‘DaVinci’ พฤศจิกายน 2018
ผ่านมาแล้วห้าวัน ผมหาเวลาว่างเปิดคอมพิวเตอร์กดแป้นพิมพ์เปาะแปะตั้งใจจะเขียนข้อความอะไรสักอย่าง คิดโน่นคิดนี่แล้วกดปุ่ม delete รัวๆ กด “เลือกทั้งหมด→ลบ” ซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เดดไลน์วันพรุ่งนี้แล้วแท้ๆ
ครั้งนี้ผมได้รับการเสนองานจากนิตยสารด้านวรรณกรรม “DaVinci” ให้เขียนคอลัมน์ประจำความยาว 2000 ตัวอักษร ทำไมถึงเสนองานให้นักแสดงที่ไม่มีอะไรอย่างผมนะ? เขาแน่ใจแล้วเหรอ? ผมรู้สึกประหลาดใจแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งด้วย ผมไม่เกลียดการเขียนความเรียงอะไรและผมเองก็มีความต้องการอยากขยายพื้นที่การแสดงของตัวเองอยู่เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นมันก็เท่ดีนะถ้ามีโอกาสได้ออกหนังสือความเรียงอะไรแบบนั้น ทว่าแม้ผมจะตอบรับว่าทำครับ! ไปอย่างง่ายดาย แต่จะเขียนอะไรดีล่ะนี่ ผมสะดุดกึกตั้งแต่เริ่ม ดังนั้นผมจึงนั่งท่าทางห่อเหี่ยวอยู่กลางดึก 5 วินาทีก่อนเที่ยงคืนเช่นนี้...
สักวันผมอยากให้ผู้หญิงที่เดินอยู่ในเมืองมาทักว่า “อ่านหนังสือแล้วนะคะ! คุณมีพรสวรรค์ด้านการเขียนด้วยนะคะเนี่ย!” เธอน่าจะเป็นผู้หญิงอายุสักยี่สิบปลายๆ ใส่ชุดสูทกางเกงกับแว่นตา ดูเป็นผู้หญิงฉลาดก็คงดี หญิงสาวที่โดยปกติแล้วเพื่อนร่วมงานบอกว่าเธอเป็นคนเท่ๆ แต่เมื่อเจอนักแสดงควบนักเขียนความเรียงอย่างผมในเมืองโดยบังเอิญ เธอก็ส่งสายตาเป็นประกายมาที่ผมแล้วเข้ามาทักทายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น สถานที่คือด้านหลังห้าง Tokyu Hands ชิบุยะ ในช่วงบ่ายของต้นฤดูร้อนที่ปลอดโปร่งและมีคนผ่านไปมาไม่มากนัก พอคิดมาจนถึงฉากที่ได้เจอกัน ผมก็เกือบทำกาแฟที่กำลังดื่มอยู่หก ดึงตัวเองกลับมาสู่ความเป็นจริงก่อน นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องแบบนี้ ขณะนี้คือปีเฮย์เซที่ 30* คืนก่อนเดดไลน์ ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งเผลอใช้เวลานานประมาณสูบบุหรี่หมดสามมวนไปอย่างเปล่าประโยชน์กับการนั่งคิด “3 เรื่องที่อยากทำที่สุดถ้าได้ไปออกรายการ ‘Shabekuri 007’” ไม่ใช่รึไง “มีสมาธิสิ สมาธิ!” เสียงตะโกนของกัปตันอากางิแห่งทีมโชโฮคุ*ดังกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ การนั่งเผชิญหน้ารับแสงบลูไลท์จากหน้าจอคอมพิวเตอร์กลางดึกผ่านลูกตาไปเรื่อย ๆ แบบนี้ทำให้ผมเริ่มไม่เข้าใจตัวเองว่า “นี่เราอยากเขียนอะไรกันแน่นะ?” และต่อให้ในหัวปิ๊งเรื่องที่อยากถ่ายทอดขึ้นมาได้เหมือนแผ่นขนมปังปิ้งที่เด้งออกมาตอนปิ้งเสร็จ แต่เมื่อช่วง “เกริ่น” และ “สรุป” ของเรื่องราวร่วงหล่นลงในสมองราวกับขนที่อ่อนนุ่มของดอกแดนดิไลออนที่ปลิวหลงเข้ามาในห้อง “เอาล่ะ!” ทันทีที่ผมเริ่มเคาะคีย์บอร์ดนั่นละ “จิตสำนึก” ที่ยุ่งยากก็เริ่มตามติดนิ้วของผม “นี่เราพยายามทำเท่อะไรอยู่เนี่ย!” ผมอยากจะทึ้งหัวตัวเองขึ้นมา แล้วก็กดปุ่ม delete รัว ๆ เหมือนทาคาฮาชิ เมย์จิน* ตอนกดคอนโซลเกม จากนั้นก็เริ่มทำสิ่งที่ตัวเองเก่งอย่างการหนีความจริงจนถึงตอนนี้ ทำไมผมถึงไม่สามารถเขียนออกมาได้อย่างลื่นไหลนะ ผมอยากเริ่มต้นด้วยการอุปมาเปล่าประโยชน์และร้อยเรียงถ้อยคำที่ไม่ปรุงแต่งออกมาได้อย่างผ่อนคลาย ผมอยากเขียนข้อความที่ไม่เป็นเพียงแค่น้ำใสบนพื้นผิว ทว่าเป็นข้อความที่เหมือนช้อนตักโคลนตมที่ตกตะกอนอยู่ใต้ก้นบึ้งขึ้นมาได้
สิ่งที่เรียกว่าจิตสำนึกส่วนตนนั้นเป็นสิ่งที่สร้างความรำคาญเหลือเกิน ผมคิดว่าตัวเองทิ้งมันไปนานแล้ว แต่มันกลับเผยออกมาตรงโน้นทีตรงนี้ทีอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ตัวอย่างเช่น เมื่อวันก่อนตอนผมไปดื่มกับเหล่านักแสดงร่วมในงานที่กำลังถ่ายทำอยู่ นักแสดงหญิงรุ่นพี่ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ พูดขึ้นมาว่า “ขอโทษนะ เมื่อเช้าตอนถ่ายฉากxxฉันเครียดมากเลย ที่จริงแล้วมันมีหลายๆ เรื่องจนทำให้โทโมยะอึดอัด เธอรู้สึกใช่ไหม?” ผมจำเหตุการณ์นั้นไม่ได้เลยสักนิด แต่วินาทีต่อมาผมก็สวมหน้ากากรุ่นน้องแสนดีแสร้งว่าเข้าใจแล้วตอบว่า “อืม ผมก็คิดอยู่ว่าท่าทางคงลำบากน่าดูนะครับ” น่ากลัวเนอะ หลังจากนั้นไม่นานนักแสดงหญิงรุ่นน้องที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามก็พูดว่า “หลังพักกลางวันฉันง่วงมากๆ จนไม่มีสมาธิ แล้วหันไปสบตากับโทโมยะซังพอดี ฉันว่าโทโมยะซังต้องจับได้แน่เลยค่ะ (หัวเราะ)” เธอพูดอะไรน่ะ? เราสบตากันด้วยเหรอ? แต่วินาทีต่อไปผมก็สวมหน้ากากรุ่นพี่ผู้พึ่งพาได้แล้วพยักหน้าพูดว่า “เนอะ ดูล่องลอยเชียว แต่ทุกคนก็มีวันแบบนี้ทั้งนั้นละ” โคตรน่ากลัวเลย นี่ผมอยากให้คนอื่นมองว่าตัวเองเป็นยังไงกัน? อายุสามสิบกว่าแล้วยังอยากเป็นที่ชื่นชอบอยู่งั้นเหรอ? แล้วทำไมพวกเธอถึงคิดว่าผมรู้ทุกเรื่องล่ะ? ทั้ง ๆ ที่ผมน่ะส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่เหม่ออยู่ก็กำลังจมอยู่กับบทพูดของตัวเองอยู่แท้ๆ อย่าคาดหวังอะไรกับผมมากเกินไปเลย เพราะเดี๋ยวผมจะเผลอทำตัวเท่ๆ ออกไป แล้วพอกลับบ้านก็ได้แต่นั่งเกาหัวงง ๆ อยู่คนเดียวอีกตามเคย
