เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Patientoverreachpeach.
อยู่ไปทำไม | Doctor's visit
  • ใกล้จะหมดปีแล้ว



    เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายของปีนี้ ก็แน่ละ อีก 4 วันก็จะหมดปี 2020 แล้ว เวลาผ่านไปเร็วแบบไม่ได้ทำอะไรเลย ยังคิดอยู่เลยว่าที่ผ่านมามีอะไรดี ๆ ในปีนี้ให้ชื่นใจ แฮปปี้ได้บ้าง นึกไม่ค่อยออกเลย 5555



    เริ่มต้นในเดือนมกราคม จากที่เราจำได้เป็นช่วงเวลาที่ยากเหมือนกันเพราะเป็นช่วงที่กำลังเริ่มงานใหม่ แรก ๆ เลยก็คือการปรับตัวกับที่ทำงาน เพื่อนร่วมงาน หัวหน้าที่ค่อนข้างดุ ประกอบกับที่เรานั่งข้าง ๆ กันทำให้การทำงาน awkward เข้าไปใหญ่ เราอึดอัดมากเวลาทำงานแต่ก็ต้องทำวะเพื่อความอยู่รอด อีกอย่างเป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างมีหน้ามีตา (ชอบชื่อตำแหน่งและการเป็นหัวหน้า/ แต่ทำหน้าที่ได้ไม่ดีหรอก) เงินเดือนก็สูง ทำไปแล้วกัน มีเงินใช้ ตอนนั้นใช้เงินเยอะ เวลาเงินเดือนออกคือดีใจมาก ใช้เงินแบบไม่คิด ซื้อนู่นซื้อนี่ ไม่คิดจะเก็บเงินเลย อยากได้อะไรก็ซื้อ แถมเปิดบัตรเป็นว่าเล่น เหมือนเรา mania ด้วยซ้ำ แต่กลับมาบ้านก็หงอยรู้สึกผิดที่ใช้เงินแบบไม่คิด อืม ก็ขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนเดิม การหาหมอ การกินยา ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนเดิม เดือนแรกของปีก็หาหมอไปแล้ว 5 ครั้ง เป็นอะไรที่เราเบื่อมาก ที่จำได้เพราะมี planner track ไว้ว่าไปไหน ทำอะไรมาบ้างในแต่ละวัน แต่ก็จดไม่ได้ทุกวันหรอกนะ 555555 เอาเป็นว่าคร่าว ๆ จำไม่ได้ว่าหมอถามอะไรบ้าง เล่าอะไรให้หมอฟังบ้างเพราะมันก็นานมาแล้ว น่าจะเล่าเรื่องในชีวิตประจำวัน ส่วนใหญ่หมอจะถามว่าอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง ได้ทำอะไร ไปที่ไหนมา รู้สึกยังไง มีอะไรเล่าให้หมอฟังไหม ประมาณว่ามี achievement อะไรที่ทำให้ตัวเองรู้สึกดีบ้างไหม หรืออะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดี หมอจะเป็นคนรับฟังและช่วยเหลือ หาวิธีช่วย ปรับยา นู่นนี่ บลา ๆ ซึ่งก็เป็นไปตามเวลาและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละอาทิตย์ (มั้ง) ที่เรา mood swing ไปเรื่อย ที่แน่ ๆ คือร้องไห้ทุกครั้งที่เจอหมอ ไม่รู้เป็นอะไร เวลาเล่า ทุกอย่างดูเศร้า จัดการไม่ได้...


