เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Minimore Sessionwichstandup
คำสารภาพของผู้เข้าร่วม 'Minimore Session' คนหนึ่ง
  • ผมขอสารภาพว่า แม้ผมจะได้เข้าร่วมใน 'Minimore Session 01 - Travelogue' ว่าด้วยเรื่องการเขียนบันทึกเดินทาง โดย 'คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง' และ 'ธนชาติ ศิริภัทราชัย' แต่ผมยังไม่เคยอ่านงานของคันฉัตรเลย และเคยเพียงชิมงานของธนชาติมานิดหน่อยเท่านั้นเอง

    จากบันทึก Session 01 - Travelogue ตามโจทย์ที่ Minimore กำหนดว่าให้เขียนถึงการเดินทางที่อยากเล่าต่อ เพื่อสมัครเข้าร่วม Minimore Session ผมเขียนถึงทัศนคติของผมที่มีต่อการเดินทาง จากคนไม่ชอบเที่ยวจนมีเหตุให้มันเปลี่ยนไปเป็นคนชอบเที่ยวในปัจจุบัน โดยเล่าถึงการเดินทางครั้งที่อยากเล่าต่อเพียงคร่าวๆเท่านั้น นั่นเพราะผมเขียนมันออกมาไม่ได้ 

    ผมพยายามเขียนบันทึกการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆอยู่หลายครั้งแต่มันไม่เคยสำเร็จสักครั้ง 

    ซึ่งแท้จริงแล้วผมใช้การเขียนเพื่อทำมาหากินมาตลอด โดยมากจะเป็นงานจำพวกบทความ บทสัมภาษณ์และบทโทรทัศน์เพื่อตอบโจทย์ของลูกค้า

    ถ้าพูดในแง่ทักษะการเขียน 'งานที่ผมทำอยู่' กับ 'บันทึกการเดินทาง' คงไม่ต่างกันนัก แต่มันกลับต่างกันมากในแง่ความคิด สำหรับผมการเขียนบันทึกการเดินทาง มันคือการเขียนเรื่องส่วนตัวเกินไป แล้วผมเป็นใคร คนทั่วไปจึงอยากอ่านความคิดและชีวิตของผม มันเป็นความคิดตัวปัญหาที่ทำให้ผมไม่เคยเขียนมันเสร็จเสียที ตอนเริ่มลงมือแรกๆก็รู้สึกมีพลังงานเต็มเปี่ยม อยากเขียนเต็มที่ แต่ก็ค่อยๆลดลงและเริ่มรู้สึกว่า ไม่สนุกที่จะเขียนมันต่อ แล้วก็หยุดเขียนไปในที่สุด

    ความคิดตัวปัญหาถัดไปที่ทำให้ผมไม่เคยเขียนบันทึกการเดินทางได้สำเร็จ อาจเกิดขึ้นเพราะผมเริ่มต้นการเขียนจาก 'เรื่องสั้น' จนมีเรื่องได้ตีพิมพ์ตามพื้นที่วรรณกรรมต่างๆ ได้ทำออกมาเป็นรูปเล่ม จนไปถึงได้รับรางวัลด้านวรรณกรรมต่างๆบ้าง จึงทำให้ตนเองยิ่งมีความเชื่อมั่นว่า

    สำหรับ 'เรื่องแต่ง' (fiction) จะทำให้มันลึกลับซับซ้อนหรือส่วนตัวแค่ไหนก็ย่อมได้รับความสนใจในความรู้สึกผม แต่กับงานเขียนที่เรียกว่า 'บันทึก' มันย่อมต้องมาจากเหตุการณ์หรือความคิดตามความเป็นจริงทั้งสิ้น และเป็นความจริงโดยบริสุทธิ์เท่านั้น

    ตอนที่ผมพยายามเขียนบันทึกเดินทางที่เพิ่งผ่านไป ผมรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังเขียนเล่าอยู่นั้น มันไม่ใช่ความคิดในช่วงเวลาการเดินทางจริงๆ แต่มันเป็นความคิดที่ผมเพิ่มเติมเข้าไปหรือเพิ่งคิดได้ตอนที่กำลังนั่งเขียน ผมคิดว่า มันไม่ใช่! มันไม่ใช่ความจริงที่เกิดขึ้นตอนนั้น! ผมเสริมแต่งมันเข้าไปให้สวยงามเกินจริง หรือไม่ก็ทำให้มันผาดโผนเกินจริง ซึ่งมันขัดกับความเชื่อในเรื่อง 'ความจริง' และ 'เรื่องแต่ง' ของผมอย่างรุนแรงจนหยุดเขียนมันในที่สุดอีกเช่นกัน

    แต่ผมก็ยังไม่ยอมแพ้ ผมแก้ปัญหาด้วยการพกสมุดเล่มเล็กๆติดตัวไว้ตลอดเวลา และเมื่อเกิดความคิดหรือมีเหตุการณ์อะไรที่น่าจดจำ ผมจะหยิบมันขึ้นมาจดในฉับพลันทันที แต่ปัญหาก็คือ ผมจะกลายเป็นคนที่จมอยู่กับสมุดบันทึก เนื่องจากผมต้องใช้เวลาในการสรรหาคำ เรียบเรียงมันตามความคิดหรือตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าซึ่งมันผ่านไปแล้ว ทำให้ต้องละความสนใจจากเหตุการณ์ใหม่ๆที่กำลังผ่านเข้ามา