มาลองคิด ๆ ดูแล้วผมมีนิสัยแบบนี้ตั้งแต่เด็ก ผมมักสัมผัสถึงความคาดหวังของคนรอบข้างได้อย่างรวดเร็ว และผมก็ติดนิสัยฝืนสวมบทบาทในสิ่งที่คนอื่นต้องการเพื่อทำให้พวกเขาสบายใจ เพื่อนที่รู้จักกันดีมักบอกว่า “โทโมยะใจดีไง” แต่ผมสงสัยนะว่าแบบนั้นมันดีจริงเหรอ? ท้ายที่สุดแล้วผมรู้สึกว่าผมแค่อยากคิดว่าตัวเองเป็นคนใจกว้างและอยากรู้สึกดีกับตัวเองเท่านั้น ผมรู้สึกว่างเปล่าขึ้นมาเมื่อคิดว่า เฮ้อ ตัวเองนี่ช่างเป็นคนใจแคบอะไรอย่างนี้ และหลังจากที่เขียนมาเรื่อย ๆ จนถึงตรงนี้ ผมก็ตระหนักว่าต้นฉบับความเรียงแรกของผมกลายเป็นเหมือนเป็นแค่การให้คำปรึกษาปัญหาไปเสียอย่างนั้น และผมก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาอีก นี่ก็เป็นจิตสำนึกของผมงั้นเหรอ อ่า...จะเกิน 2000 ตัวอักษรที่สัญญากันไว้แล้ว ผมสาบานว่าจะเขียนคอลัมน์ประจำนี้ต่อไป อย่างน้อยก็เพื่อตอบสนองความคาดหวังของคนที่มอบโอกาสในการทำงานนี้ให้ผม และตอนนี้คือ 5 วินาทีก่อนเช้า...
--------------------------------------------------
*ปีเฮย์เซที่ 30 - ปี 2018
*กัปตันอากางิแห่งทีมโชโฮคุ- กัปตันทีมบาสเกตบอลจากการ์ตูนเรื่องสแลมดังก์
*ทาคาฮาชิ เมย์จิน - อดีตโปรดิวเซอร์เกมซึ่งเป็นที่รู้จักจากการมีทักษะในการรัวนิ้วเล่นเกมได้อย่างรวดเร็ว
นากามุระ โทโมยะ - เขียน
มีน เกวลิน - แปล
StockSnap from Pixabay - Cover Photo
--------------------------------------------------
Translator's Note - บทนี้เข้าสู่ส่วนที่เป็นบทความที่โทโมยะเขียนเพื่อตีพิมพ์ในนิตยสารแล้วค่ะ (ในที่สุด?) - ความสม่ำเสมอในการอัพยังไม่ค่อยมีอีกตามเคย เพราะทุกวันนี้ To-do List ยาวมากจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่การนั่งแปลความเรียงของโทโมยะนี่เป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่ทำได้อย่างเพลิดเพลินแท้ ๆ แต่ยังไม่สม่ำเสมอสักที ขอโทษด้วยนะคะ?♀️
- ขอให้อ่านให้สนุกค่ะ ^^
เข้าใจความรู้สึกของโทโมยะเลยค่ะ ตอนที่จะลงมือเขียนอะไรสักอย่าง แล้วต้องประจันหน้ากับกระดาษเปล่า จนเวลาผ่านไปนานก็ยังเขียนไม่ออก?
อ่านจบแล้วเหมือนได้กลับมาย้อนคิดกับตัวเองเลยว่า เราเป็นคนยังไงกันแน่ เราอยากให้คนอื่นมองเราแบบไหน สิ่งที่แสดงออกไปใช่ตัวตนจริงๆ ของเราไหม อืม ล้ำลึก ??
ปล.ชอบคำแปลตรง "ต่อให้ในหัวปิ๊งเรื่องที่อยากถ่ายทอดขึ้นมาได้เหมือนแผ่นขนมปังปิ้งที่เด้งออกมาตอนปิ้งเสร็จ" มากๆเลยค่ะ ชอบการเลือกใช้คำแปล "ปิ๊ง" กับ "ปิ้ง" สวยมากเลยค่ะ ?? จะติดตามอ่านต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ ?♥️