    เดือนกุมภาพันธ์ เราแพลนไปเที่ยวสิงคโปร์คนเดียว (เที่ยวต่างประเทศครั้งแรก) ดูบ้านนอกมากเลยอะ เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก เพราะเราค่อนข้างจน เอาเงินไปทำอย่างอื่นหมดและไม่มีความคิดอยากไปเที่ยวเลย ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศ จาก trauma ที่เกิดขึ้นในชีวิตทำให้ไม่อยากไปไหนเลยจาผ่านมาไม่รู้กี่ปีแล้ว ก็ยังไม่อยากไปไหน ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากหลงทาง ไม่อยากไปที่คนเยอะ ๆ ไม่อยากเจออุบัติเหตุ ไม่อยากจากคนที่บ้านไปไหน และถ้าไปเที่ยวก็อยากไปกับครอบครัวมากกว่า แต่งงนะ ทำไมพอไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกก็จะไปคนเดียวเลย ก็งงอีกแหละ ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าอารมณ์ตอนนั้นน่าจะประชดใครซักคน หรืออยากจะหนีอะไรซักอย่างเพื่อไปอยู่คนเดียว พยายามจะ out of comfort zone ของตัวเองอยู่ก็ได้ จองตั๋ว จองโรงแรม ทำ passport แพลนเดินทางเรียบร้อย เรื่องเหี้ย ๆ ก็เกิดขึ้นค่ะ เพราะทุกอย่าง cancel เนื่องจาก covid-19 ทุกอย่างที่ book ไป flight บิน ไป-กลับ 8 พันหายไปกับตา เงินที่เก็บมาทั้งชีวิต (เหรอ??) เพื่อเอามาเที่ยวต้องหายไปเพราะอิโรคบ้านี่ เห้อ ตอนนั้นหงอยเป็นหมาเลยอะ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ช่างแม่ง อย่างน้อยก็มีอะไรทำให้แก้เหงาคือการสอนพิเศษ การจบเอกภาษาอังกฤษมาแต่ต้องมาสอนสมการตัวแปรต้น พหุนามดีกรีสอง ตัวแปรเดียว ไม่ง่ายเลย ฮืออ อยากจะกรี้ด ไม่เหงาแต่ปวดหัวแทน 55555 เดือนนี้นอกจากการหมอที่นัดรับยาอยู่เป็นประจำ ก็ยังมีนัดทำ therapy เข้ามาด้วย ทำมาได้สองปีกว่าแล้วตั้งแต่เรียนอยู่ปี 5 ที่มหาลัย ก็นานเอาเรื่อง พูดแล้วรู้สึกแก่มากและเวลาก็ผ่านมานานแล้วเหมือนกัน ทำไมยังไม่หายซักที 5555555555555 เบื่อมาก เหนื่อย สงสารหมอที่ต้องมาเจอคนไข้แบบนี้ พยายามเป็นคนไข้ที่ดีแต่ทำไม่ได้ เรารู้สึกผิดมากจริง ๆ


    เดือนมีนาคมน่าจะเป็นเดือนที่ปกติที่สุดแล้ว (ใช่ไหม) เพราะใน planner ไม่ได้เขียนอะไรไว้เลยบวกกับ statement มีเงินเดือนเข้าปกติไม่มีรายจ่ายที่เกินจริงหลักหมื่นที่มาจากการรูดบัตรจ่ายค่ายาที่ ER เราน่าจะทำงานปกติ ขอไม่อธิบายอะไรมากเพราะเราก็จำไม่ได้เหมือนกัน ที่ใช้คำว่า "น่าจะ" เพราะเราจำไม่ได้จริง ๆ จากการนึกย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบ้างตัวจะทำให้ความจำเราแย่ลง หมอบอกแบบนั้น หมอเลยเพิ่งปรับยาเมื่ออาทิตย์ก่อน แล้วทำไมเพิ่งมาปรับ เพราะเราเพิ่งบอกหมอ ตอนแรกคิดว่าไม่กระทบกับชีวิตมากแต่หลัง ๆ เริ่มเยอะเกินไป การที่มีคนถามว่า เห้ยมึง ตอนนั้นกูบอกมึงไปแล้วนี่ ทำไมจำไม่ได้ แล้วเราอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ นี่เป็นสถานการณ์ที่แย่มาก เราเลยไปอธิบายให้หมอฟัง เลยมีการปรับยาเกิดขึ้น สรุปแล้วมีนาคมปกติจ้า



