‘เรา’ อยู่ระหว่างทางจากสกอตแลนด์สู่ลอนดอน
“ไม่นะ ผมว่ากำลังดี”
และ — ความเงียบก็ทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง
ผมแทบไม่รู้หรอกว่า อะไรดลใจ ให้โทรไปถามพี่เค้าว่า จะกลับเข้าลอนดอนอีกเมื่อไหร่
หลังผมลุยเดี่ยว ไปสกอตช่วงหยุดยาว
หลังจากปิดกล้องการถ่ายละครอันแสนเหนื่อยล้า
ซึ่งผมแอบมาคนเดียวเงียบๆ
และคิดว่าคงดีกว่าต้องเสียเงินค่ารถกลับบ้านคนเดียวเหงาๆ
คงเป็นโชคดีของผม ที่พี่เขาตอบตกลง เพราะบังเอิญต้องเข้าลอนดอนพอดี
แต่.. ผมไม่คิดว่า เราจะมีเรื่องคุยกันน้อยขนาดนี้
ผมเคยคิดว่าเราสนิทกันแล้วซะอีก —
“เป็นไงบ้างฮะ กลับบ้านรอบนี้” ผมลองถามเรื่อยเปื่อย เป็นฝ่ายทำลายความเงียบดูบ้าง ก็..คงไม่เสียหาย
“ก็ดี เหมือนเดิมทุกครั้งที่กลับบ้าน”
“อืมม—“ นั่นซินะ ถามอะไรโง่ๆ
และ... เงียบ (อีกครั้ง) เงียบจนผมได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง รวมถึงของเขา เราเงียบกันไปอย่างนั้น จนรถเคลื่อนไปไกลพอสมควร
“ข้างหน้ามี service station นายอยากแวะซักหน่อยมั้ย”
“แวะฮะ ผมอยากแวะซื้อขนมนิดหน่อย” ผมรีบตอบตกลง อย่างน้อยมีอะไรให้กินระหว่างทางก็ยังดีกว่านั่งเหงาปากแบบนี้หละ
เขาปัดไฟเลี้ยวซ้าย ชลอรถ เพื่อเลี้ยวเข้าจุดพักรถระหว่างทาง
“คนเยอะเหมือนกันนะฮะเนี่ย”
หลังรถจอดสนิท ผมกำลังจะพุ่งตัวไป ถ้าไม่ติดว่าโดนคนตัวสูง ดึงฮูทด้านหลังไว้
“ไม่ต้องรีบ เดินดีๆ เรามีเวลาอีกเยอะ พี่ไม่ได้รีบอะไร” พลางแตะไหล่เบาๆให้ผมเดินนำไป และเขาก็เดินตามมาข้างๆ
ผมเดินวนไปวนมาในร้านสะดวกซื้อ หยิบขนมให้มากพอที่จะกินเล่นๆไปตลอดระยะทางที่เหลือจนกว่าจะถึงลอนดอน
มองหาใครอีกคน เห็นแว๊บหนึ่งว่าเดินไปโซน CD เพลง ผมเดินตามไป ทันเห็นเขากำลังอมยิ้มน้อยๆขณะกำลัง... ถ้าผมดูไม่ผิด คงกำลังถ่ายรูปละมั้ง
‘จะว่าไป ก็ไม่ค่อยเห็นคนซื้อ CD เพลงมานาน’
ผมหันหลังกลับเดินไป cashier เพื่อจ่ายเงินและออกไปยืนรอที่หน้าร้าน
เรากลับขึ้นรถอีกครั้ง รถเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนอย่างที่เขาบอกผมไว้
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม อาจเพราะเสียงเคี้ยวกรุบๆของผม เขาหันมามอง ผมจึงยื่นขนมแบ่งให้ (ความจริงผมซื้อมาเผื่อด้วยนั่นแล่ะ จะให้เคี้ยวกรุบๆคนเดียวมันก็ดูจะเขินๆไปนิด)
เขาละสายตาจากถนนด้านหน้าอีกครั้ง ยืนมือข้างหนึ่งมา เพื่อรับขนมจากผมไป
“นายช่วยหยิบแผ่น CD ในถุงข้างหลังมาเปิดหน่อยได้ไหม” เขาพยักเพยิดไปที่เบาะหลังคนขับ ผมเอื้อมมือหยิบ โดยไม่ทันได้สนใจว่าเป็นผลงานของใคร
แกะกล่อง หยิบแผ่นออกมาสอดเข้าเคลื่อนเล่นในรถ
เสียงดนตรีดังขึ้น มันไม่ใช่เพลง ...ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด มันเหมือนเสียงจากรายการ talk show หรืออะไรประมาณนั้น
ผมจึงหยิบกล่องมาดูอีกครั้ง
“พี่ชอบฟัง talk show เหรอฮะ”
เขาหันมายิ้มน้อยๆให้ผม
“อืม พี่ว่ามันตลกดีน่ะ คลายง่วงเวลาขับรถคนเดียว”
“ห่ะ ที่พี่เงียบๆ นี่พี่ไม่ได้ง่วงใช่มั้ยฮะ” ผมทำตาโต ทักเสียงดัง
เขาหันมาหัวเราะใส่ผม คงตลกหน้าตาตื่นตกใจเกินจริงของผมด้วยละมั้ง
“เปล่า ไม่ได้ง่วง พี่แค่กำลังมีสมาธิขับรถ”
“อ้อ ก็แล้วไป .. แต่จะว่าไปพี่ก็เหมือนคนแก่เลยแง่ะ ผมว่า ผมไม่ค่อยเห็นใครฟังอะไรผ่าน CD มาซักพักแล้วล่ะ อย่างน้อยเดี๋ยวนี้เค้าก็เลือกเพลงผ่านมือถือกันแล้วนะ พลางหันไปยิ้มทะเล้นให้เขา
เขาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ทำเพียงแค่อมยิ้ม เห็นลักยิ้มข้างแก้ม จากมุมที่ผมนั่งมันค่อนข้างชัด ผมชอบลักยิ้มนั่น —
หลังจากนั้นความเงียบก็เริ่มงานของมันอีกครั้ง แต่ผมรู้ว่ามันไม่เหมือนเคย
อืม มันสบายใจ....
นี่ละมั้ง ที่เค้าว่ากันว่า
‘ถ้าความเงียบระหว่างคนสองคน
คือความสบายใจ
คุณจะรู้เองว่าคุณได้เจอ
'คนของคุณ' แล้ว’ *
ก็แค่...นั่งเงียบๆ ข้างๆกันไป —
——————————————————
กลับมาอีกแล้วค่า
รอบนี้ไม่ได้มาแก้บนนะคะ
เรื่องราวเกิดจากที่เคยเจอโพสน์นี้ของคุณคนนี้ค่ะ
ด้วยใจที่มันคิดไปเรื่อย ชิปไปเรื่อย จึงเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาซะงั้นค่ะ 55
สำหรับอีกคนบนรถ เราไม่ได้เอ่ยชื่อ แล้วแต่ศรัทธาเลยนะคะ ถึงเราจะแอบมีชื่อในใจแล้วก็ตาม 555
แล้วอีกอย่างก็บังเอิญไปเจอ quotes นี้เข้าค่ะ⠀
“ When silence
between two people
is comfortable,
you know you have found
'YOUR PERSON' “
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in