ผู้เขียน : Mentalist Daigo  ผู้แปล : ธนัญ พลแสน 
สำนักพิมพ์ : เอ็ม ไอ เอส 
จำนวนหน้า : 256 หน้า  
ราคา : 150 บาท
      มีหนังสือหลากเล่มหลายผู้เขียน ที่กล่าวถึงเทคนิคของการเจรจาต่อรอง เพื่อให้ผู้อ่านนำไปใช้ประโยชน์ในการติดต่อสื่อสารกับคนรอบข้าง ซึ่งแต่ละเล่มก็จะมีเทคนิควิธีที่เน้นแตกต่างกันออกไป
     "วิชาอ่านใจ ให้อีกฝ่ายปฏิเสธไม่ลง" ก็เป็นหนึ่งในหนังสือแนวนี้ 
     ก่อนที่จะเปิดอ่านก็พบว่า หนังสือเล่มนี้มีวิธีกระตุ้นความสนใจที่แปลก เพราะส่วนล่างของหน้าปกนั้นระบุว่า >>กรุณาเริ่มอ่านตั้งแต่หน้า 17
     ตลกมั้ยล่ะ
     แต่เผอิญเป็นคนอ่านที่ดื้อ จึงไม่ได้เปิดไปหน้า 17 ทันที ยังคงเริ่มต้นการอ่านเหมือนหนังสือเล่มอื่นๆ คือเปิดตั้งแต่หน้าแรกไปเรื่อยๆ แล้วอ่านไปเรื่อยๆ จนจบเล่ม
  
