เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
อ่านแล้วเล่าFayathi Sorap
อ่านแล้วเล่า : พฤติกรรมพยากรณ์ Predictably Irrational
  • ผู้เขียน : Dan Ariely
    ผู้แปล : พูนลาภ อุทัยเลิศอรุณ, วิโรจร์ ภัทรธีปกร
    สำนักพิมพ์ : Maxxpublishing
    จำนวนหน้า : 376 หน้า (อย่างไรก็ดี เวอร์ชั่นที่เราอ่าน มี 240 หน้า)
    ราคา : 270 บาท  
     

         สวัสดีค่ะ 

         ก่อนอื่น ขอโทษด้วยนะคะที่มาช้า วันนี้ยุ่งทั้งวันเลย ไหนจะงานตัวเอง ไหนจะงานเลี้ยงส่งบุคลากรผู้เกษียณอายุ หรือ ผู้จะย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ที่หน่วยงานอื่น อีก นี่เพิ่งมีโอกาสเปิดคอมเอง

         เราเคยเล่าถึงหนังสือ Predictably Irrational ตอนที่เขียนถึง Openlibrary ไปแล้ว วันนี้จะนำมาบอกเล่าเก้าสิบ ณ บัด now



         มีใครบางคนเคยบอกไว้ว่า มนุษย์แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น เพราะ มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเหตุผล

         หากข้อความข้างต้นเป็นความจริง ดังนี้ เมื่อคนเราจะตัดสินใจอะไรสักอย่าง มันจะต้องเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ เพราะเราใช้เหตุผลในการพินิจพิจารณา
         จริงหรือเปล่า ?
         คุณแดน ผู้เขียนเรื่องนี้ ถามว่า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆล่ะหรือ?


         “พฤติกรรมพยากรณ์” เกิดขึ้นจากคุณแดน ผู้เขียน ซึ่งเธอกล่าวว่าตัวเธอเป็นเป็นนักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม ที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ เธอได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับคนเราไว้มากมาย แล้วจึงลงมือหาคำตอบด้วยการคิดงานวิจัยขึ้นมาเพื่อไขข้อของใจในปัญหาที่เธอตั้งขึ้นเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์

         และจากการศึกษาทดลองนี้เอง คุณแดนได้ข้อสรุปว่า แท้จริงแล้ว คนเรานั้นไม่ได้ตัดสินใจโดยมีเหตุผลเชื่อถือได้เสมอไป การเลือกของคนเราบางครั้งก็ไร้เหตุผล ยิ่งไปกว่านั้น การไร้เหตุผลนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยมั่วซั่ว ตรงกันข้าม มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเป็นแพทเทิร์นและสามารถพยากรณ์ได้อีกด้วย

         นี่อาจเป็นที่มาของชื่อหนังสือ “Predictably Irrational” อันประกอบด้วยคำว่า Predictably ที่แปลว่า ที่สามารถทำนาย/คาดการณ์หรือพยากรณ์ได้ บวกกับคำว่า “Irrational” ที่แปลว่า ความไร้เหตุผล

         ในหนังสือ “พฤติกรรมพยากรณ์” ฉบับที่เราอ่านนี้ คุณแดนได้ยกตัวอย่างข้อสรุปจากงานวิจัยเธอขึ้นมาทั้งสิ้น 12 บท ด้วยกัน ทุกบทอ่านแล้วสะกิดความคิด กระตุ้นให้คนอ่านเปิดปากแสดงความเห็นและตั้งคำถาม(ซึ่งแน่นอนว่า หนังสือไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับแต่อย่างใด) บางบทก็ชวนให้คิดว่า มันเป็นอย่างนั้นทุกครั้งจริงๆหรือไม่ บางบทอ่านแล้วต้องตบเข่าดังฉาดว่า มันใช่


         ตัวอย่างบทที่ชวนคิด คือบทเกี่ยวกับเรื่อง “ของฟรี” คุณแดนชี้ว่าของฟรี หรือของแถมนั้น เป็นเทคนิคที่สามารถกระตุ้นยอดขายและเรียกความสนใจจากคนทั่วไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ อ่านแล้วก็ เอ๊ะ จริงเสมอไปมั้ย

         เราว่า ของแถมชวนให้ซื้อสินค้าได้ หากแถมในสิ่งที่เราสนใจ แต่ถ้าแถมในสิ่งที่เราเฉยๆหรือไม่สนใจ มันคงไม่ทำให้เราซื้อสินค้านั้นๆหรอก
         แต่...ก็เคยเห็นนะ คนที่ซื้อของนั้นของนี้ด้วยเหตุผลว่า เพราะมันมีของแถมไง หรือไม่ก็พวกชอบเรียกตัวเองว่า “เหยื่อการตลาด” แล้วกวาดสินค้าทุกชิ้นที่มีของแถม
         ...อืมมมม นะ


