูบกลุ่มผมนุ่มเบา ๆ "ฉันด้วย"

    ไฟเย็นค่อย ๆ ดับไป แต่ก็มีคนจุดมันขึ้นมาใหม่ คราวนี้เป็นไฟเย็นสีรุ้ง ประกายสีสดใสสะท้อนกับลูกตาปิ่งเชาวาววับ

    "ที่ฉันเขียนไปในจดหมายน่ะ..." เขาเอ่ยเสียงค่อย ไม่คาดหวังให้ติงเฟยจวิ้นที่ในที่สุดก็ปล่อยโฮอยู่ในอ้อมแขนได้ยิน "ฉันจริงจังนะ"

    ตั้งใจร้องเพลง มุ่งมั่นตามความฝันของนายซะนะ ติงเฟยจวิ้น
    ถ้าทำอย่างนั้นได้ล่ะก็ เราก็จะมีโอกาสได้เจอกันมากขึ้นนะ
    นายน่ะต้องไม่เหมือนใคร
    แล้วเจอกัน นายกับฉัน นักร้องสวีปิ่งเชาและนักร้องติงเฟยจวิ้น

    ++++++++++

    กว่าติงเฟยจวิ้นจะร้องไห้เบาลงไฟเย็นที่ตึกฝั่งตรงข้ามก็ดับไปหมดแล้ว ขณะเดียวกันใครซักคนก็สับสวิตช์ไฟชั้นดาดฟ้าลง จอโทรศัพท์ของทั้งสองคนบนดาดฟ้าสว่างขึ้นพร้อมกัน แจ้งเตือนบอกว่าน้องเล็กหูเหวินเซวียนกำลังโวยวายหาสองคนที่หายไปอยู่ในห้องแชทซาโม่ให้กลับไปหาเพื่อน ๆ ได้แล้ว

    00.00 น. ตัวเลขบนโทรศัพท์บอกเวลาเช่นนั้น

    “ลงไปกันมั้ย” ปิ่งเชาเอ่ยถาม

    เฟยจวิ้นเอามือปิดหน้าตัวเองพลางสั่นหัวดิก

    “ตาแดงอะ นายลงไปก่อนเถอะ”

    “สีอายแชโดว์ไง”

    “อายแชโดว์บ้านนายทำให้ตาบวมได้ด้วยรึไง บอกให้ลงไปก่อน”

    “...งั้นฉันจะบอกว่านายขึ้นมาอ้วกแตกอยู่ข้างบน”

    “เจ้ายักษ์ปิ่งบ๊องนี่ ทำไมฉันจะต้องอ้วกแตกด้วยเล่า! ไปไหนก็ไปเลย”

    “อย่าตกบันไดคอหักนะ”

    “ไม่ได้เมาโว้ย ไปได้แล้ว ชิ่ว!”

    ปิ่งเชาลุกจากไปพร้อมเสียงหัวเราะ เฟยจวิ้นคว้าแก้วมากระดกของเหลวที่เหลือเข้าปาก จากนั้นจึงถือแก้วเปล่ายันตัวลุกขึ้นแล้วถอนหายใจเบา ๆ ในที่สุดก็มีโอกาสอยู่คนเดียวจริง ๆ ซักที มือเล็กกดมือถือสองสามทีแล้วยกส่วนไมโครโฟนขึ้นจ่อปาก

    "ก่อนเที่ยงคืน ดูไฟเย็นด้วยกัน ต้าปิ่งบ๊องปลอบฉันไม่ให้ร้องไห้ด้วย ตลกดี"

    ปากพูดไปอย่างนั้น มุมปากก็ยกยิ้ม แต่ดวงตาฉ่ำน้ำกลับไม่เห็นด้วย

    ซาโม่อู๋จื่อก็เรื่องนึง

    สวีปิ่งเชาก็คืออีกเรื่องนึง

    คนที่เพิ่งหันหลังจากไป หมื่นล้านถ้อยคำในใจจนวันนี้ก็ยังไม่ได้บอก

    ติงเฟยจวิ้นนึกอยากให้เสียงแผดร้องอย่างเจ็บปวดที่ได้ยินอยู่นี่ไม่ใช่เสียงของตน แต่น้ำตาร้อน ๆ ที่กลับมานองเต็มหน้าอีกครั้งก็ไม่ยอมให้ความจริงบิดพลิ้ว

    ต้องห่างกันแล้ว
    แล้วความรู้สึกของฉันล่ะ ฉันจะทำยังไงต่อไปดี
    จากนี้จะหาเรื่องให้ได้อยู่ใกล้นายอีกได้ยังไง
    เวลานายถ่ายแบบโป๊ ๆ จะยื่นมือไปบังก็ไม่ได้แล้ว คงต้องทำใจใช่มั้ย
    คนทึ่มที่ไม่กล้าจับมือฉันเต้นรำบนเวทีอย่างนายน่ะ
    ทำให้ฉันปวดใจขนาดนี้ สาแก่ใจแล้วใช่มั้ย สวีปิ่งเชา
    00:00
    ไม่ใช่เพียงเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของซาโม่อู๋จื่อ
    แต่มันมาถึงแล้ว เวลาที่ฉันกับนายจะได้อยู่ด้วยกันนับถอยหลังมาถึงการสิ้นสุด
    อะไรมากมายล้วนไม่พัดพาฉันกับนายไปทางเดียวกันเลย


    ในเมื่อไม่กล้าเสี่ยง สุดท้ายผลลัพธ์ก็ออกมาได้อย่างเดียวเท่านั้น

    ความเจ็บปวด ก็คือบทลงโทษของการแอบรัก



    //ถามว่าจบห้วน ๆ งี้เลยเหรอ ใช่ค่ะนี่คือแบบสั้น งานแก้บน งานไฟไหม้น้ำร้อนลวก
    แบบยาวยังอยู่ในดราฟต์ *หอนเป็นหมา* TTTT

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in