	
     หลังจากอ่านแล้วก็สรุปได้ว่า เทคนิคที่หนังสือเล่มนี้แนะนำสำหรับการเจรจาก็คือ "การอ่านใจ" ดังที่ปรากฏอยู่แล้วในชื่อเรื่องนั้นเอง
     แล้วการอ่านใจคืออะไร?
     เปล่าหรอก การอ่านใจในเล่มนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เห็นกันในภาพยนตร์ซึ่งมีหมอดูแม่นๆผู้ที่แค่มองเข้าไปในตาอีกฝ่ายก็รู้ว่าคิดอะไรอยู่ และก็ไม่ใช่การเสี้ยมสอนให้ใช้เวทมนตร์คาถาที่เสกปุ๊บรูปคำพูดลอยออกมาจากหัวแบบในการ์ตูน
     การอ่านใจที่เล่มนี้พูดถึง คือการเป็นคนช่างสังเกตพฤติกรรมของผู้ที่เราติดต่อด้วย ต่างหาก
       ความคิดนั้นไม่มีเสียง แต่มีเงา นั่นคือความคิดหลายๆอย่างของคนเราสามารถถูกสะท้อนออกมาได้จากปฏิกิริยาทางร่างกาย เช่นว่า หากใครสักคนคุยกับเราอยู่แต่เขาไม่อยากคุยแล้ว เขาอยากกลับบ้าน แม้เจ้าความคิดว่า "อยากกลับบ้าน" จะไม่ถูกเผยออกมาจากปากเจ้าตัว แต่หากเราสังเกตที่เท้า เราอาจพบว่า ปลายเท้าของเขาไม่ได้หันมาทางเรา แต่หันไปที่ประตูทางออก แปลเป็นนัยๆได้ว่า "ตูอยากไปแล้ว"
     เหล่านี้ คือสิ่งที่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ กระตุ้นให้เราสังเกต
        ผู้เขียนได้ถ่ายทอดเทคนิคต่างๆผ่านตัวอักษร ในลักษณะกึ่งหนังสือ กึ่งงาน presentation ที่บอกว่าเป็นกึ่งงาน presentation เพราะนอกจากจะมีเนื้อหาเป็นย่อหน้าๆทั่วไปแล้ว ในหนังสือยังแบ่งเนื้อหาบางส่วนย่อลงในกรอบข้อความ และการ์ตูน คล้ายๆกับการทำ power point นำเสนอรายงาน บางทีผู้เขียนอาจอยากให้รายละเอียดเหล่านี้เป็นที่สนใจและจดจำมากขึ้น
        แน่นอน ในการเจรจา นอกจากเทคนิคการอ่านใจแล้ว ก็มีเทคนิคการพูดจาปราศรัยด้วย เพราะหากสังเกตอย่างเดียวไม่ทำอะไรเลย การสื่อสารคงไม่เกิดขึ้นแน่ ในทางกลับกัน หากเอาแต่พูดๆๆๆ โดยไม่สนใจท่าทีของอีกฝ่ายเลยนั้น ย่อมเสี่ยงที่จะถูกเมินหรือถูกเกลียดได้เช่นกัน
        มีหัวข้อหนึ่งที่อ่านแล้วสะกิดใจมาก นั่นคือ "ยิ่งเป็นคนเงียบ ความจริงยิ่งอยากพูด" ที่อธิบายว่า การผูกมิตรกับคนเงียบเผลอๆอาจจะง่ายกว่าคนคุยเก่งเสียด้วยซ้ำ ด้วยเหตุผลคือ ปกติคนเหล่านี้ไม่ค่อยเปิดใจ แต่ถ้าให้ใจใครแล้วคือให้เลย ซึ่ง....ในฐานะคนเงียบคนหนึ่ง บอกเลยว่า จริงมาก และท่อนที่จี้ใจดำที่สุดนั่นคือ คนเงียบนั้น "ความจริงแล้วอยากคุยแต่คุยไม่เป็น" ซึ่งก็เป็นความจริงอีกเช่นกัน
     กลัวคนอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วใช้เทคนิคในหนังสือมาตีสนิทเพื่อหวังประโยชน์จังเลย...
     จริงๆแล้ว ตอนที่เปิดหนังสือเล่มนี้อ่านไปเรื่อยๆก็เกิดความรู้สึกว่า อ่านไปจะได้ใช้หรือเปล่าหนอ เพราะหนังสือจะพูดคล้ายๆว่า เทคนิคเหล่านี้สามารถใช้ในธุรกิจและการหาลูกค้าโน่นนี่นั่น
     ตายแล้ว ไม่ได้ทำอาชีพพวกนี้
      แต่พออ่านๆไปแล้วก็คิดว่า เออ หลักการบางอย่างในหนังสือ ก็อาจจะนำไปใช้ได้จริงๆในการพูดคุยทั่วไปโดยที่ไม่จำต้องหวังผลเป็นธุรกิจ แต่หวังผลในทางชนะใจและมิตรภาพ ก็ได้อยู่นะ จึงสามารถอ่านๆไปได้จนจบเล่ม (จริงๆถ้าไม่แย่จริงๆ นี่ก็อ่านได้จบทั้งนั้นแหละ ฮ่า พูดเพื่อ) เอาเป็นว่าสามารถอ่านจนจบเล่มได้แบบไม่ต้องอ่านไปด่าไป ก็แล้วกัน
     แต่ถามว่าได้เอาไปใช้ในชีวิตจริงแค่ไหน ? 
     ทุกวันนี้ก็ยังเงียบเหมือนเดิม คุยเป็นตัวอักษรเก่งกว่าเป็นคำพูดเหมือนเดิม และก็ยังแอบหวังลมๆแล้งๆให้โลกใบนี้หันไปติดต่อสื่อสารทางการเขียนมากกว่าการพูดเสียที เผื่อจะได้ยกระดับเป็นคนคุย(เขียน)เก่ง กับเขา ขึ้นมาบ้าง 
     
     นี่อะไร อ่านหนังสือพรรค์นี้กี่เล่มกี่รอบ ก็ยังเงียบเท่าเดิม จะพูดจะจาทีต้องร่างสคริปเป็นวันๆเหมือนเดิม และพอสถานการณ์ผิดแผน ก็เลิกลั่กแบบเดิม เฮ้อ
     เอวังก็ด้วยประการฉะนี้แล...
         ก่อนจบ ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ เนื่องจากตั้งแต่ประมาณ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นมา ทาง minimore เปลี่ยนรูปแบบเว็บใหม่ ผลที่เกิดขึ้นคือ งานเขียนเรา...ไม่มีคนอ่านเลย (คาดว่าหาเจอยาก)ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป เราจึงตัดสินใจกลับไปเขียนเรื่องราวในบล็อกเดิมของเราแทน คุณผู้อ่านที่ถูกจริตในงานเขียนของเรา สามารถติดตามไปอ่านได้ที่
     https://alwaysfay.blogspot.com/2023/02/blog-post.html     ขอบพระคุณสำหรับการติดตาม และขอบคุณทาง minimore ที่ให้พื้นที่เราได้ขีดๆเขียนๆเรื่องราวตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้
     จนกว่าจะพบกันใหม่
     สวัสดีค่ะ 
 
				 
			
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in