    มาเริ่มต้นช่วงเวลาที่ยากลำบากกันหน่อย



    เดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน ไม่รู้เราเป็นอะไร อาจจะเพราะเริ่มเครียดเรื่องงาน งานหนักขึ้น มีปัญหากับที่บ้าน รวมถึงเรื่องไม่ได้ไปเที่ยว รู้สึกแย่ที่เสียเงินไป หลายอย่าง อืม ฟังดูก็ไม่ได้หนักหนาใช่ไหม ก็นั่นน่ะสิ เริ่มต้นเดือนก็แอดมิดไปเลย แอดมิดทั้งเดือน นอนโรงพยาบาลทั้งเดือน เรียกได้ว่าไม่ต้องทำอะไร กิน ๆ นอน ๆ ทั้งวัน และแต่ละวันก็หาเรื่องให้หมอ พยาบาลปวดหัว วุ่นได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเอาหัวโขกกำแพงในห้องน้ำ การเอาหนังยางดีดข้อมือตัวเอง จิกแขน ทุบผนังห้อง ทุบเตียง สารพัด เหลือที่ทำไม่ลงและไม่คิดจะทำคือการกินสบู่ โฟมล้างหน้าใด ๆ ที่เป็นด่างเพราะรู้ว่าเป็นด่างไง กินยังไงก็ไม่ตายอยู่ดีป่ะ เห็นน้องในวอร์ดทำก็ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย.. ถ้าจะเอาจริงต้องกินน้ำยาล้างห้องน้ำค่าา แต่แม่บ้านก็ไม่ปล่อยน้ำยาล้างห้องน้ำออกมาให้เห็นได้ง่าย ๆ ทำความสะอาดทั้งทีแทบไม่ให้เห็นอะไรเลย น้ำยงน้ำยาเก็บหมด ทุกอย่างในวอร์ดเรียกได้ว่ามีความปลอดภัยค่อนข้างสูงพอสมควร การหาอะไรมาทำร้ายตัวเอง ต้องใช้ความคิดและหาทางนิดหนึ่ง 555555 เช่นการหาหนังยางมาดึดข้อมือตัวเองเนี่ย เราจ้องยางรัด ที่มากับแก้วน้ำโรงพยาบาลในตอนมื้อเที่ยงและแอบเก็บมา และวันที่เราทำร้ายตัวเอง หลังจากนั้นพี่พยาบาลก็เก็บเรียบ แค่หนังยางเนี่ยอะนะ เป็นเรื่องใหญ่โต ไม่ได้ทำให้ตายซักหน่อย แต่เพื่อความปลอดภัยและสบายใจ (??) ของทั้งหมอและพยาบาล ทุกคนต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด หนังยางจึงกลายเป็นสิ่งต้องห้ามหลังจากนั้น การใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ช้อนส้อมลืมไปได้เลย ไม่มีส้อมจ่ะ ช้อนเป็นช้อนด้ามสั้น แบบช้อนสั้นอะแกรรร ไม่ถนัดเลย แล้วมีมื้อที่กินก๋วยเตี๋ยว กินยังไง ไม่มีตะเกียบ ไม่มีส้อม ตลกมาก นึกภาพสิ ตลกมาก ๆ อะไรอีก การตัดเล็บ พี่พยาบาลเป็นคนตัดให้ บริการทุกระดับประทับใจ ตะไบให้เรียบร้อย เหลืออีกนิดคือสปามือแล้วนะ555555 เอาเป็นว่าอุปกรณ์ การดูแลทุกอย่างคือเพื่อความปลอดภัยและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาตามมา เราขอบคุณหมอ และพี่พยาบาลทุกคนมาก ๆ และขอโทษมาก ๆ ด้วยที่สร้างแต่ปัญหาให้ วีรกรรมในวอร์ดตลอดทั้งเดือนเมษายนจนถึงเดือนมิถุนายนวน ๆ อยู่ในลูปทำร้ายตัวเอง เศร้า เหนื่อย เบื่อ ไม่อยากอยู่ เป็นแบบนี้ตลอด 3 เดือนจนกระทั้งได้ออกจากโรงพยาบาล 