    และในขณะที่ผมจรดปากกาลงบนกระดาษนั่นเอง ผมก็เข้าใจกระจ่างทันทีว่า ผมไม่มีทางจดบันทึกความจริงอันสัมบูรณ์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าได้เลย มันเป็นเพียงช่วงเสี้ยวของเสี้ยววินาทีเท่านั้น อันที่จริงแล้วมันหลั่งไหลไปตามกาลเวลา ผ่านมาแล้วก็ผ่านเลยไป และถึงแม้จะมีเทคโนโลยีอะไรที่ทำให้จดความจริงเหล่านั้นได้ มันก็เป็นเพียงการบรรยายเหตุการณ์ในมุมมองของผมเท่านั้น ซึ่งมิใช่ความจริงที่ตามหาอยู่ดี

    หรือแม้แต่การจดความคิดของผมที่เกิดขึ้นขณะนั้นๆ มันก็ผ่านการกลั่นกรองและคัดเลือกคำจนบางทีก็บิดเบี้ยวไปจากความคิดในตอนแรกไม่มากก็น้อย ด้วยข้อจำกัดด้านภาษาหรือไม่ก็เพียงเพราะต้องการให้มันได้ประโยคที่สวยงามหรือคมคาย

    เมื่อผมรู้จักกับความคิดตัวปัญหาของตนเองแล้ว ก็เชื่อมั่นว่าจะจัดการกับมันได้ ซึ่งจะทำให้เขียนงานประเภทบันทึกโดยเฉพาะบันทึกการเดินทางให้เป็นรูปเป็นร่างได้สักวันหนึ่ง ฉะนั้นทุกครั้งที่เดินทางแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ผมจึงพยายามเขียนมันออกมา 

    ผมจัดการกับปัญหาเรื่องการจดบันทึกความจริงได้แล้ว โดยตั้งใจไว้เสียแต่แรกเลยว่า ตนเองกำลังเขียน 'บันทึกจากความทรงจำในการเดินทาง' มิใช่การบันทึกความจริงอันสัมบูรณ์อย่างที่เคย มันช่วยให้ผมไม่ไปคำนึงถึงนิยามของความจริงมากนัก 

    แต่ปัญหาเรื่องความรู้สึกที่ว่า สิ่งที่เขียนนั้นยังไม่น่าสนใจสำหรับผู้อ่านทั่วไปก็ยังคงอยู่ แล้วความไม่สนุกในการเขียนก็ทำให้มันสะดุดหยุดลงเช่นเคย บางการเดินทางไม่ได้สิทธิ์จะออกมาเป็นตัวหนังสือเลยแม้แต่ตัวอักษรเดียว

    อย่างไรก็ตามผมเชื่อมั่นในวิทยากรทั้งคู่ว่าจะทำให้ผมหลุดออกไปจากวังวนความคิดที่เป็นอุปสรรคต่อการเขียนบันทึกเดินทางของผมได้ เพราะพวกเขาเป็นที่รู้จักผ่านงานเขียนก่อนที่คนทั่วไปจะรู้จักตัวตนของพวกเขา และจากที่ผมได้ชมได้ฟังมาเวลาที่ทั้งสองไปให้สัมภาษณ์ตามรายการต่างๆ บวกกับงานเขียนซึ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผมเชื่อมั่นในความสามารถของทั้งคู่ยิ่งขึ้น

    ในที่สุดผมก็ได้เข้าร่วม Minimore Session จากการสมัครด้วยการเขียนบันทึก 'Session 01 - Travelogue' ที่ผมเขียนเล่าเรื่องของตัวเอง ถือเป็นการสร้างความมั่นใจเล็กๆในการบอกเล่าเรื่องของตัวเอง จนได้ไปนั่งฟังมุมมองและความคิดในการทำงานของวิทยากรทั้งคู่ 

    ซึ่งอันที่จริงตอนเขียนบันทึกนั่น ผมเข้าใจว่ามันเป็นการส่งเข้าระบบของเว็บไซต์เพื่อให้ทีมงานพิจารณาเท่านั้น ไม่ได้เผยแพร่สู่สาธารณะ เพราะผมเป็นคนประเภทที่จะไม่เขียนเล่าเรื่องของตัวเองให้คนทั่วไปอ่าน แต่เมื่อลองสำรวจเว็บไซต์ Minimore ว่ามีเนื้อหาอะไรน่าสนใจบ้าง ก็เจอบันทึก 'Session 01 - Travelogue' ของคนอื่นๆที่สมัครเข้าร่วมด้วย หมายความว่าบันทึกของผมก็ย่อมถูกเผยแพร่เช่นกัน

    และสิ่งที่ได้สร้างความเชื่อมั่นในการเขียนบันทึกของผมยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ บันทึกของผมมันได้เป็นหนึ่งในสามบันทึกที่ 'เบนซ์-ธนชาติ' เลือกให้เป็นเรื่องที่เขารู้สึกสนใจ แม้ว่าเหตุผลแรกในการเลือกคือรูปถ่ายสวยงามก็ตาม 

    ผมก็ขอทึกทักเอาแล้วกัน ว่าบันทึกการเดินทางในแบบของผมมันก็คงพอใช้ได้อยู่บ้างล่ะ

    ------
    (cover คือภาพสมุดบันทึกที่ได้รับจากการเข้าร่วม Minimore Session 01 - Travelogue) 
    ------
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in