         ส่วนบทที่อ่านแล้วเห็นด้วยมากๆ คือบทเกี่ยวกับว่า การเอาธุรกิจกะสังคมมาผสมกัน ซึ่งอธิบายว่า บรรทัดฐานทางสังคมกับบรรทัดฐานทางธุรกิจ บางทีมันก็ไปด้วยกันไม่ได้ ตัวอย่างที่ยกมาคือ ถ้าใครทำอะไรให้เราด้วยความเต็มใจ แล้วเราเกิดไปบอกเขาว่า โอ้ แบบนี้เดี๋ยวจ่ายตังค์ให้แล้วควักเงินให้ มีความเป็นไปได้สูงมากว่า ผู้ให้จะเสียน้ำใจและเลิกให้อะไรกับเราแล้ว นั่นเพราะ การให้ มันคือน้ำใจทางสังคม แต่การที่เรายืนยันจะจ่ายเงินเขา มันคือการให้ค่าทางธุรกิจแต่เมินเฉยกับน้ำใจของผู้ให้ ผลคือมันทำร้ายจิตใจผู้ให้มากๆ และเราว่า มันจริง เพราะเราเคยเจอกับตัวเองแล้วเรารู้สึกว่า เราไม่อยากทำอะไรให้เขาอีกแล้ว

         อย่างไรก็ดี ถ้าคุณได้รับไมตรีและต้องการตอบแทนน้ำใจอีกฝ่ายจริงๆ การแสดงท่าทีรู้คุณ(เคยดีใจแบบเวอร์ๆกับของขวัญบางอย่างมั้ย แสดงอารมณ์แบบนั้นแหละให้อีกฝ่ายเห็น แค่อย่าให้ดูปลอมก็พอ) ตลอดจนการตอบแทนด้วยสิ่งของหรือความช่วยเหลือกลับไป จะทำให้ความสัมพันธ์ไปได้ราบรื่นกว่า เช่น เพื่อนมาช่วยคุณยกของ คุณก็ขอบคุณเพื่อนด้วยการพาไปเลี้ยงข้าว หรือพอถึงคราวเขาต้องการความช่วยเหลือ ก็ไปช่วยกลับคืน ไม่ใช่ควักธนบัตรจากกระเป๋าให้ อย่างนั้นก็รอคบแต่เพื่อนจอมปอกลอกได้เลย


         ตามความเห็นเรา เราว่าหนังสือเล่มนี้สนุกมากเลย เพราะทำให้เราพูดมาก พูดตอบหนังสือกลับไป...น่าจะทุกบทที่อ่านเลย คือจริงๆเราชอบอ่านหนังสือแนวนี้อยู่แล้วด้วย พอมาอ่านเรื่องพฤติกรรมมนุษย์ที่เราสนใจ เลยยิ่งได้ดั่งใจกันไปใหญ่

         ส่วนที่เราบอกว่า ฉบับที่เราอ่านมี 12 บท เพราะตอนที่เขียนบทความนี้เราเข้าไปดูรายละเอียดหนังสือ แล้วพบว่ามันมีฉบับใหม่ซึ่งเพิ่มเนื้อหาเข้ามาอีก 2 บท พอเห็นแล้วก็ อ้าว เออ ช่างมัน
         ใครมีโอกาสอ่านฉบับล่าสุดแล้วก็มาเล่าให้ฟังบ้างนะคะว่า อีกสองบทที่เพิ่มมานั้น เกี่ยวกับอะไรและสนุกเพียงใด


         อย่างไรก็ดี สำหรับใครที่อยากอ่านและจะรอมือสอง ขอแสดงความเสียใจค่ะ มือสองของหนังสือเล่มนี้ที่ขายใน shopee ราคาแพงหูฉี่กว่าฉบับมือหนึ่งอีก ส่วนราคามือหนึ่งฉบับล่าสุดเห็นว่าราคาเต็ม 270 บาท นะคะ
         สุดท้ายและท้ายสุด ใครที่ไม่อยากเสียเงินซื้อ พออ่านภาษาอังกฤษออก และไม่ยี่หระกับการอ่านเวอร์ชั่นดั้งเดิมแล้วล่ะก็
         แนะนำให้หาอ่านที่ openlibrary.org นะคะ


         เราก็อ่านจากเว็บนี้เหมือนกัน ?


         สวัสดีค่ะ


         ก่อนจบ ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ เนื่องจากตั้งแต่ประมาณ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นมา ทาง minimore เปลี่ยนรูปแบบเว็บใหม่ ผลที่เกิดขึ้นคือ งานเขียนเรา...ไม่มีคนอ่านเลย (คาดว่าหาเจอยาก)ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป เราจึงตัดสินใจกลับไปเขียนเรื่องราวในบล็อกเดิมของเราแทน คุณผู้อ่านที่ถูกจริตในงานเขียนของเรา สามารถติดตามไปอ่านได้ที่ 
         ขอบพระคุณสำหรับการติดตาม และขอบคุณทาง minimore ที่ให้พื้นที่เราได้ขีดๆเขียนๆเรื่องราวตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้
         จนกว่าจะพบกันใหม่
         สวัสดีค่ะ 
        



         

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in