    เดือนกรกฎาคม จาก planner ที่เขียนไว้ เราออกจากโรงพยาบาลวันที่ 15 กรกฎาคม ลืมบอกว่างานที่ทำอยู่ โดนไล่ออกแล้ว 55555555555555 จริง ๆ ก็ไม่ขำนะแต่ทำไงได้ นอนโรงพยาบาล 3 เดือนใครจะไปจ้างต่อแต่ความใจดีของบริษัทคือให้เงินเดือนจ้า เขายังให้เงินเดือนในทุกเดือนที่ยังอยู่โรงพยาบาลเพราะเช็ค statement แล้วเงินเข้าทุกเดือนทั้งที่ไม่ได้ไปทำงาน ซึ่งนี้ก็งงมาถึงตอนนี้เหมือนกันว่าทำไม่เป็นแบบนั้น ถือว่าเป็นเรื่องราวดี ๆ หนึ่งอย่างของการทำงานและความโชคดีของตัวเอง ความเมตตาของบริษัทด้วยที่ยังเห็นใจพนักงานโง่ ๆ และไม่มีวินัยและความรับผิดชอบคนนี้อยู่ ขอบคุณมาก ๆ จริง ๆ หลังจากออกจากโรงพยาบาลได้หนึ่งอาทิตย์ ก็ไปสอนพิเศษน้องเหมือนเดิม 5 โมงเย็น - 1 ทุ่ม ทุกวันอังคารกับพฤหัสฯ น้องเรียนบ้างไม่เรียนบ้าง เราก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร ถือว่าเอาให้มีอะไรทำ อยากไปเจอน้องให้หายเครียดด้วย การสอนน้องถือว่าทำให้เราแฮปปี้ได้เยอะเลย เพราะน้องเป็น vibes ที่ดี ความสดใสของเด็กที่โตมากับครอบครัวที่อบอุ่น สังคมที่ดี ทุกอย่างที่แวดล้อมไปด้วยอะไรดี ๆ ทำให้น้องเป็นเด็กดี สดใส ร่าเริงและเป็นอะไรบวก ๆ ให้คนรอบข้าง รวมถึงเราด้วย เรามีความสุขเวลาได้ไปสอนน้อง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เตรียมเนื้อหาเวลาไปสอนก็เถอะ 55555 ส่วนใหญ่จะไปช่วยกันติวหน้างาน หรือทำความเข้าใจตอนนั้น บวกกับพากันเม้ามอยเรื่องต่าง ๆ ที่เราชอบไปด้วยกัน แฮปปี้แหละ ที่เล่ามาดูเป็นคนเห็นแก่ตัวไปเลย เพราะมีแต่ได้กับได้ แงง


    เดือนสิงหาคม เริ่มเป็นเดือนที่วุ่นวาย มีอะไรทำมากขึ้น มีนัดหาหมอทุกอาทิตย์ อาทิตย์ละสองครั้ง ทำ Art therapy อาทิตย์ละครั้ง หมอ Ofter ketamine เพิ่มด้วย และเริ่มทำ ECT สองอาทิตย์สุดท้ายของเดือนรวม 6 ครั้ง เรียกได้ว่าเบลอสุด ๆ ไปเลย สอนพิเศษก็ยังสอนอยู่เหมือนเดิม การทำ ECT effect ชีวิตเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องความจำ จากที่ปกติจำอะไรไม่ค่อยได้อยู่แล้ว พอทำไปแล้วยิ่งจำไม่ได้เข้าไปใหญ่ และเราเลือกที่จะปล่อยผ่านไปด้วย แบบช่างแม่ง จบ ๆ ไป ถ้าสำคัญจริงเราก็จะจำได้เอง คิดแบบนั้นมาตลอด ครั้งแรกที่ทำ ECT เป็นการทำตอนแอดมิดเดือนเมษายนที่แอดมิด และมาทำต่อเดือนนี้อีก 6 ครั้ง ตอนแรกตื่นเต้นและกลัวมากเพราะต้องทำฟันยาง ดมยาและเห็นคนที่ทำเสร็จก็คือสลบไปนานมาก แต่ทำจริงก็ไม่ได้อะไรมาก ดมยาเสร็จตื่นมาก็อ้าว เสร็จแล้ว ปวดหัวตุบ ๆ กินยาซักพักก็หาย ไม่รู้ว่ามันช่วยอะไรแต่สำหรับเราไม่ช่วยอะไร ไม่รู้สึกอะไรเลย เฉย ๆ มากกับการรักษาด้วยวิธีนี้ น่าจะเป็นเหตุผลที่ว่าหมอเลยหยุดการรักษาด้วยวิธีนี้ไป 


    เดือนกันยายน คล้าย ๆ เดิมแต่มู้ดเริ่ม swing มากขึ้นเนื่องจากไม่มีอะไรทำนอกจากการสอนพิเศษ หางานทำไม่ได้ซักที เงินไม่เข้าและหนี้ก็ใช้ไม่หมด เราเครียดมาก และแพลนที่จะฆ่าตัวตายโดยการเขียนจดหมายลาตาย แพลนจัดห้อง เคลียร์ทุกอย่างให้เรียบร้อย ไปเจอหมอ เรียกแกร้บไปขอความช่วยเหลือจากพี่พยาบาลที่วอร์ดตอนห้าทุ่มแต่ก็ไม่ช่วยอะไร therapy ทุกอาทิตย์ก็ไม่ช่วยอะไรเหมือนกันแต่เราก็ทนมาเรื่อย ๆ ทนมาก ๆ แบบที่เราไม่อยากวนกลับไปที่เดิิม ลึก ๆ ก็ไม่กล้าตายหรอก ขู่คนอื่นไปงั้นแหละ เห้อ แต่ก็อยากตายแบบที่ไม่เจ็บปวด ไม่ทำร้ายความรู้สึกคนอื่น ถ้าการตายแบบหายไปเลยได้ก็คงจะดี สรุปแล้วอาทิตย์สุดท้ายไปหาหมอ ร้องไห้ ฟูมฟายหนักมาก แบบจะตายให้ได้ ไม่ค่อยมีสติแล้ว หมอดูท่าไม่ไหวเลยโดนจับเข้า ER แอดมิดไป 2 วัน เหนื่อยมาก


    เดือนตุลาคม เป็นอีกเดือนที่หนักหนาพอกัน บอกเลยว่าเราเหนื่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก กับการมีชีวิตอยู่มาเกือบจะหมดปี 2020 แล้ว การหาหมอจนถึงตอนนี้ มันทำให้เราล้าและท้อ หมดหวังกับการรักษาและการใช้ชีวิตต่อไปมาก การพยายามใช้ชีวิตแต่ละวันโดยที่ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม อยู่ไปเพื่ออะไร อยู่ไปเพื่อใคร อยู่ไปแล้วได้อะไร ยังคงเป็นคำถามที่เราถามตัวเองซ้ำ ๆ ในทุก ๆ วัน เราตั้งคำถามนี้ในไอจีและให้คนมาตอบ ถามเพื่อนในไลน์ ถามหมอ หลายคนต่างก็บอกว่า ไม่ต้องหาคำตอบหรอก ก็แค่อยู่เพื่อใช้ชีวิตนี่แหละ บ้างคนก็บอกว่าอยู่เพื่อกินอาหารอร่อย ๆ อยู่เพื่อเล่นกับแมว อยู่เพื่อตัวเอง เห้อออออ บอกไม่ถูกอะ แต่ละคนมี mindset ที่ต่างกัน คำตอบมันเลยออกมาต่างกันไง นี่ก็ไม่น่าไปถามเขาตั้งแต่แรก 555555555 ไม่มีถูกผิดหรอกใช่ไหมคำถามแบบนี้ เอาเป็นว่านั่นแหละ เครียดมาก ไม่มีงานทำ ตั้งคำถามกับตัวเองหลายอย่าง ฉันไม่ดีตรงไหน (อื้ม อันนี้ไม่น่าถาม 555555555) เราพยายามหางาน สมัครหลายที่ ลด base เงินเดือนตัวเองลงมาหลายพัน แต่ก็ยังไม่มีที่ไหนเรียก ร้องไห้ทุกวัน ย้ำว่าทุกวัน กินยาเกินบ้างเพื่อให้หลับยาวขึ้นและสบายใจที่ไม่ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ตลอดทั้งเดือน


    เดือนพฤศจิกายน อยากให้เป็นเดือนที่ดีเพราะเป็นเดือนเกิดของตัวเอง เริ่มต้นด้วยการซื้อหวยสามใบ เป็นการซื้อหวยครั้งแรกในชีวิต ตลกดีเหมือนกันกับการเริ่มเสี่ยงโชค วันเกิดเป็นวันที่มีความสุขเพราะเพื่อนพาไปกินทองสมิทธิ์ ซื้อทาร์ต ปักเทียน ร้องเพลงวันเกิดให้ พร้อมให้ของขวัญที่ชอบ เรียกได้ว่าครบ ประทับใจมากและรู้สึกโชคดีมากที่ได้รู้จักเพื่อนคนนี้ มีความสุขมากในวันเกิดปีนี้ อีกเรื่องที่พยายามให้เป็นเรื่องดี ๆ คือการเริ่มดูแลตัวเอง การเริ่มวิ่งใหม่ วิ่งได้ประมาณอาทิตย์เดียวก็เลิก ไม่ต้องสงสัยเลย เพราะว่าเราขี้เกียจนั่นเอง เนื่องจากการจะทำอะไร เริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ เป็นอะไรที่ยากมากสำหรับเรา ไม่อยากหาข้ออ้างให้ตัวเอง แต่ขี้เกียจจริง ๆ ไม่ทำก็คือไม่ทำ แล้วไม่เรียกว่าวิ่งด้วย เรียกว่าเดินมากกว่า เพราะปกติเคยวิ่งได้ pace 7 มาคราวนี้ได้ pace 10 ใครจะมีกำลังใจทำต่อ พอก่อน ไปพัก นอกจากนี้ก็ไปหมอ ทำ therapy ทุกอาทิตย์เหมือนเดิม


    มาถึงตอนนี้ เดือนสุดท้ายของปีแล้ว ไม่รู้จะเล่าอะไรอีกเพราะที่ผ่านมามันเยอะมากจริง ๆ แบบที่ไม่รู้จะเล่าละเอียดหรือเยอะได้มากแค่ไหนแต่ที่ผ่านมาเราถือว่าเราทำได้ดีที่สุดเท่าที่คน ๆ หนึ่งจะทำได้ เราพยายามประคองตัวเองให้อยู่ได้มาจนถึงสิ้นปีโดยที่ไม่รู้ว่าจะอยู่มาจนถึงสิ้นปีทำไม อยู่มาแบบไม่มีงานทำ ไม่มีอะไรเลย อยู่แบบต้องพึ่งยา พึ่งหมอ พึ่งคนอื่น อยู่ด้วยตัวเองไม่ได้เลย ต้องมีคนช่วยเหลือ ประคองไว้ตลอดเวลา ถ้าอยู่คนเดียวคือตายแน่ ๆ หรืออาจจะแย่มาก ๆ ยาก็ยังคงต้องการต่อไป เคตามีนก็ยังต้องให้ต่อไป therapy, art therapy ก็ยังต้องทำต่อไป ทำต่อไปเรื่อย ๆ เราเหนื่อยมาก แต่ก็จะพยายามทำตัวไม่เป็นภาระ พยายามทำตัวให้ดีขึ้นและไม่คิดลบ ไม่เอาอะไรแย่ ๆ ไปให้คนอื่น 


    อยู่ไปทำไม...



    Without meds, I don't know how to live.



    Even I am 26, I have nothing, really nothing, really really nothing. I cannot live on my own. I need to rely on others and bring such big problems to them.



    This is my doctor's visit. 



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in